ตู้เย็น
นานะบอกผมว่าเธอเป็นเอเซ็กซ์ชวลตอนที่เราไปร้านกรีนเฮาส์คาเฟ่ด้วยกัน เธอสังเกตเห็นไอ้นนท์ฮึดฮัดท่าทางเหมือนไม่พอใจ เธอก็สันนิษฐานว่ามันน่าจะโกรธผมกับเธอหรือเปล่า ตอนนั้นผมยังไม่เชื่อเธอ แต่ตอนนี้รู้จากปากของไอ้นนท์เองแล้วว่ามันหึงผมกับนานะจริง
รสนิยมทางเพศ นอกจากชายจริงหญิงแท้ ผมก็รู้จักเกย์ เลสเบี้ยน ไบเซ็กซ์ชวลและทรานส์เจนเดอร์ แต่เอเซ็กซ์ชวลที่นานะพูดถึง ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน เธออธิบายว่าเอเซ็กซ์ชวลคือรสนิยมทางเพศแบบหนึ่งที่ไม่พิศวาส ไม่มีอารมณ์ทางเพศกับเพศไหนเลย
วันนี้ผมมาติวหนังสือกับไอ้นนท์เหมือนเช่นทุกวัน พอมาถึงห้องสมุดประจำคณะก็เห็นมันนั่งรออยู่ในห้องประจำห้องเดิม ที่มันมักมาถึงก่อนเพราะมันเรียนภาคปกติที่ส่วนใหญ่จะเรียนที่ตึกเดียวกันนี้ พอเรียนเสร็จมันก็เดินลงมาที่นี่ได้เลย ส่วนผมที่เรียนภาคพิเศษ จะเรียนอีกตึกซะเป็นส่วนใหญ่ ต้องเสียเวลาเดินมา
มาถึงผมก็เห็นไอ้นนท์สีหน้ายิ้มแย้มสดใสเหมือนเช่นปกติ แต่ดูดี ๆ วันนี้เหมือนมันจะยิ้มกว้างกว่าทุกที ตาของมันมองมาที่ผมเป็นประกาย พอผมนั่งลงตรงข้ามมัน มันก็พูดขึ้น
“วันอาทิตย์นี้มึงว่างไหม กูมีงานเดินแบบเสื้อผ้าเปิดตัวใหม่ มึงสนใจไปด้วยกันเปล่า?”
“จะให้กูไปเป็นเพื่อนมึงอีกแล้วเหรอ เสาร์อาทิตย์จะไม่ให้กูได้ทำอะไรเลย นอกจากคอยตามไปดูแลมึงอย่างเดียวหรือไง?”
“เปล่า… กูไม่ได้ชวนมึงไปเป็นเพื่อน กูจะชวนมึงไปทำงานด้วยต่างหาก”
ผมทำหน้าสงสัย “ชวนกูไปทำงานด้วย?”
“ใช่ งานนี้พี่แองโจลี่รับมาให้กู พี่แกบอกว่าต่อไปนี้จะเป็นผู้จัดการส่วนตัวคอยรับงานให้กู แล้วพี่เขาก็บอกว่ายังขาดนายแบบอีกหนึ่งคน เลยถามกูว่ารู้จักใครที่หน่วยก้านพอใช้ได้ไหม คนที่กูนึกออกก็มีมึงคนเดียวเนี่ยแหละ”
“หา… อย่างกูเนี่ยนะจะให้ไปเดินแบบ จะไหวเหรอวะ แล้วหน้าอย่างกูนี่เขาเอาด้วยเหรอ?”
