รักไม่รับจ้าง – ตอนที่ 23

Share

ตู้เย็น

นานะบอกผมว่าเธอเป็นเอเซ็กซ์ชวลตอนที่เราไปร้านกรีนเฮาส์คาเฟ่ด้วยกัน เธอสังเกตเห็นไอ้นนท์ฮึดฮัดท่าทางเหมือนไม่พอใจ เธอก็สันนิษฐานว่ามันน่าจะโกรธผมกับเธอหรือเปล่า ตอนนั้นผมยังไม่เชื่อเธอ แต่ตอนนี้รู้จากปากของไอ้นนท์เองแล้วว่ามันหึงผมกับนานะจริง

รสนิยมทางเพศ นอกจากชายจริงหญิงแท้ ผมก็รู้จักเกย์ เลสเบี้ยน ไบเซ็กซ์ชวลและทรานส์เจนเดอร์ แต่เอเซ็กซ์ชวลที่นานะพูดถึง ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน เธออธิบายว่าเอเซ็กซ์ชวลคือรสนิยมทางเพศแบบหนึ่งที่ไม่พิศวาส ไม่มีอารมณ์ทางเพศกับเพศไหนเลย

วันนี้ผมมาติวหนังสือกับไอ้นนท์เหมือนเช่นทุกวัน พอมาถึงห้องสมุดประจำคณะก็เห็นมันนั่งรออยู่ในห้องประจำห้องเดิม ที่มันมักมาถึงก่อนเพราะมันเรียนภาคปกติที่ส่วนใหญ่จะเรียนที่ตึกเดียวกันนี้ พอเรียนเสร็จมันก็เดินลงมาที่นี่ได้เลย ส่วนผมที่เรียนภาคพิเศษ จะเรียนอีกตึกซะเป็นส่วนใหญ่ ต้องเสียเวลาเดินมา

มาถึงผมก็เห็นไอ้นนท์สีหน้ายิ้มแย้มสดใสเหมือนเช่นปกติ แต่ดูดี ๆ วันนี้เหมือนมันจะยิ้มกว้างกว่าทุกที ตาของมันมองมาที่ผมเป็นประกาย พอผมนั่งลงตรงข้ามมัน มันก็พูดขึ้น

“วันอาทิตย์นี้มึงว่างไหม กูมีงานเดินแบบเสื้อผ้าเปิดตัวใหม่ มึงสนใจไปด้วยกันเปล่า?”

“จะให้กูไปเป็นเพื่อนมึงอีกแล้วเหรอ เสาร์อาทิตย์จะไม่ให้กูได้ทำอะไรเลย นอกจากคอยตามไปดูแลมึงอย่างเดียวหรือไง?”

“เปล่า… กูไม่ได้ชวนมึงไปเป็นเพื่อน กูจะชวนมึงไปทำงานด้วยต่างหาก”

ผมทำหน้าสงสัย “ชวนกูไปทำงานด้วย?”

“ใช่ งานนี้พี่แองโจลี่รับมาให้กู พี่แกบอกว่าต่อไปนี้จะเป็นผู้จัดการส่วนตัวคอยรับงานให้กู แล้วพี่เขาก็บอกว่ายังขาดนายแบบอีกหนึ่งคน เลยถามกูว่ารู้จักใครที่หน่วยก้านพอใช้ได้ไหม คนที่กูนึกออกก็มีมึงคนเดียวเนี่ยแหละ”

“หา… อย่างกูเนี่ยนะจะให้ไปเดินแบบ จะไหวเหรอวะ แล้วหน้าอย่างกูนี่เขาเอาด้วยเหรอ?”

