รักไม่รับจ้าง – ตอนที่ 22

Share

นนท์

ถึงแม้ตอนนี้ผมจะไม่พร้อมพูดคุยอะไรกับไอ้ตู้เย็นสักเท่าไหร่ แต่มันก็มัดมือชกทำผมเลี่ยงไม่ได้ ผมตามมันขึ้นมาบนห้อง หวังจะคุยกับมันให้จบ ๆ ไป แต่มันก็ยึกยักไม่ยอมเข้าเรื่องสักที ในที่สุดมันก็พูดความในใจออกมาว่าช่วงนี้มันคิดว่าผมดูแปลกไป ผมจึงรีบตอบไปว่ามันต่างหากที่ดูแปลกไป ก็ช่วง 2-3 วันมานี้มันดูไม่ใช่ไอ้ตู้เย็นที่ผมรู้จักจริง ๆ นี่หน่า

“หมายความว่าไงวะ กูก็เป็นกูปกติของกูเหมือนเดิม” ไอ้ตู้เย็นไม่ยอมรับ

“แล้วที่มึงพูดว่ากูดูแปลกไปเนี่ย กูแปลกไปยังไงวะ?”

“ก็… มึงพยายามหลบหน้ากู อารมณ์ไม่ดีใส่กู กูไม่เคยเห็นมึงอารมณ์ไม่ดีใส่ใครเลย พอมาอารมณ์ไม่ดีใส่กู กูก็เสียความรู้สึกนะเว้ย ถามจริงเถอะ มึงโกรธกูเรื่องอะไรวะ หลายวันมานี้กูพยายามคิด แต่ก็คิดไม่ออกจริง ๆ ว่ะ”

ถ้าผมบอกสาเหตุมันไป ไอ้ตู้เย็นจะมองผมไม่เหมือนเดิมไหม “ช่างมันเถอะ เรื่องนี้อย่าไปสนใจเลย”

“จะไม่ให้สนใจได้ไงวะ ถ้าเราจะคบกันเป็นเพื่อนต่อไป จะปล่อยให้เรื่องนี้ค้างคาอยู่ได้ไง บอกกูทีเถอะว่ากูทำอะไรให้มึงไม่พอใจ”

ผมไม่กล้าบอกสาเหตุที่ผมไม่พอใจมันออกมา ผมพอใจสถานะเพื่อนที่ค่อยเป็นค่อยไปของเราในตอนนี้ หากพูดความรู้สึกออกไป แล้วไอ้ตู้เย็นจะตัดเยื่อใยทุกอย่างทิ้ง แม้แต่ความเป็นเพื่อนก็ไม่มีเหลือ แต่อีกใจผมก็ไม่อยากอมพะนำเก็บความรู้สึกเอาไว้อย่างนี้ มันทำให้ผมอึดอัดใจ เอาล่ะ… เป็นไงเป็นกัน ผมจะซื่อตรงต่อความรู้สึกตัวเอง ผลจะออกมายังไงก็คงต้องยอมรับ

“ตั้งแต่วันเสาร์ที่แล้ว ที่มึงเพิ่งเคยเจอนานะ มึงก็ดูแปลกไป”

ได้ยินแล้วไอ้ตู้เย็นก็ทำหน้าสงสัย

“กูแปลกไปยังไงวะ แล้วนานะเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วย?”

“ก็ตั้งแต่รู้จักกับมึงมา มึงคือไอ้เสือยิ้มยาก พูดน้อย ไม่ค่อยแสดงความรู้สึก แต่วันนั้นที่มึงคุยกับนานะ มึงดูเป็นอีกคนที่กูไม่เคยเจอมาก่อน มึงช่างพูดขึ้น ดูเอาใจใส่คนอื่น ดูมีความสุข ดูสดใสตอนที่ได้อยู่กับนานะ 2 คน ตั้งแต่รู้จักกับมึงมา มึงไม่เคยแสดงด้านนี้ให้กูได้เห็นเลย แต่กับนานะที่เพิ่งเจอกันวันแรก มึงกลับ…”

“นี่มึงหึงกูเหรอเนี่ย?”

