รักไม่รับจ้าง – ตอนที่ 24

Share

นนท์

ผมตามพี่แองโจลี่มาลองชุดกับพี่ไก่แจ้ เสื้อผ้าวันนี้มาในธีมสีแดงสดใสร้อนแรง พี่ไก่แจ้เลือกให้พวกเราคนละ 2 ชุด จากนั้นพาทุกคนมาที่หน้าเวทีเพื่อซ้อมเดินแบบ ซ้อมกันอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมงก็ได้พัก พี่แองโจลี่เอาน้ำเย็นมาให้ผมกับไมค์คนละขวด ผมรับมาดื่มแล้วถามหาไอ้ตู้เย็น

“ไอ้ตู้เย็นอยู่ไหนเหรอพี่?”

“ไปลองชุดมาสคอตกับพี่กุ้งเต้น เมื่อกี้พี่ตามไปดูมาละ ตู้เย็นใช้ได้เหมือนกันนะ พอใส่ชุดมาสคอตแล้วดูเป็นอีกคนไปเลย ไม่น่าเชื่อว่าจะสวมบทบาทน่ารัก ๆ อย่างนั้นได้”

“เหรอครับ ผมอยากเห็นจัง”

“เดี๋ยวเริ่มงานก็ได้เห็นเองแหละ ตอนนี้เราสองคนโฟกัสที่งานตรงนี้ก่อนนะ”

พี่ไก่แจ้เดินเข้ามาหากลุ่มพวกเรา

“เดี๋ยวให้เด็กของแองโจลี่ทั้งสองคนมาแต่งหน้าก่อนเลยนะ ช่างแต่งหน้าเขามาถึงกันแล้ว”

“ได้ค่ะพี่ ป่ะ เด็ก ๆ”

ผมชักอยากเห็นไอ้ตู้เย็นในชุดมาสคอตแล้ว ว่ามันจะเล่นได้น่ารักสมบทบาทขนาดไหน แม้มันจะบอกว่าตัวเองไม่ใช่คนกล้าแสดงออก แต่ผมว่าพอมีอะไรมากั้นระหว่างมันกับคนดู มันก็สามารถกลายเป็นอีกคนที่สดใสขึ้นมาได้ อย่างคลิปในช่องยูทูปของมันที่ผมไปแอบดู มันพูดจาคล่องแคล่วอย่างเหลือเชื่อ คลิปยาว 10 นาที มันพูดเยอะกว่าที่พูดกับผมทั้งสัปดาห์เสียอีก

ตอนนี้พวกเราเหล่านายแบบทั้ง 7 คนแต่งหน้าทำผมกันครบทุกคนแล้ว และอยู่ในเสื้อผ้าชุดแรกของแต่ละคน ถ้าพอขึ้นไปเดินบนแคทวอล์กเสร็จต้องลงมาเปลี่ยนเป็นชุดที่ 2 แล้วขึ้นไปเดินอีกรอบ

สายตาผมเหลือบไปเห็นตุ๊กตาขนาดเท่าคน ขนสีขาวฟู ๆ ดูนุ่มนิ่ม เดินเตาะแตะมาที่หลังเวที พอเห็นใกล้ ๆ ถึงรู้ว่าเป็นมาสคอตหมูสีขาวประจำแบรนด์เสื้อผ้าที่จ้างผมมาเดินแบบวันนี้ ท่าทางการเดินของมันดูอุ้ยอ้าย โยกเยกไปมาดูน่ารักน่าชัง พอมันเดินผ่านพวกเราก็ยกมือขึ้นโบก แล้วขยับแข้งขยับขาพยายามจะเต้น ดูแล้วไม่น่าเชื่อว่าคนที่อยู่ในนั้นเป็นไอ้ตู้เย็น ไอ้เสือยิ้มยากของผม

พิธีกรสาวบนเวทีตอนนี้กำลังพูดเกริ่นแนะนำมาสคอต ทีมงาน 2 คนช่วยพยุงไอ้ตู้เย็นขึ้นเวที ผมอมยิ้มให้กับความทุลักทุเลนี้ แล้วหันไปโบกมือเรียกพี่แองโจลี่

“มีอะไรเหรอนนท์นนท์?”