“งานนี้เน้นหุ่น ไม่ได้เน้นหน้า ไหนมึงลองลุกขึ้นยืนให้กูดูหน่อย”

ผมบ้าจี้ยอมลุกขึ้นตามที่มันสั่ง

“ลองหมุนตัวไปรอบ ๆ สิ”

ผมบ้าจี้หมุนตัวไปรอบ ๆ

“กูว่าใช้ได้ เดี๋ยวกูขอถ่ายรูปมึงให้พี่แองโจลี่ก่อน พี่เขาจะได้ส่งให้ลูกค้าดู”

ไอ้นนท์หยิบมือถือขึ้นมาส่องผม

“กูต้องยิ้มไหมวะ”

“เออ… ยิ้มสักนิด เอาเท่าที่มึงยิ้มได้”

ผมยิ้มแห้ง ๆ ใส่กล้อง เสียงชัตเตอร์ดังออกมาจากมือถือของไอ้นนท์

“โธ่… ไอ้เสือยิ้มยากของกู” ไอ้นนท์พูดออกมา พลางมองรูปผมที่มันเพิ่งถ่ายไป “กูส่งรูปมึงให้พี่แองโจลี่ละ”

เอ… เมื่อกี้ผมบ้าจี้ ไหลลื่นยอมทำตามที่ไอ้นนท์สั่งมากไปหน่อยไหมนะ มาคิดดูดี ๆ ผมนึกสภาพตัวเองเดินแบบไม่ออก ผมทำตัวไปถูกแน่ ถ้าโดนสายตาหลายสิบหลายร้อยคู่จ้องมาที่ตัวเอง แถมหน้าตาของผมก็ไม่ได้ดีเท่าไอ้นนท์ ยิ้มไม่เก่งเท่า ดูไม่น่าดึงดูดเท่ามัน และผมยังไม่มีประสบการณ์อยู่ต่อหน้าคนหมู่มากมาก่อน ถ้ามีอะไรผิดพลาดสักเล็กน้อย ผมคงขายหน้าแย่

“ไม่เอาดีกว่า กูไปเป็นเพื่อนมึงได้ แต่ไม่รับงาน” ผมนั่งลงแล้วบอกไอ้นนท์ หลังจากคิดไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว

“ทำไมล่ะ? ไหน ๆ ก็อุตส่าห์ไปด้วยกันแล้ว ก็ถือโอกาสทำงานไปด้วยเลยสิวะ เขาไม่ได้ให้เดินแบบฟรีนะโว้ย มีค่าตัวให้”

“เออ… ถึงจะได้เงินก็เถอะว่ะ แต่กูไม่เคยนี่หว่า อีกอย่างกูอาย ไม่ได้กล้าแสดงออกแบบมึง”

“แต่กูว่างานนี้มึงทำได้ เชื่อกู มึงอย่าอาย”

“พูดง่ายแต่ทำยากนี่หว่า ไม่เอาอ่ะ กูถอนตัว”

ไอ้นนท์มองมือถือที่เพิ่งส่งเสียงแจ้งเตือนข้อความเข้าใหม่

“ไม่ทันละ พี่แองโจลี่ทักมาบอกกูว่าลูกค้าโอเคกับมึงแล้ว” มันพูดพร้อมหันหน้าจอมือถือมาให้ผมดูบทสนทนา

“โห… ฝากบอกพี่แองโจลี่ปฏิเสธเขาไปไม่ได้เหรอวะ”

“ทำยังงั้นได้ที่ไหน พี่แองโจลี่ก็เสียความน่าเชื่อถือหมดสิ คราวหลังถ้ามีงานอะไร ลูกค้าก็จะไม่เรียกเด็กในสังกัดพี่แกไปทำงานแล้ว มึงจะคิดมากทำไมกะอีแค่งานเดินแบบ เต็มที่ก็ 2 ชั่วโมง มาเดินแคทวอล์กกับถ่ายรูปนิด ๆ หน่อย ๆ ไม่มีทางเกินนี้ เถอะน่า… มึงอาจพบว่าตัวเองชอบงานแบบนี้ก็ได้”