ผมสะดุ้งกับคำที่ไอ้ตู้เย็นพูดออกมา มันใช้คำพูดตรงไปไหม แต่จะให้ปฏิเสธว่าไม่ใช่อย่างนั้นก็ไม่ได้

“กูไม่ได้คิดอะไรกับนานะเลยเว้ย แค่รู้สึกว่านานะนิสัยคล้ายเพื่อนสนิทสมัย ม.ปลายกูคนหนึ่ง กูเลยเผลอทำตัวสนิทสนมออกมามากไปหน่อยมั้ง ให้กูสาบานตรงนี้เลยว่ากูไม่ได้คิดอะไรกับนานะเลยจริง ๆ ไม่ได้หวังว่าต้องได้เป็นเพื่อนกันด้วยซ้ำ” ไอ้ตู้เย็นพูดแล้วยกสิบนิ้วขึ้นมาชู “กูต่างหากที่เป็นฝ่ายคิดมาก เวลาเห็นมึงกับนานะเข้าซีนใกล้ชิดกัน ตอนที่กล้องกำลังถ่ายพวกมึงอยู่ กูเชื่อจริง ๆ นะว่ามึง 2 คนเป็นแฟนกัน ก็ดูเหมาะสมกันขนาดนั้น เดือนกับดาวคณะกันทั้งคู่นี่ กูต้องพยายามปลอบใจตัวเองตลอดว่าเป็นแค่การแสดง” ไอ้ตู้เย็นนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “กูยอมรับก็ได้ว่ากูหึงมึง แต่กูก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าจะไปหึงมึงทำไม มึงกับกูเป็นแค่เพื่อนกัน”

พอได้ฟังไอ้ตู้เย็นอธิบาย ผมก็เข้าใจในมุมมองมันมากขึ้น นี่เท่ากับว่าเราทั้งสองมองเหตุการณ์เดียวกันแล้วตัดสินอีกฝ่ายจากมุมมองของตัวเอง ไม่ยอมสอบถามเจตนาของอีกฝ่ายว่าตรงกับที่ตัวเองคิดหรือเปล่า ส่วนที่ไอ้ตู้เย็นบอกว่ามันหึงผม หมายความว่ามันก็คิดแบบเดียวกับผมอย่างงั้นสิ

“มึงหึงกูงั้นเหรอ?” ผมถามย้ำไปอีกที

ไอ้ตู้เย็นพเยิดหน้า

“เพื่อนกันหึงกันได้ด้วยเหรอวะ?”

“แล้วต้องอยู่ในสถานะไหน กูถึงจะมีสิทธิ์หึงมึงได้ล่ะ?”

ผมนิ่งคิดครู่หนึ่ง “อย่างน้อยก็ต้องเป็นแฟนกัน”

“แล้วกูมีสิทธิ์ได้สถานะนั้นจากมึงไหม?”

หูผมแดงแจ๋ “นี่มึงกำลังขอกูเป็นแฟนอยู่นะ”

“คงงั้นมั้ง กูไม่เคยตกหลุมรักใครเลย แต่กับมึงจะเรียกว่าตกหลุมรักได้ไหม กูชอบเวลาที่ได้เห็นหน้าของมึง มันทำให้กูรู้สึกเหมือนโลกสีหม่น ๆ รอบตัวดูสดใสขึ้นมา กูชอบที่มึงเป็นฝ่ายเข้าหากู ทั้งที่กูก็รู้ตัวว่าตัวเองไม่ได้น่าคบเป็นเพื่อนด้วยเท่าไหร่ กูชอบที่มึงมาจู้จี้จุกจิก จัดการชีวิตกูให้เข้าที่เข้าทางขึ้น กูมีความสุขมากเลยนะ ช่วงที่มึงมาอยู่ยาวที่คอนโดกับกู มึงมาอยู่แบบนั้นตลอดไปเลยได้ไหมวะ?”