“ผมรบกวนพี่ถ่ายคลิปตอนไอ้ตู้เย็นอยู่บนเวทีให้หน่อยได้ไหมครับ อยากเห็นว่ามันเป็นยังไง”

“ได้จ้ะ พี่ตั้งใจจะถ่ายคลิปพวกเราเก็บเอาไว้อยู่แล้ว เก็บไว้เป็นพอร์ตน่ะ ไว้พี่จะส่งคลิปให้ทางในไลน์นะ”

“ขอบคุณครับพี่”

ถัดจากนั้นก็เป็นคิวเดินแบบ ผมทำหน้าที่นี้ได้อย่างดีที่สุด พอเดินแบบครบทุกชุดแล้ว พวกเราก็มายืนหน้าเวทีเพื่อถ่ายรูป ไอ้ตู้เย็นยังเล่นเป็นมาสคอตอยู่ ถึงอากาศภายในห้างจะเย็นสบาย แต่ถ้าอยู่ในชุดมาสคอตผ้าหนา ๆ ผมว่าข้างในต้องร้อนมากแน่ ๆ แถมยังต้องขยับตัวดุ๊กดิ๊กอยู่ตลอดเวลาอีก

ถ่ายรูปเรียบร้อยก็สิ้นสุดงานภายในวันนี้ พวกเราเข้าไปหลังเวที ไอ้ตู้เย็นที่ยังอยู่ในชุดมาสคอตมีพี่ทีมงาน 2 คนช่วยประคองเข้าไป มันอยู่ในชุดนี้มาได้ 45 นาทีแล้วมั้ง ไม่อยากคิดเลยว่าจะน่าทรมานสักแค่ไหน พี่ทีมงานช่วยถอดหัวมาสคอตออกให้ ใบหน้าของไอ้ตู้เย็นฉ่ำไปด้วยเหงื่อ ผมเปียกซกเหมือนเพิ่งสระผมแล้วยังไม่ได้เป่าให้แห้ง พี่แองโจลี่รีบเอาน้ำเย็นเข้าไปให้มัน

“เป็นไงบ้างตู้เย็น เหนื่อยมากไหม?” พี่แองโจลี่ถาม

ไอ้ตู้เย็นรับน้ำมาดื่มทีเดียวหมดไปครึ่งขวด “เหนื่อยครับ แต่ก็สนุกดี”

“งั้นไว้มีงานใส่ชุดมาสคอตแบบนี้อีก พี่จะเรียกเราเลยแล้วกันเนาะ”

ไอ้ตู้เย็นยิ้มแห้ง ๆ ผมเดินไปหยิบกระดาษเช็ดหน้าจากโต๊ะของพี่ช่างแต่งหน้า แล้วเดินเอามาให้ไอ้ตู้เย็น

“อ่ะ ซับเหงื่อซะหน่อย หน้ามึงมันแผล็บเชียว เจียวไข่ได้เลยมั้งเนี่ย”

“เช็ดให้กูหน่อยดิ กูไม่มีมือ” ไอ้ตู้เย็นยกมือที่สวมถุงมืออ้วน ๆ กลม ๆ ไม่มีนิ้วขึ้นมาให้ผมดู

นี่เรียกว่าอ้อนไหมเนี่ย? ผมอมยิ้มแล้วดึงกระดาษเช็ดหน้าออกมา 2 แผ่น เอามาซับหน้าเมือก ๆ ให้ไอ้ตู้เย็น พอทำแบบนี้พี่แองโจลี่ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็บิดตัวไปมา เขินเหมือนมีผู้ชายมาจีบอย่างงั้นแหละ

“ว๊ายตายแล้ว สองคนนี้ยังกับหลุดออกมาจากซีรีส์วายแน่ะ”