งั้นมาลองดูกันสักตั้ง ผมก็โตป่านนี้แล้ว น่าจะสะสมประสบการณ์ไว้หลาย ๆ ด้าน ป๊าเคยสอนผมว่าถ้ามีโอกาสเข้ามาหาต้องรีบคว้าไว้ ตอนนี้ผมยังหนุ่มยังแน่น สามารถรับงานที่มีคนจ้างไปเดินแบบได้ ถ้าอายุมากกว่านี้ มีรุ่นเด็กกว่ามาเป็นตัวเลือกใหม่ ๆ งานพวกนี้ก็จะหดหายไป

ในชีวิตผมไม่เคยคิดที่จะดูแลใบหน้าตัวเองเลย เดี๋ยวเย็นนี้ก่อนกลับคอนโด ผมจะแวะร้านสะดวกซื้อเพื่อหาซื้อแผ่นมาส์กหน้ามาบำรุงผิวสักหน่อย ให้ใสพอสู้ไอ้นนท์ไอ้บ้าง ภายในเวลาอีก 4 คืน ก่อนจะถึงวันอาทิตย์

ผมอาบน้ำเสร็จก็มานั่งเล่นคอม ตั้งแต่ไอ้นนท์ย้ายมาอยู่ด้วย ผมเปลี่ยนเวลาเข้านอนมาเป็นเที่ยงคืนครึ่ง เพราะต้องรอให้มันกลับมาจากร้านลมเย็นบาร์ซะก่อน แล้วค่อยเข้านอนพร้อมกัน

ผมดูนาฬิกา ตอนนี้เป็นเวลา 23.30 น. ผมลุกไปเปิดตู้เย็น หยิบมาส์กออกมาแผ่นหนึ่ง ฉีกซองแล้วเอาแผ่นกระดาษสีขาวชุ่มน้ำลื่น ๆ ขึ้นโปะใบหน้า กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของแผ่นมาส์กทำให้ผมรู้สึกสดชื่น แถมรู้สึกเย็นผ่อนคลายอีกด้วย เสร็จจากนั้นผมก็กลับไปนั่งเล่นคอมต่อ

พอเที่ยงคืน 15 นาที ผมก็ได้ยินเสียงไอ้นนท์ไขกุญแจเข้ามา มันเห็นผมเปิดไฟในห้องนั่งเล่นไว้ และยังไม่เข้านอนก็พูดขึ้นว่า

“กูบอกมึงไม่ต้องรอนอนพร้อมกู ตอน 5 ทุ่มถ้ามึงง่วงก็นอนไปก่อนเลย มึงนอนดึกก็ลำบากกูปลุกตอนเช้าอีก แล้วนี่ยังเล่นคอมอยู่อีกเหรอ เดี๋ยวก็แสบตาจนนอนหลับยากหรอก”

ไอ้นนท์เดินมายืนข้างหลังผม ผมหันหน้าไปมองมัน พอมันเห็นหน้าผมก็ตกใจ

“ไอ้เชี่ย! แม่งไอ้ตู้เย็น… มึงทำอะไรวะเนี่ย?” แล้วมันก็ยิ้ม “กูตกอกตกใจหมด มึงทำอะไรของมึงเนี่ย?”

“กูก็บำรุงหน้าสำหรับงานวันอาทิตย์นี้ไง เผื่อจะหล่อสูสีมึงได้บ้าง”

ไอ้นนท์หัวเราะใส่ผมเบา ๆ

“มึงไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ก็ได้ ไม่มีใครว่าอะไรเรื่องหน้ามึงหรอก”

“โธ่… งานแรกกูก็อยากให้ลูกค้าประทับใจ มึงรีบไปอาบน้ำได้แล้ว กูง่วงละ”

ถึงตอนแรกจะอยากปฏิเสธงานเดินแบบที่ไอ้นนท์แนะนำให้ไปด้วยกัน แต่ตอนนี้ผมกลับตื่นเต้นและรอคอยให้ถึงวันงานไว ๆ ในที่สุดก็เป็นเช้าวันอาทิตย์ ผมกับไอ้นนท์กินมื้อเช้าที่เราช่วยกันทำ จากนั้นก็นั่งมอไซด์มาที่ห้างแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสถานที่ทำงานในวันนี้ ตอนนี้ห้างยังไม่เปิดให้บริการลูกค้า อนุญาตให้เข้าได้เฉพาะพนักงานเท่านั้น เราขอจะเข้าไป แต่พี่ยามหน้าประตูไม่ให้เข้า ไอ้นนท์เลยโทรหาพี่แองโจลี่