“งานนี้เน้นหุ่น ไม่ได้เน้นหน้า ไหนมึงลองลุกขึ้นยืนให้กูดูหน่อย”
ผมบ้าจี้ยอมลุกขึ้นตามที่มันสั่ง
“ลองหมุนตัวไปรอบ ๆ สิ”
ผมบ้าจี้หมุนตัวไปรอบ ๆ
“กูว่าใช้ได้ เดี๋ยวกูขอถ่ายรูปมึงให้พี่แองโจลี่ก่อน พี่เขาจะได้ส่งให้ลูกค้าดู”
ไอ้นนท์หยิบมือถือขึ้นมาส่องผม
“กูต้องยิ้มไหมวะ”
“เออ… ยิ้มสักนิด เอาเท่าที่มึงยิ้มได้”
ผมยิ้มแห้ง ๆ ใส่กล้อง เสียงชัตเตอร์ดังออกมาจากมือถือของไอ้นนท์
“โธ่… ไอ้เสือยิ้มยากของกู” ไอ้นนท์พูดออกมา พลางมองรูปผมที่มันเพิ่งถ่ายไป “กูส่งรูปมึงให้พี่แองโจลี่ละ”
เอ… เมื่อกี้ผมบ้าจี้ ไหลลื่นยอมทำตามที่ไอ้นนท์สั่งมากไปหน่อยไหมนะ มาคิดดูดี ๆ ผมนึกสภาพตัวเองเดินแบบไม่ออก ผมทำตัวไปถูกแน่ ถ้าโดนสายตาหลายสิบหลายร้อยคู่จ้องมาที่ตัวเอง แถมหน้าตาของผมก็ไม่ได้ดีเท่าไอ้นนท์ ยิ้มไม่เก่งเท่า ดูไม่น่าดึงดูดเท่ามัน และผมยังไม่มีประสบการณ์อยู่ต่อหน้าคนหมู่มากมาก่อน ถ้ามีอะไรผิดพลาดสักเล็กน้อย ผมคงขายหน้าแย่
“ไม่เอาดีกว่า กูไปเป็นเพื่อนมึงได้ แต่ไม่รับงาน” ผมนั่งลงแล้วบอกไอ้นนท์ หลังจากคิดไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว
“ทำไมล่ะ? ไหน ๆ ก็อุตส่าห์ไปด้วยกันแล้ว ก็ถือโอกาสทำงานไปด้วยเลยสิวะ เขาไม่ได้ให้เดินแบบฟรีนะโว้ย มีค่าตัวให้”
“เออ… ถึงจะได้เงินก็เถอะว่ะ แต่กูไม่เคยนี่หว่า อีกอย่างกูอาย ไม่ได้กล้าแสดงออกแบบมึง”
“แต่กูว่างานนี้มึงทำได้ เชื่อกู มึงอย่าอาย”
“พูดง่ายแต่ทำยากนี่หว่า ไม่เอาอ่ะ กูถอนตัว”
ไอ้นนท์มองมือถือที่เพิ่งส่งเสียงแจ้งเตือนข้อความเข้าใหม่
“ไม่ทันละ พี่แองโจลี่ทักมาบอกกูว่าลูกค้าโอเคกับมึงแล้ว” มันพูดพร้อมหันหน้าจอมือถือมาให้ผมดูบทสนทนา
“โห… ฝากบอกพี่แองโจลี่ปฏิเสธเขาไปไม่ได้เหรอวะ”