ผมนึกว่าไอ้ตู้เย็นจะเขินกับคำพูดของพี่แองโจลี่ซะอีก แต่มันไม่สะทกสะท้านเลย กลับยิ้มกว้างแล้วจ้องเข้ามาในตาผม จากนั้นพวกเราก็เปลี่ยนชุด เวลาตอนนี้บ่ายโมงกว่าแล้ว พี่แองโจลี่เลยพาพวกเรามากินมื้อเที่ยงที่ร้านอาหารญี่ปุ่นในห้างนี่แหละ

“อยากกินอะไรสั่งได้เลยนะ” พี่แองโจลี่พูดเมื่อพวกเราเดินตามพนักงานมานั่งที่โต๊ะ

“มื้อนี่พี่จะเลี้ยงใช่ไหมครับ?” ผมถามอย่างตื่นเต้น

“เลี้ยงได้ แต่ถ้าใครสั่งเกินงบพี่จะหักจากค่าตัววันนี้”

พวกเรา 3 คนหันขวับไปมองหน้าพี่แองโจลี่เป็นตาเดียว

“ล้อเล่น… สั่งกันเลย เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง”

พวกเราเปิดเมนูดูรายการอาหาร

“มีใครกินแซลมอนซาชิมิไหม?” ไมค์ถามขึ้น

“กูไม่กินปลาดิบอ่ะ” ไอ้ตู้เย็นบอก

“แต่มึงชอบอาหารทะเลไม่ใช่เหรอ?” ผมถามไอ้ตู้เย็น เพราะตอนไปกินข้าวด้วยกันมันมักสั่งอะไรที่เป็นทะเล และวันก่อนเราไปตลาดด้วยกัน มันก็ซื้อกุ้งกับปลาหมึกมาตุนไว้ในตู้เย็นเพียบ

“กูกินแต่แบบสุก ๆ ไง แบบดิบกูไม่กิน กลัวพยาธิไชขึ้นสมอง”

“เล่นพูดเอาซะกูไม่อยากกินเลย” ไมค์พึมพำ

“สั่งมาเลยค่ะ เรากินกันสองคนก็ได้น้องไมค์ เรื่องพยาธิค่อยไปหายาถ่ายพยาธิมากินเอา”

รอไม่นานอาหารที่สั่งก็มาเสิร์ฟเต็มโต๊ะ มีข้าวหน้าหมูผัดซอสญี่ปุ่นของพี่แองโจลี่กับไมค์ ข้าวหน้าไก่ใส่ไข่ของผม และอุด้งเทมปุระของไอ้ตู้เย็น นอกจากอาหารจานเดียวของใครของมันแล้ว ยังสั่งอาหารมาแบ่งกันกินอีกด้วย ทั้งไก่เทอริยากิ เกี๊ยวทอด ซูชิเซตและแซลมอนซาชิมิ พวกเราคุยไปกินไปอย่างเอร็ดอร่อย

“เออ… แล้วนนท์นนท์กับตู้เย็นมาสนิทกันได้ไง เห็นเรียนคนละภาคนี่นา” พี่แองโจลี่ถาม

“พี่ของไอ้ตู้เย้นจ้างผมติวหนังสือให้มันน่ะครับ พอได้เจอมันหลังเลิกเรียนทุกวันเลยสนิทกันไปเอง” ผมตอบ

“โห… นนท์นนท์นี่ขยันจัง นี่รับจ้างทำอะไรบ้างเนี่ย?” พี่แองโจลี่ถามต่อ

“ผมไม่เกี่ยงงาน ใครจ้างอะไรผมรับหมดครับ พอดีผมส่งตัวเองเรียนด้วย เลยต้องกระตือรือร้นหน่อย”

“โอ้โห… เก่งจังเลยนะ ถ้าพี่มีน้องชายอย่างนี้คงภูมิใจแย่ เด็กดีแบบนี้พี่สนับสนุนจ้ะ ไว้มีงานจ้างเดินแบบถ่ายแบบติดต่อเข้ามา พี่จะส่งโปรไฟล์เราไปให้ลูกค้าดูคนแรกเลย”