“พี่แองโจลี่ ผมกับไอ้ตู้เย็นมาถึงห้างแล้วครับพี่ แต่จะเข้าไปข้างในยังไงครับ ยามหน้าประตูเขาไม่ให้เราเข้า”

“สองหนุ่มถึงกันแล้วเหรอ แป๊บนะจ๊ะ พี่กำลังพาน้องอีกคนเข้าไป รออีกแป๊บเดียวจริง ๆ พี่ติดไฟแดงอยู่แยกหน้าห้างนี้เองจ้า”

ผมว่าพี่แองโจลี่ไม่ได้ติดไฟแดงอยู่แยกหน้าห้างนี้แน่ ๆ พวกเรารอกันตั้ง 20 นาที กว่าพี่แกจะโผล่มา แกมาพร้อมกับเด็กหนุ่มที่น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับผม หน้าตาดีใช้ได้ น่าจะเป็นเดือนสักคณะหนึ่ง ผมปลุกใจตัวเองไม่ให้รู้สึกว่าตัวเองด้อยค่ากว่าคนเหล่านี้ จริง ๆ แล้วเราเป็นคนระดับเดียวกัน ได้รับการยอมรับในความหล่อให้มาเดินแบบเวทีเดียวกันเชียวนะ

“รถติ๊ดติดเนาะ กว่าจะมาถึงได้ แฮ่ะ ๆ” พี่แองโจลี่ยิ้มแห้งทักทายผมกับไอ้นนท์ “ป่ะ เข้าไปเตรียมตัวกันเลยดีกว่าเด็ก ๆ”

พวกเราตามพี่แองโจลี่ฝ่ายามหน้าประตูเข้ามาข้างในห้าง ขึ้นลิฟต์จากชั้นบีหนึ่ง ผ่านชั้น จี มายังชั้น 1 เดินไปยังลานโปรโมชั่นที่จะใช้สำหรับจัดงานในวันนี้ บนลานติดตั้งเวทีเตี้ย ๆ ที่มีทางเดินยาวประมาณ 5 เมตร มีเก้าอี้วางไว้หน้าเวทีจำนวนหนึ่ง พี่แองโจลี่หันมาพูดกับพวกเราทั้ง 3 คน

“เดี๋ยวพี่พาไปเจอพี่กุ้งเต้นที่เป็นออร์แกไนซ์จัดงานวันนี้ เจอพี่เขาแล้วทำตัวน่ารัก ๆ หน่อยนะ เผื่อมีงานหน้าพี่เขาจะได้นึกถึงพวกเราอีก”

พี่แองโจลี่พาพวกเราเดินมาหลังเวที ตรงนี้มีวัยรุ่นผู้ชายอีก 4-5 คน ดูจากหน้าตาแล้วน่าจะเป็นนายแบบ พี่แองโจลี่เดินนำพวกเราเข้าไปหาพี่ผู้หญิงตัวเล็กคนหนึ่ง พร้อมไหว้สวัสดีอย่างน้อมนอม เห็นอย่างนั้นพวกเราเลยทำตาม

“สวัสดีค่ะพี่กุ้งเต้น หนูพาน้อง ๆ มาแนะนำตัว จะได้คุ้นหน้าคุ้นตาน้อง ๆ เนาะ วันหน้าถ้ามีงานอะไรอยากเรียกใช้น้อง ๆ ติดต่อผ่านทางหนูเลยนะคะ คนนี้น้องไมค์ค่ะ เป็นเดือนคณะวิทยาศาสตร์ คนนี้น้องนนท์นนท์ เป็นเดือนคณะวิศวะ ส่วนคนนี้น้องตู้เย็น เป็นเพื่อนกับน้องนนท์นนท์ค่ะ”