“มึงพูดอย่างนี้กูจะเลิกเป็นเพื่อนกับมึงแล้วนะ เอากุญแจรถกูคืนมา กูจะกลับหอ”

ไอ้ตู้เย็นตกใจที่ได้ยินผมพูดออกไปแบบนั้น

“เฮ้ย! กูขอโทษที่พูดอะไรโง่ ๆ ออกไป มึงคงไม่พอใจที่มีผู้ชายมาขอเป็นแฟนใช่ไหม แต่อย่างน้อยมึงก็อย่าถึงขั้นตัดขาดความเป็นเพื่อนกับกูเลยนะ”

“กูหมายถึง… กูยอมคบมึงเป็นแฟนก็ได้ กูแอบชอบมึงตั้งแต่ตอนเจอกันครั้งแรกที่กิจกรรมรับน้องคณะแล้ว”

“แต่ตอนนั้นมึงแกล้งกูนี่ เวลามึงแอบชอบใคร มึงจะแสดงออกอย่างนั้นเหรอวะ?”

“กูคิดว่ามันจะช่วยให้เราสนิทกันขึ้นไง เออ… ขอกุญแจรถกูคืนได้หรือยังวะ?”

ไอ้ตู้เย็นแปลกใจที่ผมยังถามหากุญแจรถคืนจากมันอยู่

“คืนนี้มึงไม่ได้จะนอนค้างกับกูที่นี่หรอกเหรอ อยู่ด้วยกันเถอะนะ กูอยากกอดมึงให้สมกับที่มึงทำกูคิดมากเรื่องมึงมาตลอด 2-3 วันนี้”

“กูจะกลับหอไปเอาเสื้อผ้าไง”

ไอ้ตู้เย็นยิ้มผ่อนคลาย “มันดึกแล้ว คืนนี้นุ่งเสื้อผ้าขอกูไปก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยไปขนเสื้อผ้าจากหอมึงมาที่นี่ด้วยกัน” แล้วมันก็ตบที่นั่งข้าง ๆ “มาให้กอดทีหนึ่งได้ไหมคุณแฟน”

ผมหน้าแดงที่ถูกเรียกอย่างนั้น ยอมเดินไปนั่งข้าง ๆ มัน แล้วมันก็ยกแขนทั้ง 2 ข้างขึ้นมาโอบรอบตัวผม จากนั้นถอนหายใจยาวอย่างโล่งใจ

“เฮ้อ… สบายใจจัง อยากกอดมึงแบบนี้มานานแล้ว คราวนี้เราสองคนก็ไม่ต้องเก็บความรู้สึกกันแล้วนะคุณแฟน”

“มึงเรียกกูแบบนั้นมันจั๊กจี้ยังไงไม่รู้ว่ะ”

“อ้าว… ไม่ชอบให้เรียกแฟนเหรอครับ งั้นให้เรียกว่าอะไรดี ตัวเอง? เตง? บี๋? ฮันนี่? หรือที่รักดี?”

“เรียกอย่างเดิมที่เราเรียกกันทุกวันนี้เถอะว่ะ ใช้มึงกูนี่แหละ มันติดปากกูไปแล้ว”

“เอางั้นก็ได้ ดีเหมือนกัน คนอื่นจะได้ไม่รู้ว่าเราเป็นอะไรกัน มึงเป็นถึงเดือนคณะ มาคบกับผู้ชาย ถ้าคนอื่นรู้เข้ามีหวังได้เป็นข่าวซุบซิบใหญ่โตแน่ แถมกูจะโดนพี่ ๆ ในคณะที่เป็นแฟนคลับมึงเขม่นเอาอีก ดีไม่ดีอาจโดนเขม่นจากคนทั้งคณะ”

“มึงก็เวอร์ไป แต่กูไม่ได้ซีเรียสนะ ถ้าใครจะพูดถึงกูแบบนั้น ก็กูชอบผู้ชายจริงนี่หว่า กูไม่เคยคิดจะปิดบังว่าตัวเองเป็นเพศอะไร แต่ที่ผ่านมาไม่มีใครถาม ก็เลยไม่เคยได้พูด”

“ดึกแล้วอ่ะ อาบน้ำด้วยกันไหมจะได้รีบนอนไว ๆ”

“ทะลึ่ง! อาบทีละคนดิวะ มึงจะอาบก่อนหรือจะให้กูอาบก่อน?”