“อ้าว… แล้วผมล่ะพี่” ไมค์ทำเสียงอ้อน

“ก็ส่งไปพร้อมกันเนี่ยแหละ แล้วคราวหลังอย่าทำเสียงออดอ้อนแบบนี้อีก ถ้าไม่อยากเป็นแฟนพี่ ใจพี่มันไม่ดีรู้ไหม”

พอกินข้าวเสร็จพวกเราก็ขอบคุณพี่แองโจลี่ที่วันนี้พามาทำงานหารายได้ แถมยังเลี้ยงอาหารมื้อใหญ่อีก จากนั้นพวกเราก็แยกย้ายกันกลับ ระหว่างที่ผมกับไอ้ตู้เย็นกำลังเดินเตร่เพื่อย่อยอาหารอยู่นั้น ผมก็เอ่ยถามมัน

“มึงอิ่มยัง?”

“อิ่มแล้ว”

“กูว่าจะชวนไปหาของหวานกิน มึงอิ่มแล้วแต่ยังกินได้อีกใช่ไหม?”

“มึงนี่กินจุเนอะ ข้างในท้องมึงเป็นกระเป๋าโดราเอมอนหรือยังไงเนี่ย?”

ผมยิ้ม “งั้นไปกินเค้กกันไหม? มึงจำได้ไหมวันที่กูมีถ่ายเอ็มวีให้พี่จั๊บ กูสัญญามึงไว้ว่าถ้ามึงไปเป็นเพื่อนด้วย กูจะพาไปเลี้ยง กูยังไม่ได้พามึงไปเลี้ยงอะไรเลย งั้นเดี๋ยวกูพาไปเลี้ยงเค้กนะ”

“อ๋อ… วันที่มึงโกรธกูเพราะหึงกูกับนานะใช่ไหม?”

ผมแกล้งทำหน้าฉุนใส่มัน “เรื่องมันผ่านมาแล้วก็ให้มันแล้วไปสิวะ เอาไง… ตกลงจะกินหรือไม่กินเค้กน่ะ?”

“กินดิ ของฟรีใครจะปฏิเสธวะ แล้วมึงมีร้านในใจหรือยัง ร้านขนมพวกนี้กูไม่ค่อยได้เข้าเท่าไหร่”

“ลองเดินหาดูกัน กูว่าพวกร้านอาหารมันรวมอยู่ด้วยกันที่ชั้นนี้แหละ”

พวกเราเดินดูร้านไปเรื่อย ๆ แล้วก็มาเจอร้านเค้กร้านหนึ่งที่ตกแต่งหรูหรา แต่ขายเค้กราคาไม่แพง เราคุยกันว่าจะสั่งเค้กมากินกี่ชิ้นดี แม้เค้กชิ้นหนึ่งจะขนาดไม่ใหญ่ แต่กินเยอะ ๆ ก็ทำให้เลี่ยนได้ ถ้ากินคนละ 2 ชิ้นอาจจะมากไป เลยตกลงว่าจะเลือกคนละชิ้นที่รสชาติแตกต่างกันแล้วเอามาแบ่งกันกิน

ผมเลือกเค้กมะพร้าวอ่อน ไอ้ตู้เย็นลังเลระหว่างเครปเค้กสตรอเบอรี่กับเค้กส้ม ผมเลยบอกให้มันสั่งมาทั้ง 2 ชิ้นเลย

เค้กมะพร้าวอ่อนและเครปเค้กสตรอเบอรี่ถูกพวกเราช่วยกันจัดการกินจนหมด ไอ้ตู้เย็นตักเค้กส้มมากินได้ 2 คำ มันก็วางช้อนยอมแพ้

“กูกินต่อไม่ไหวแล้ว ที่เหลือให้มึงกินคนเดียวเลย”

“อ้าว… แต่มึงสั่งมาเองนะ”

“เออ… มึงกินที่เหลือให้หมดเถอะน่า”

ผมจัดการกินเค้กส้มที่เหลือให้หมด จากนั้นก็ตีที่ท้องตัวเองเบา ๆ โชว์ไอ้ตู้เย็น

“นี่มึงอิ่มได้หรือยังเนี่ย?”