“อืม… เด็กสมัยนี้ชื่อแปลกกันจัง น้อง ๆ ของแองโจลี่หล่อ ๆ กันทั้งนั้น เดี๋ยวพี่อธิบายงานวันนี้คร่าว ๆ นะ วันนี้จะมีการเดินแบบเปิดตัวคอลเลกชั่นเสื้อผ้าใหม่ มีนายแบบ 7 คน เดินกันคนละ 2 ชุด เดี๋ยวไปลองชุดกันดูกับน้อง ๆ นายแบบที่เหลือ พี่ไก่แจ้จะเป็นคนเลือกชุดให้ แล้วเดี๋ยวอีกสักครึ่งชั่วโมงจะเริ่มซ้อมเดินแบบ”

“โอเคค่ะ งั้นหนูขอพาน้อง ๆ ไปลองชุดกันทางโน้นนะคะ” พี่แองโจลี่พูดแล้วกำลังจะพาพวกเราเดินไปสมทบกันคนที่ยืนออเป็นกลุ่มกันอยู่ แล้วพี่กุ้งเต้นก็รั้งไว้ก่อน

“เออ… แองโจลี่ จำได้ว่าคนใส่ชุดมาสคอตเป็นเด็กของแองโจลี่ คนไหนล่ะที่จะมาใส่ชุดมาสคอต”

“น้องตู้เย็นค่ะพี่กุ้งเต้น” พี่แองโจลี่พูดพร้อมจูงมือผมเดินออกมาจากกลุ่ม

พี่กุ้งเต้นมองผมหัวจรดเท้า “อืม… รูปร่างสันทัดดูแข็งแรงดี ชุดวันนี้มันหนักหน่อย แต่น้องน่าจะไหว เดี๋ยวตู้เย็นมาลองชุดมาสคอตกับพี่ทางนี้นะ”

อะไรกันเนี่ย? ชุดมาสคอตอะไรกัน? ที่ผมมาทำงานกับไอ้นนท์วันนี้คือมาเดินแบบนะ ผมไม่เข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ เลยถอยออกมากระซิบถามข้างหูไอ้นนท์

“ชุดมาสคอตอะไรวะ?”

“ชุดมาสคอตที่มึงต้องใส่เดินในงานไง”

“อ้าว… นี่ไม่ได้จ้างกูมาเดินแบบเหมือนมึงเหรอ จริง ๆ แล้วจ้างกูมาใส่ชุดมาสคอต?”

“ใช่ ก็กูบอกแล้วไงว่างานนี้เหมาะกับคนอย่างมึง อยู่ในชุดมาสคอตไม่มีใครรู้ว่ามึงเป็นใคร มึงจะทำท่าทางอะไร จะเต้นทุเรศทุรังแค่ไหนก็ไม่ต้องอายใคร”

อ้าว… ผมเข้าใจผิดเหรอเนี่ย ที่แท้ถูกจ้างมาใส่ชุดมาสคอต ถึงว่าไอ้นนท์บอกว่างานนี้เน้นหุ่น ไม่เน้นหน้า ที่จริงมันเป็นแบบนี้นี่เอง ผมก็หลงคิดว่าตัวเองจะได้เดินบนแคทวอล์กหล่อ ๆ เท่ ๆ เลยซื้อมาส์กมาบำรุงหน้าอยู่ตั้งหลายวัน ไอ้นนท์นะไอ้นนท์ มันเห็นอย่างนั้นแล้วทำไมไม่บอกผมให้เคลียร์ ปล่อยให้ผมแปะแผ่นมาส์กฟรีมาตั้งหลายคืน


Share

Leave a comment

Leave a Reply

What's New

ดำดิ่งสู่โลกกลับทิศ จิตวิทยาที่ซ่อนอยู่ในซีรีส์ “สเตรนเจอร์ ทิงส์”