“ทำยังงั้นได้ที่ไหน พี่แองโจลี่ก็เสียความน่าเชื่อถือหมดสิ คราวหลังถ้ามีงานอะไร ลูกค้าก็จะไม่เรียกเด็กในสังกัดพี่แกไปทำงานแล้ว มึงจะคิดมากทำไมกะอีแค่งานเดินแบบ เต็มที่ก็ 2 ชั่วโมง มาเดินแคทวอล์กกับถ่ายรูปนิด ๆ หน่อย ๆ ไม่มีทางเกินนี้ เถอะน่า… มึงอาจพบว่าตัวเองชอบงานแบบนี้ก็ได้”
งั้นมาลองดูกันสักตั้ง ผมก็โตป่านนี้แล้ว น่าจะสะสมประสบการณ์ไว้หลาย ๆ ด้าน ป๊าเคยสอนผมว่าถ้ามีโอกาสเข้ามาหาต้องรีบคว้าไว้ ตอนนี้ผมยังหนุ่มยังแน่น สามารถรับงานที่มีคนจ้างไปเดินแบบได้ ถ้าอายุมากกว่านี้ มีรุ่นเด็กกว่ามาเป็นตัวเลือกใหม่ ๆ งานพวกนี้ก็จะหดหายไป
ในชีวิตผมไม่เคยคิดที่จะดูแลใบหน้าตัวเองเลย เดี๋ยวเย็นนี้ก่อนกลับคอนโด ผมจะแวะร้านสะดวกซื้อเพื่อหาซื้อแผ่นมาส์กหน้ามาบำรุงผิวสักหน่อย ให้ใสพอสู้ไอ้นนท์ไอ้บ้าง ภายในเวลาอีก 4 คืน ก่อนจะถึงวันอาทิตย์
ผมอาบน้ำเสร็จก็มานั่งเล่นคอม ตั้งแต่ไอ้นนท์ย้ายมาอยู่ด้วย ผมเปลี่ยนเวลาเข้านอนมาเป็นเที่ยงคืนครึ่ง เพราะต้องรอให้มันกลับมาจากร้านลมเย็นบาร์ซะก่อน แล้วค่อยเข้านอนพร้อมกัน
ผมดูนาฬิกา ตอนนี้เป็นเวลา 23.30 น. ผมลุกไปเปิดตู้เย็น หยิบมาส์กออกมาแผ่นหนึ่ง ฉีกซองแล้วเอาแผ่นกระดาษสีขาวชุ่มน้ำลื่น ๆ ขึ้นโปะใบหน้า กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของแผ่นมาส์กทำให้ผมรู้สึกสดชื่น แถมรู้สึกเย็นผ่อนคลายอีกด้วย เสร็จจากนั้นผมก็กลับไปนั่งเล่นคอมต่อ
พอเที่ยงคืน 15 นาที ผมก็ได้ยินเสียงไอ้นนท์ไขกุญแจเข้ามา มันเห็นผมเปิดไฟในห้องนั่งเล่นไว้ และยังไม่เข้านอนก็พูดขึ้นว่า
“กูบอกมึงไม่ต้องรอนอนพร้อมกู ตอน 5 ทุ่มถ้ามึงง่วงก็นอนไปก่อนเลย มึงนอนดึกก็ลำบากกูปลุกตอนเช้าอีก แล้วนี่ยังเล่นคอมอยู่อีกเหรอ เดี๋ยวก็แสบตาจนนอนหลับยากหรอก”
ไอ้นนท์เดินมายืนข้างหลังผม ผมหันหน้าไปมองมัน พอมันเห็นหน้าผมก็ตกใจ
“ไอ้เชี่ย! แม่งไอ้ตู้เย็น… มึงทำอะไรวะเนี่ย?” แล้วมันก็ยิ้ม “กูตกอกตกใจหมด มึงทำอะไรของมึงเนี่ย?”