“ถ้าเป็นน้ำหวานสักแก้วก็พอไหวอยู่”

“โห… ตอนนี้กูกินอะไรไม่ไหวแล้ว กลับกันเถอะ กูอยากอาบน้ำ วันนี้เหงื่อออกเนื้อตัวกูเหนียวหมดแล้ว”

ผมลุกไปจ่ายเงิน จากนั้นก็เดินออกมาพร้อมไอ้ตู้เย็น มุ่งหน้าไปยังลานจอดมอไซด์ที่ชั้นใต้ดิน เราเลือกลงบันไดเลื่อนแทนใช้ลิฟต์ จะได้เผาผลาญพลังงานมื้อนี้ที่กินไปเยอะกว่าปกติ

“พรุ่งนี้เราจะกินอะไรฉลองกันดี?” ผมถาม

“ฉลองอะไรวะ?”

“อ้าว… ก็ฉลองที่เราคบกันมาได้หนึ่งสัปดาห์แล้วไงครับคุณแฟน”

“โห… คบกันได้แค่สัปดาห์เดียว ถึงกับต้องฉลองเลยเหรอวะ”

“ก็ให้มันเป็นกิมมิกนิดหน่อย กูอยากหาอะไรพิเศษ ๆ ทำกับมึงไง”

“แค่มีมึงอยู่ด้วยกันกับกูทุกวัน ก็ไม่มีอะไรพิเศษไปมากกว่านี้แล้ว” ไอ้ตู้เย็นพูดแล้วยิ้มเขินให้กับคำพูดตัวเอง

โอ้โห… ไม่น่าเชื่อว่าไอ้เสือยิ้มยากของผมจะเล่นมุกเลี่ยน ๆ เป็นกับเขาด้วย พอลงมาถึงตรงที่จอดมอไซด์ไว้ ผมก็อาสาเป็นคนขี่ เพราะนึกถึงตอนที่มันถอดหัวมาสคอตออก ผมก็รู้สึกอดสงสารมันไม่ได้ วันนี้มันคงเหนื่อยแย่ แต่ไม่บ่นอะไรสักคำ ผมอยากให้มันพัก พอกลับมาถึงห้อง ไอ้ตู้เย็นก็เดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่ระเบียงมาทันที

“กูขออาบน้ำก่อนนะ แล้วระหว่าที่มึงรอกู ก็เอาเสื้อผ้ากูไปซักให้ที กูไม่อยากหมกทิ้งไว้เหม็น ๆ”

ที่ห้องของไอ้ตู้เย็นมีเครื่องซักผ้าวางอยู่ตรงระเบียง แบบนี้สะดวกกว่าที่หอผมเยอะ เพราะที่นั่นต้องยกตะกร้าผ้าลงไปซักที่เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญที่ชั้นล่าง บางครั้งถ้าเครื่องเต็มก็ต้องรอ การมีเครื่องซักผ้าส่วนตัวอยู่ในห้อง  ทำให้จะซักผ้าตอนไหนก็ได้ ไม่ต้องเสียเวลาออกไปไหน มีสุขอนามัยเพราะไม่ต้องใช้เครื่องซักผ้าร่วมกับคนอื่น

พอไอ้ตู้เย็นเข้าห้องน้ำ มันก็โยนเสื้อผ้าที่ใส่วันนี้ออกมากองไว้หน้าห้อง ผมเดินไปเก็บมารวมกับเสื้อผ้าในตะกร้าเพื่อที่จะเอาไปซัก มาอยู่บ้านแฟนก็ต้องดูแลเอาใจใส่แฟนให้ดีหน่อย แฟนจะได้รักได้หลง


Share

Leave a comment

Leave a Reply

What's New

ดำดิ่งสู่โลกกลับทิศ จิตวิทยาที่ซ่อนอยู่ในซีรีส์ “สเตรนเจอร์ ทิงส์”