หากพูดถึงซีรีส์ที่คนทั้งโลกรอคอย ซีรีส์ที่ปั้นเด็กไม่มีชื่อเสียงให้มายืนแถวหน้าของวงการบันเทิงได้ ซีรีส์ที่เป็นแม่เหล็กสำคัญในการดึงดูดให้คนมาสมัครบริการ Netflix จะเป็นซีรีส์เรื่องไหนไม่ได้นอกจากเรื่องสเตรนเจอร์ ทิงส์ ที่ตอนนี้มีมาถึงซีซัน 5 ซึ่งเป็นซีซันสุดท้ายแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ผลงานท้ายสุดของจักรวาลในซีรีส์นี้ เพราะในปี 2026 จะมีอนิเมชันที่เรื่องราวอยู่ในช่วงระหว่างซีซัน 2 และ 3 ของซีรีส์ต้นฉบับออกฉายตามมาครับ สาเหตุที่ซีรีส์เรื่องนี้ถูกใจคนทั้งโลก และขยายจักรวาลมาได้ยิ่งใหญ่อย่างทุกวันนี้ นอกจากเนื้อเรื่องที่ลึกลับน่าติดตามแล้ว อีกเหตุผลคือแต่ละตัวละครในเรื่องดูมีมิติสมจริง มีปูมหลัง และมีแรงผลักดันในชีวิตที่แตกต่างกันไป...

นาทีชีวิตฉุกเฉิน วิชาปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่ควรมีติดตัว เพื่อรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉินในวินาทีชีวิต

ทุกนาทีในชีวิตสามารถเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินที่ถึงขั้นอันตรายต่อชีวิต เหตุการณ์ฉุกเฉินไม่เลือกสถานที่เกิด ไม่ว่าจะเป็นบนถนน ในห้างฯ หรือแม้กระทั่งบ้านของพวกเราเอง การมีความรู้เบื้องต้นในการรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉิน ช่วยให้เราลดความเสี่ยงที่เหตุการณ์นั้นจะอันตรายถึงชีวิตได้ครับ ไอติมเล่า ep นี้มาแนะนำเนื้อหาจากหนังสือ อยู่ให้ได้ ตายให้ดี: เรียนรู้นาทีชีวิตจากห้องฉุกเฉิน เขียนโดยคุณหมอสองท่านครับคือ หมอเจี๊ยบ พญ. ลลนา ก้องธรนินทร์ และหมอยุ้ย พญ. พรรณอร เฉลิมดำริชัย ในเล่มนี้เล่าว่าหมอฉุกเฉินต้องเจอกับอะไรบ้าง...

บทเรียนจากคนเหล็ก 7 ข้อคิดการใช้ชีวิตให้ประสบความสำเร็จฉบับอาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์

การได้อ่านหรือได้ฟังเรื่องราวของคนที่ประสบความสำเร็จ ถือเป็นทางลัดอย่างหนึ่งในการเรียนรู้ชีวิต โดยที่เราไม่ต้องรอให้พบเจอด้วยตัวเอง ยิ่งคนนั้นเป็นคนที่ใช้ชีวิตมานาน มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ บทเรียนจากชีวิตของพวกเขาก็ยิ่งมีคุณค่า ไอติมอ่าน ep นี้มาแนะนำเนื้อหาจากหนังสือ Be Useful: Seven Tools for Life ชื่อภาษาไทยคือ จงทำตัวให้มีประโยชน์: 7 เครื่องมือสำหรับใช้ชีวิต เขียนโดยอาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์ (Arnold Schwarzenegger)...