“กูก็บำรุงหน้าสำหรับงานวันอาทิตย์นี้ไง เผื่อจะหล่อสูสีมึงได้บ้าง”
ไอ้นนท์หัวเราะใส่ผมเบา ๆ
“มึงไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ก็ได้ ไม่มีใครว่าอะไรเรื่องหน้ามึงหรอก”
“โธ่… งานแรกกูก็อยากให้ลูกค้าประทับใจ มึงรีบไปอาบน้ำได้แล้ว กูง่วงละ”
ถึงตอนแรกจะอยากปฏิเสธงานเดินแบบที่ไอ้นนท์แนะนำให้ไปด้วยกัน แต่ตอนนี้ผมกลับตื่นเต้นและรอคอยให้ถึงวันงานไว ๆ ในที่สุดก็เป็นเช้าวันอาทิตย์ ผมกับไอ้นนท์กินมื้อเช้าที่เราช่วยกันทำ จากนั้นก็นั่งมอไซด์มาที่ห้างแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสถานที่ทำงานในวันนี้ ตอนนี้ห้างยังไม่เปิดให้บริการลูกค้า อนุญาตให้เข้าได้เฉพาะพนักงานเท่านั้น เราขอจะเข้าไป แต่พี่ยามหน้าประตูไม่ให้เข้า ไอ้นนท์เลยโทรหาพี่แองโจลี่
“พี่แองโจลี่ ผมกับไอ้ตู้เย็นมาถึงห้างแล้วครับพี่ แต่จะเข้าไปข้างในยังไงครับ ยามหน้าประตูเขาไม่ให้เราเข้า”
“สองหนุ่มถึงกันแล้วเหรอ แป๊บนะจ๊ะ พี่กำลังพาน้องอีกคนเข้าไป รออีกแป๊บเดียวจริง ๆ พี่ติดไฟแดงอยู่แยกหน้าห้างนี้เองจ้า”
ผมว่าพี่แองโจลี่ไม่ได้ติดไฟแดงอยู่แยกหน้าห้างนี้แน่ ๆ พวกเรารอกันตั้ง 20 นาที กว่าพี่แกจะโผล่มา แกมาพร้อมกับเด็กหนุ่มที่น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับผม หน้าตาดีใช้ได้ น่าจะเป็นเดือนสักคณะหนึ่ง ผมปลุกใจตัวเองไม่ให้รู้สึกว่าตัวเองด้อยค่ากว่าคนเหล่านี้ จริง ๆ แล้วเราเป็นคนระดับเดียวกัน ได้รับการยอมรับในความหล่อให้มาเดินแบบเวทีเดียวกันเชียวนะ
“รถติ๊ดติดเนาะ กว่าจะมาถึงได้ แฮ่ะ ๆ” พี่แองโจลี่ยิ้มแห้งทักทายผมกับไอ้นนท์ “ป่ะ เข้าไปเตรียมตัวกันเลยดีกว่าเด็ก ๆ”
พวกเราตามพี่แองโจลี่ฝ่ายามหน้าประตูเข้ามาข้างในห้าง ขึ้นลิฟต์จากชั้นบีหนึ่ง ผ่านชั้น จี มายังชั้น 1 เดินไปยังลานโปรโมชั่นที่จะใช้สำหรับจัดงานในวันนี้ บนลานติดตั้งเวทีเตี้ย ๆ ที่มีทางเดินยาวประมาณ 5 เมตร มีเก้าอี้วางไว้หน้าเวทีจำนวนหนึ่ง พี่แองโจลี่หันมาพูดกับพวกเราทั้ง 3 คน
“เดี๋ยวพี่พาไปเจอพี่กุ้งเต้นที่เป็นออร์แกไนซ์จัดงานวันนี้ เจอพี่เขาแล้วทำตัวน่ารัก ๆ หน่อยนะ เผื่อมีงานหน้าพี่เขาจะได้นึกถึงพวกเราอีก”
พี่แองโจลี่พาพวกเราเดินมาหลังเวที ตรงนี้มีวัยรุ่นผู้ชายอีก 4-5 คน ดูจากหน้าตาแล้วน่าจะเป็นนายแบบ พี่แองโจลี่เดินนำพวกเราเข้าไปหาพี่ผู้หญิงตัวเล็กคนหนึ่ง พร้อมไหว้สวัสดีอย่างน้อมนอม เห็นอย่างนั้นพวกเราเลยทำตาม