“กูจะอาบพร้อมมึง”

ไอ้ตู้เย็นยังกอดผมแน่น น้ำเสียงแฝงแววอ้อน ต่างจากที่ผมเคยเห็นทุกที

“งั้นมึงไปอาบก่อนเลย” ผมแกะมือของมันออก แล้วผลักให้มันไปอาบน้ำ ที่ผมอยากให้มันอาบก่อน เพราะกลัวว่าถ้าผมอาบก่อนมันจะทะเล่อทะล่าเข้ามาอาบพร้อมผมได้ ถึงจะดีใจที่วันนี้ได้เป็นแฟนกัน แต่ผมยังไม่พร้อมให้มันได้เห็นเจ้านนท์น้อย

ผมตื่นแต่เช้าตามปกติเช่นทุกวัน ไอ้ตู้เย็นยังนอนอ้าปากกรนเบา ๆ อยู่ข้าง ๆ ผมลุกจากเตียงไปเปิดผ้าม่านตรงระเบียง ปล่อยให้แสงสว่างส่องเข้ามาเป็นการปลุกมัน

“โอ้ย… ปิดม่านก่อนไอ้นนท์ กูแสบตา” ไอ้ตู้เย็นงึมงำพลางพลิกตัวหันหลังให้ระเบียง

“ตื่นได้แล้วน่า มึงจะนอนไปถึงไหน ดูสิเนี่ยแดดออกขนาดนี้ ควรตื่นได้แล้ว”

“แต่มันยังเช้าอยู่เลย”

“มึงทำใจไว้เลยนะ ถ้าให้กูมาอยู่ด้วย มึงได้ตื่นเวลานี้ทุกวันแน่”

“เออ… แต่วันนี้กูขอตื่นสายสักหน่อยไม่ได้เหรอ?”

“ไม่ได้! อย่างอแงเป็นเด็กน้อยน่า”

พูดแล้วผมก็ไปยืนที่ปลายเตียง เอา 2 มือจับข้อเท้าทั้ง 2 ข้างของมันไว้ แล้วดึงตัวมันลงมาครึ่งตัว

“เฮ้ย! ปล่อยกูนะ ตกเตียงไปเจ็บเหมือนกันนะเว้ย”

“งั้นก็ลุกได้แล้ว”

ไอ้ตู้เย็นยอมลุกขึ้นนั่งบนเตียง มันเอามือขยี้ตาท่าทางดูเหมือนเด็กน้อย แล้วเงยหน้าขึ้นมองผมพลางพูดว่า

“มึงไปทำข้าวเช้าหน่อย กูอยากกินข้าวฝีมือมึง”

“เอาอะไรมาให้กูทำล่ะ เมื่อคืนกูเปิดตู้เย็นห้องมึง เห็นมีแต่น้ำเปล่าแช่ไว้ งั้นเช้านี้เราไปตลาดกันไหม?”

ตอนพักกลางวันวันนี้ นานะส่งข้อความมาบอกผมว่ามีเรื่องจะคุยด้วย ขอนัดเจอเวลาบ่าย 3 วันนี้ที่ห้องสมุดคณะ ผมสงสัยว่าเรามีเรื่องอะไรต้องคุยกัน ผมกำลังลังเลอยู่ว่าควรปรึกษาไอ้ตู้เย็นดีไหม แต่แล้วก็ตัดสินใจโทรไปหามัน

“ไอ้ตู้เย็น… อยู่ ๆ นานะก็ขอนัดคุยกับกูว่ะ กูควรเอายังไงดีวะ?”

“อ๋อ… กูเป็นคนขอให้นานะนัดคุยกับมึงเอง มึงจะได้สบายใจว่าเรื่องของเราสองคนจะไม่มีทางมีนานะเข้ามาเกี่ยวข้องได้”

คำพูดของมันตีความยากเหมือนกัน คำที่ว่าไม่มีทางเข้ามาเกี่ยวข้องได้ ทำให้ผมคิดว่ามันมองนานะเหมือนเป็นนางร้ายที่จะเข้ามาแทรกกลางความรักคนอื่นอย่างนั้นน่ะ ไม่รู้ว่ามันไปพูดดี ๆ ขอให้นานะมาคุยกับผม หรือไปข่มขู่อะไร แต่ผมว่าคนอย่างมันไม่มีทางทำวิธีแบบหลังกับใครได้หรอก