คิดมากไปทำไม ขนาดพระพุทธเจ้ายังเคยทำพลาดเลย แค่รู้ประวัติศาสตร์ ก็หายขาดจากความกลุ้มใจได้แล้ว

เพื่อน ๆ กำลังทุกข์ใจและเหนื่อยที่ต้องแบกรับความกดดันเอาไว้มากเกินไปอยู่หรือเปล่าครับ กำลังรู้สึกแย่ที่ชีวิตไม่ประสบความสำเร็จเหมือนคนอื่นอยู่หรือเปล่า สังคมทุกวันนี้มีสารพัดเรื่องให้กลุ้มใจ แล้วเพื่อน ๆ เคยคิดบ้างไหมครับว่าปัญหาที่กำลังเจออยู่นี้ เคยมีคนอื่นเจอมาก่อนเราหรือเปล่า แม้ประวัติศาสตร์จะเต็มไปด้วยเรื่องราวของบุคคลที่ประสบความสำเร็จ แต่เบื้องหลักชีวิตของพวกเขาเหล่านั้นล้วนผ่านเรื่องราวมากมาย พวกเขาเป็นคนธรรมดาเหมือนกับพวกเรานี่แหละครับ การศึกษาประวัติศาสตร์ทำให้เรารู้ว่าทุกคนล้วนเคยผิดพลาดกันมาบ้าง และการจะได้มาซึ่งความสำเร็จบางครั้งต้องอาศัยเวลาที่เหมาะสม ไอติมฮีลใจ ep นี้มาแนะนำหนังสือคิดมากไปทำไม ขนาดพระพุทธเจ้ายังเคยทำพลาดเลย เขียนโดยฟุกาอิ ริวโนะซุเกะ หนังสือเล่มนี้เล่าเรื่องราวชีวิตของบุคคลที่เป็นที่รู้จักระดับโลกว่ากว่าที่พวกเขาจะประสบความสำเร็จต้องล้มลุกคลุกคลานมายังไงบ้าง ในเล่มพูดถึงหลายคนเลยครับ แต่ผมขอเลือกเรื่องของคนที่ผมสนใจมาเล่าให้เพื่อน...

วัฒนธรรมคำจีน จากกงสีถึงอั่งเปา คำยืมที่เล่าประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ไทย-จีน

ปี พ.ศ. 2568 เป็นวาระครบรอบ 50 ปีของความสัมพันธ์ไทย-จีนอย่างเป็นทางการ แต่ในความเป็นจริงคนไทยและคนจีนมีความเชื่อมโยงกันมากว่า 2,000 ปีแล้ว โดยมีหลักฐานโบราณบ่งบอกว่าดินแดนแถบบ้านเรามีการค้าขายกับแผ่นดินจีนมาตั้งแต่ราชวงศ์ฮั่น การค้าขายกับจีนสร้างความมั่งคั่งให้กับกรุงศรีอยุธยาและเมืองท่าต่าง ๆ รอบอ่าวไทยมาตลอดเวลายาวนานหลายร้อยปี ชาวจีนเข้ามาตั้งหลักปักฐานอยู่ในสยาม สร้างศาลเจ้า สร้างบ้าน สร้างร้านค้า และนำวัฒนธรรมแบบจีนติดตัวมาด้วย บางคำศัพท์ที่เราได้ยินหรือใช้ในชีวิตประจำวัน หลายคำก็เป็นคำที่ยืมมาจากภาษาจีน ไอติมเล่า ep นี้มาเล่าความหมายและที่มาของคำจีนคุ้นหู...

จิตวิทยาต่อรอง จะต้องพูดและทำอะไรในการต่อรองที่แพ้ไม่ได้

ในชีวิตประจำวันเราต้องพบเจอกับเรื่องมากมายที่ต้องอาศัยการเจรจาต่อรอง ไม่ว่าจะเป็นการต่อรองขอลดราคาสินค้า ต่อรองกับลูกค้า หรือต่อรองเพื่อขอขึ้นเงินเดือน เทคนิคการต่อรองมีสอนกันมานานแล้ว แต่เทคนิคเหล่านั้นเน้นไปที่การท่องจำประโยคสำเร็จรูป ทั้งที่จริง ๆ แล้วการเจรจาต่อรองเป็นเรื่องที่คาดการณ์ไม่ได้ เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับอารมณ์มากกว่าเหตุผลครับ ดังนั้นการต่อรองต้องมุ่งเน้นไปที่การจัดการกับอารมณ์ของอีกฝ่าย แทนที่จะยกเหตุผลต่าง ๆ นานามาคุยกันเหมือนหุ่นยนต์ที่ไร้ความรู้สึก ไอติมอ่าน ep นี้มาสรุปเนื้อหาจากหนังสือ Never Split the Difference จิตวิทยาต่อรอง เขียนโดยคริส...