“สวัสดีค่ะพี่กุ้งเต้น หนูพาน้อง ๆ มาแนะนำตัว จะได้คุ้นหน้าคุ้นตาน้อง ๆ เนาะ วันหน้าถ้ามีงานอะไรอยากเรียกใช้น้อง ๆ ติดต่อผ่านทางหนูเลยนะคะ คนนี้น้องไมค์ค่ะ เป็นเดือนคณะวิทยาศาสตร์ คนนี้น้องนนท์นนท์ เป็นเดือนคณะวิศวะ ส่วนคนนี้น้องตู้เย็น เป็นเพื่อนกับน้องนนท์นนท์ค่ะ”
“อืม… เด็กสมัยนี้ชื่อแปลกกันจัง น้อง ๆ ของแองโจลี่หล่อ ๆ กันทั้งนั้น เดี๋ยวพี่อธิบายงานวันนี้คร่าว ๆ นะ วันนี้จะมีการเดินแบบเปิดตัวคอลเลกชั่นเสื้อผ้าใหม่ มีนายแบบ 7 คน เดินกันคนละ 2 ชุด เดี๋ยวไปลองชุดกันดูกับน้อง ๆ นายแบบที่เหลือ พี่ไก่แจ้จะเป็นคนเลือกชุดให้ แล้วเดี๋ยวอีกสักครึ่งชั่วโมงจะเริ่มซ้อมเดินแบบ”
“โอเคค่ะ งั้นหนูขอพาน้อง ๆ ไปลองชุดกันทางโน้นนะคะ” พี่แองโจลี่พูดแล้วกำลังจะพาพวกเราเดินไปสมทบกันคนที่ยืนออเป็นกลุ่มกันอยู่ แล้วพี่กุ้งเต้นก็รั้งไว้ก่อน
“เออ… แองโจลี่ จำได้ว่าคนใส่ชุดมาสคอตเป็นเด็กของแองโจลี่ คนไหนล่ะที่จะมาใส่ชุดมาสคอต”
“น้องตู้เย็นค่ะพี่กุ้งเต้น” พี่แองโจลี่พูดพร้อมจูงมือผมเดินออกมาจากกลุ่ม
พี่กุ้งเต้นมองผมหัวจรดเท้า “อืม… รูปร่างสันทัดดูแข็งแรงดี ชุดวันนี้มันหนักหน่อย แต่น้องน่าจะไหว เดี๋ยวตู้เย็นมาลองชุดมาสคอตกับพี่ทางนี้นะ”
อะไรกันเนี่ย? ชุดมาสคอตอะไรกัน? ที่ผมมาทำงานกับไอ้นนท์วันนี้คือมาเดินแบบนะ ผมไม่เข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ เลยถอยออกมากระซิบถามข้างหูไอ้นนท์
“ชุดมาสคอตอะไรวะ?”
“ชุดมาสคอตที่มึงต้องใส่เดินในงานไง”
“อ้าว… นี่ไม่ได้จ้างกูมาเดินแบบเหมือนมึงเหรอ จริง ๆ แล้วจ้างกูมาใส่ชุดมาสคอต?”
“ใช่ ก็กูบอกแล้วไงว่างานนี้เหมาะกับคนอย่างมึง อยู่ในชุดมาสคอตไม่มีใครรู้ว่ามึงเป็นใคร มึงจะทำท่าทางอะไร จะเต้นทุเรศทุรังแค่ไหนก็ไม่ต้องอายใคร”
อ้าว… ผมเข้าใจผิดเหรอเนี่ย ที่แท้ถูกจ้างมาใส่ชุดมาสคอต ถึงว่าไอ้นนท์บอกว่างานนี้เน้นหุ่น ไม่เน้นหน้า ที่จริงมันเป็นแบบนี้นี่เอง ผมก็หลงคิดว่าตัวเองจะได้เดินบนแคทวอล์กหล่อ ๆ เท่ ๆ เลยซื้อมาส์กมาบำรุงหน้าอยู่ตั้งหลายวัน ไอ้นนท์นะไอ้นนท์ มันเห็นอย่างนั้นแล้วทำไมไม่บอกผมให้เคลียร์ ปล่อยให้ผมแปะแผ่นมาส์กฟรีมาตั้งหลายคืน
Leave a comment