หากพูดถึงซีรีส์ที่คนทั้งโลกรอคอย ซีรีส์ที่ปั้นเด็กไม่มีชื่อเสียงให้มายืนแถวหน้าของวงการบันเทิงได้ ซีรีส์ที่เป็นแม่เหล็กสำคัญในการดึงดูดให้คนมาสมัครบริการ Netflix จะเป็นซีรีส์เรื่องไหนไม่ได้นอกจากเรื่องสเตรนเจอร์ ทิงส์ ที่ตอนนี้มีมาถึงซีซัน 5 ซึ่งเป็นซีซันสุดท้ายแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ผลงานท้ายสุดของจักรวาลในซีรีส์นี้ เพราะในปี 2026 จะมีอนิเมชันที่เรื่องราวอยู่ในช่วงระหว่างซีซัน 2 และ 3 ของซีรีส์ต้นฉบับออกฉายตามมาครับ สาเหตุที่ซีรีส์เรื่องนี้ถูกใจคนทั้งโลก และขยายจักรวาลมาได้ยิ่งใหญ่อย่างทุกวันนี้ นอกจากเนื้อเรื่องที่ลึกลับน่าติดตามแล้ว อีกเหตุผลคือแต่ละตัวละครในเรื่องดูมีมิติสมจริง มีปูมหลัง และมีแรงผลักดันในชีวิตที่แตกต่างกันไป...

นาทีชีวิตฉุกเฉิน วิชาปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่ควรมีติดตัว เพื่อรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉินในวินาทีชีวิต

ทุกนาทีในชีวิตสามารถเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินที่ถึงขั้นอันตรายต่อชีวิต เหตุการณ์ฉุกเฉินไม่เลือกสถานที่เกิด ไม่ว่าจะเป็นบนถนน ในห้างฯ หรือแม้กระทั่งบ้านของพวกเราเอง การมีความรู้เบื้องต้นในการรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉิน ช่วยให้เราลดความเสี่ยงที่เหตุการณ์นั้นจะอันตรายถึงชีวิตได้ครับ ไอติมเล่า ep นี้มาแนะนำเนื้อหาจากหนังสือ อยู่ให้ได้ ตายให้ดี: เรียนรู้นาทีชีวิตจากห้องฉุกเฉิน เขียนโดยคุณหมอสองท่านครับคือ หมอเจี๊ยบ พญ. ลลนา ก้องธรนินทร์ และหมอยุ้ย พญ. พรรณอร เฉลิมดำริชัย ในเล่มนี้เล่าว่าหมอฉุกเฉินต้องเจอกับอะไรบ้าง...

บทเรียนจากคนเหล็ก 7 ข้อคิดการใช้ชีวิตให้ประสบความสำเร็จฉบับอาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์

การได้อ่านหรือได้ฟังเรื่องราวของคนที่ประสบความสำเร็จ ถือเป็นทางลัดอย่างหนึ่งในการเรียนรู้ชีวิต โดยที่เราไม่ต้องรอให้พบเจอด้วยตัวเอง ยิ่งคนนั้นเป็นคนที่ใช้ชีวิตมานาน มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ บทเรียนจากชีวิตของพวกเขาก็ยิ่งมีคุณค่า ไอติมอ่าน ep นี้มาแนะนำเนื้อหาจากหนังสือ Be Useful: Seven Tools for Life ชื่อภาษาไทยคือ จงทำตัวให้มีประโยชน์: 7 เครื่องมือสำหรับใช้ชีวิต เขียนโดยอาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์ (Arnold Schwarzenegger)...

คิดมากไปทำไม ขนาดพระพุทธเจ้ายังเคยทำพลาดเลย แค่รู้ประวัติศาสตร์ ก็หายขาดจากความกลุ้มใจได้แล้ว