Related Articles

รักไม่รับจ้าง – ตอนที่ 27 (จบ)

ตู้เย็น ช่วงก่อนสอนปลายภาค ไอ้นนท์ช่วยเก็งข้อสอบให้ผมล่วงหน้าตั้ง 2 สัปดาห์ ช่วงนั้นผมหัวหมุนมากเป็นพิเศษ และแปลกใจมากที่ไอ้นนท์ไม่กังวลเกี่ยวกับการสอบเลย วันธรรมดาหลังเลิกเรียน มันยังไปทำงานพิเศษที่ร้านกรีนเฮาส์คาเฟ่และลมเย็นบาร์จนถึงเที่ยงคืน เสาร์อาทิตย์ยังออกไปขี่รถรับส่งอาหาร ระหว่างที่มันไม่อยู่ด้วย ผมก็พยายามทบทวนหนังสือ...

รักไม่รับจ้าง – ตอนที่ 26

นนท์ ถึงแม้ผมจะคุ้นเคยกับคอนโดของไอ้ตู้เย็นแล้ว แต่พอมันไม่อยู่ ห้องนี้ดูเหมือนจะใหญ่เกินไปสำหรับอยู่คนเดียว ผมเกิดอาการคิดถึงมันขึ้นมา เกิดความรู้สึกเหงาขึ้นมา ทั้งที่แต่ก่อนอยู่ตามลำพังมาได้ตลอด พอห่างจากผม ไม่รู้ว่าไอ้ตู้เย็นจะรู้สึกเหงาและคิดถึงแบบเดียวกันหรือเปล่า อยู่ห้องก็ไม่มีอะไรให้ทำ วันนี้ผมเลยจะออกไปขี่รถรับส่งอาหารไวกว่าปกติละกัน ขณะกำลังจะลุกไปเตรียมตัว...

รักไม่รับจ้าง – ตอนที่ 25

ตู้เย็น อาบน้ำเย็น ๆ ชำระล้างเหงื่อไคลจนสะอาดสะอ้านแล้วผมก็สดชื่นขึ้นมาทันที ผมนุ่งผ้าเช็ดตัวเดินออกมาจากห้องน้ำ กำลังจะเข้าไปแต่งตัวในห้องนอนก็เห็นไอ้นนท์นั่งอยู่บนโซฟาหน้าทีวี หัวเราะคิกคัก สายตาจ้องไปที่หน้าจอมือถือในมือ “ขำอะไรวะ แบ่งกูดูบ้างสิ” “พี่แองโจลี่ส่งคลิปที่มึงใส่ชุดมาสคอตมาให้ดู มึงนี่ใช้ได้เหมือนกันนะ...

รักไม่รับจ้าง – ตอนที่ 24

นนท์ ผมตามพี่แองโจลี่มาลองชุดกับพี่ไก่แจ้ เสื้อผ้าวันนี้มาในธีมสีแดงสดใสร้อนแรง พี่ไก่แจ้เลือกให้พวกเราคนละ 2 ชุด จากนั้นพาทุกคนมาที่หน้าเวทีเพื่อซ้อมเดินแบบ ซ้อมกันอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมงก็ได้พัก พี่แองโจลี่เอาน้ำเย็นมาให้ผมกับไมค์คนละขวด ผมรับมาดื่มแล้วถามหาไอ้ตู้เย็น...

สรุปเนื้อหาและแนะนำหนังสือที่น่าสนใจ ชวนเพื่อน ๆ มาพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้นในทุก ๆ วันไปด้วยกันครับ

Copyright 2025 Aitim and Co. All rights reserved

error: Content is protected !!