เพื่อน ๆ กำลังทุกข์ใจและเหนื่อยที่ต้องแบกรับความกดดันเอาไว้มากเกินไปอยู่หรือเปล่าครับ กำลังรู้สึกแย่ที่ชีวิตไม่ประสบความสำเร็จเหมือนคนอื่นอยู่หรือเปล่า สังคมทุกวันนี้มีสารพัดเรื่องให้กลุ้มใจ แล้วเพื่อน ๆ เคยคิดบ้างไหมครับว่าปัญหาที่กำลังเจออยู่นี้ เคยมีคนอื่นเจอมาก่อนเราหรือเปล่า แม้ประวัติศาสตร์จะเต็มไปด้วยเรื่องราวของบุคคลที่ประสบความสำเร็จ แต่เบื้องหลักชีวิตของพวกเขาเหล่านั้นล้วนผ่านเรื่องราวมากมาย พวกเขาเป็นคนธรรมดาเหมือนกับพวกเรานี่แหละครับ การศึกษาประวัติศาสตร์ทำให้เรารู้ว่าทุกคนล้วนเคยผิดพลาดกันมาบ้าง และการจะได้มาซึ่งความสำเร็จบางครั้งต้องอาศัยเวลาที่เหมาะสม ไอติมฮีลใจ ep นี้มาแนะนำหนังสือคิดมากไปทำไม ขนาดพระพุทธเจ้ายังเคยทำพลาดเลย เขียนโดยฟุกาอิ ริวโนะซุเกะ หนังสือเล่มนี้เล่าเรื่องราวชีวิตของบุคคลที่เป็นที่รู้จักระดับโลกว่ากว่าที่พวกเขาจะประสบความสำเร็จต้องล้มลุกคลุกคลานมายังไงบ้าง ในเล่มพูดถึงหลายคนเลยครับ แต่ผมขอเลือกเรื่องของคนที่ผมสนใจมาเล่าให้เพื่อน...

วัฒนธรรมคำจีน จากกงสีถึงอั่งเปา คำยืมที่เล่าประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ไทย-จีน

ปี พ.ศ. 2568 เป็นวาระครบรอบ 50 ปีของความสัมพันธ์ไทย-จีนอย่างเป็นทางการ แต่ในความเป็นจริงคนไทยและคนจีนมีความเชื่อมโยงกันมากว่า 2,000 ปีแล้ว โดยมีหลักฐานโบราณบ่งบอกว่าดินแดนแถบบ้านเรามีการค้าขายกับแผ่นดินจีนมาตั้งแต่ราชวงศ์ฮั่น การค้าขายกับจีนสร้างความมั่งคั่งให้กับกรุงศรีอยุธยาและเมืองท่าต่าง ๆ รอบอ่าวไทยมาตลอดเวลายาวนานหลายร้อยปี ชาวจีนเข้ามาตั้งหลักปักฐานอยู่ในสยาม สร้างศาลเจ้า สร้างบ้าน สร้างร้านค้า และนำวัฒนธรรมแบบจีนติดตัวมาด้วย บางคำศัพท์ที่เราได้ยินหรือใช้ในชีวิตประจำวัน หลายคำก็เป็นคำที่ยืมมาจากภาษาจีน ไอติมเล่า ep นี้มาเล่าความหมายและที่มาของคำจีนคุ้นหู...

จิตวิทยาต่อรอง จะต้องพูดและทำอะไรในการต่อรองที่แพ้ไม่ได้

ในชีวิตประจำวันเราต้องพบเจอกับเรื่องมากมายที่ต้องอาศัยการเจรจาต่อรอง ไม่ว่าจะเป็นการต่อรองขอลดราคาสินค้า ต่อรองกับลูกค้า หรือต่อรองเพื่อขอขึ้นเงินเดือน เทคนิคการต่อรองมีสอนกันมานานแล้ว แต่เทคนิคเหล่านั้นเน้นไปที่การท่องจำประโยคสำเร็จรูป ทั้งที่จริง ๆ แล้วการเจรจาต่อรองเป็นเรื่องที่คาดการณ์ไม่ได้ เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับอารมณ์มากกว่าเหตุผลครับ ดังนั้นการต่อรองต้องมุ่งเน้นไปที่การจัดการกับอารมณ์ของอีกฝ่าย แทนที่จะยกเหตุผลต่าง ๆ นานามาคุยกันเหมือนหุ่นยนต์ที่ไร้ความรู้สึก ไอติมอ่าน ep นี้มาสรุปเนื้อหาจากหนังสือ Never Split the Difference จิตวิทยาต่อรอง เขียนโดยคริส...

Related Articles

รักไม่รับจ้าง – ตอนที่ 27 (จบ)

ตู้เย็น ช่วงก่อนสอนปลายภาค ไอ้นนท์ช่วยเก็งข้อสอบให้ผมล่วงหน้าตั้ง 2 สัปดาห์ ช่วงนั้นผมหัวหมุนมากเป็นพิเศษ และแปลกใจมากที่ไอ้นนท์ไม่กังวลเกี่ยวกับการสอบเลย วันธรรมดาหลังเลิกเรียน มันยังไปทำงานพิเศษที่ร้านกรีนเฮาส์คาเฟ่และลมเย็นบาร์จนถึงเที่ยงคืน เสาร์อาทิตย์ยังออกไปขี่รถรับส่งอาหาร ระหว่างที่มันไม่อยู่ด้วย ผมก็พยายามทบทวนหนังสือ...

รักไม่รับจ้าง – ตอนที่ 26

นนท์ ถึงแม้ผมจะคุ้นเคยกับคอนโดของไอ้ตู้เย็นแล้ว แต่พอมันไม่อยู่ ห้องนี้ดูเหมือนจะใหญ่เกินไปสำหรับอยู่คนเดียว ผมเกิดอาการคิดถึงมันขึ้นมา เกิดความรู้สึกเหงาขึ้นมา ทั้งที่แต่ก่อนอยู่ตามลำพังมาได้ตลอด พอห่างจากผม ไม่รู้ว่าไอ้ตู้เย็นจะรู้สึกเหงาและคิดถึงแบบเดียวกันหรือเปล่า อยู่ห้องก็ไม่มีอะไรให้ทำ วันนี้ผมเลยจะออกไปขี่รถรับส่งอาหารไวกว่าปกติละกัน ขณะกำลังจะลุกไปเตรียมตัว...

รักไม่รับจ้าง – ตอนที่ 25

ตู้เย็น อาบน้ำเย็น ๆ ชำระล้างเหงื่อไคลจนสะอาดสะอ้านแล้วผมก็สดชื่นขึ้นมาทันที ผมนุ่งผ้าเช็ดตัวเดินออกมาจากห้องน้ำ กำลังจะเข้าไปแต่งตัวในห้องนอนก็เห็นไอ้นนท์นั่งอยู่บนโซฟาหน้าทีวี หัวเราะคิกคัก สายตาจ้องไปที่หน้าจอมือถือในมือ “ขำอะไรวะ แบ่งกูดูบ้างสิ” “พี่แองโจลี่ส่งคลิปที่มึงใส่ชุดมาสคอตมาให้ดู มึงนี่ใช้ได้เหมือนกันนะ...

รักไม่รับจ้าง – ตอนที่ 23

ตู้เย็น นานะบอกผมว่าเธอเป็นเอเซ็กซ์ชวลตอนที่เราไปร้านกรีนเฮาส์คาเฟ่ด้วยกัน เธอสังเกตเห็นไอ้นนท์ฮึดฮัดท่าทางเหมือนไม่พอใจ เธอก็สันนิษฐานว่ามันน่าจะโกรธผมกับเธอหรือเปล่า ตอนนั้นผมยังไม่เชื่อเธอ แต่ตอนนี้รู้จากปากของไอ้นนท์เองแล้วว่ามันหึงผมกับนานะจริง รสนิยมทางเพศ นอกจากชายจริงหญิงแท้ ผมก็รู้จักเกย์ เลสเบี้ยน ไบเซ็กซ์ชวลและทรานส์เจนเดอร์ แต่เอเซ็กซ์ชวลที่นานะพูดถึง...

สรุปเนื้อหาและแนะนำหนังสือที่น่าสนใจ ชวนเพื่อน ๆ มาพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้นในทุก ๆ วันไปด้วยกันครับ

Copyright 2025 Aitim and Co. All rights reserved

error: Content is protected !!