ถึงเวลานัด ผมเจอนานะที่หน้าห้องสมุดคณะพอดี เราทักทายกัน เวลานี้คนใช้ห้องสมุดน้อย แต่เราก็เลือกที่นั่งด้านในสุด ซึ่งคิดว่าสามารถคุยกันได้โดยไม่มีใครมาได้ยิน นานะไม่รีรอ เธอเข้าเรื่องทันที

“เรารู้เรื่องนายกับตู้เย็นแล้วนะ ตู้เย็นเป็นคนบอกน่ะ ยินดีด้วยนะ” นานะพูดพร้อมยิ้มออกมาอย่างจริงใจ

อ้อ… เธอคงหมายถึงเรื่องที่ผมกับไอ้ตู้เย็นคบเป็นแฟนกัน

“ตู้เย็นบอกว่านายไม่สบายใจเรื่องเรา เราขอโทษนะที่ทำให้นายทั้งสองคนเข้าใจกันผิด เรื่องที่เรากำลังจะบอกนาย ตู้เย็นเขารู้แล้วล่ะ นายมั่นใจได้เลยว่าเราไม่มีทางกลายเป็นมือที่สามหรืออะไรแบบนั้นแน่นอน”

ผมชักสงสัยว่าเป็นเรื่องอะไร

“นานะจะบอกอะไรเราเหรอ?”

“คือเราเป็นเอเซ็กซ์ชวลน่ะ เคยได้ยินคำนี้ไหม?”

“เอเซ็กซ์ชวลเหรอ? ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยแฮะ”

“เราเป็นคนไม่สนใจเรื่องเซ็กซ์น่ะ ไม่พิศวาสกับเพศไหนเลย ไม่ว่าจะผู้ชาย ผู้หญิงด้วยกัน กับเกย์หรือกับเลสเบี้ยน ไม่มีอารมณ์ทางด้านนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราตายด้านนะ คนประเภทแบบเราน่ะเขาเรียกว่าเอเซ็กซ์ชวล เป็นรสนิยมทางเพศแบบหนึ่ง”

ผมไม่ได้เข้าใจแจ่มแจ้งว่าเอเซ็กซ์ชวลที่นานะพูดถึง นิยามอย่างชัดเจนว่ายังไง แต่เอาเป็นว่าเธอไม่มีทางมาตกหลุมรักผมหรือไอ้ตู้เย็นแน่ ๆ เท่านี้ผมก็สบายใจ ไม่มีอะไรค้างคาอยู่ในอกแล้ว และต้องขอบคุณเธอด้วยที่กล้าหาญมาบอกรสนิยมทางเพศให้กับเพื่อนที่เพียงแค่รู้จักกันผิวเผินเช่นผมได้รู้


Share

Leave a comment

Leave a Reply

What's New

ดำดิ่งสู่โลกกลับทิศ จิตวิทยาที่ซ่อนอยู่ในซีรีส์ “สเตรนเจอร์ ทิงส์”

หากพูดถึงซีรีส์ที่คนทั้งโลกรอคอย ซีรีส์ที่ปั้นเด็กไม่มีชื่อเสียงให้มายืนแถวหน้าของวงการบันเทิงได้ ซีรีส์ที่เป็นแม่เหล็กสำคัญในการดึงดูดให้คนมาสมัครบริการ Netflix จะเป็นซีรีส์เรื่องไหนไม่ได้นอกจากเรื่องสเตรนเจอร์ ทิงส์ ที่ตอนนี้มีมาถึงซีซัน 5 ซึ่งเป็นซีซันสุดท้ายแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ผลงานท้ายสุดของจักรวาลในซีรีส์นี้ เพราะในปี 2026 จะมีอนิเมชันที่เรื่องราวอยู่ในช่วงระหว่างซีซัน 2 และ 3 ของซีรีส์ต้นฉบับออกฉายตามมาครับ สาเหตุที่ซีรีส์เรื่องนี้ถูกใจคนทั้งโลก และขยายจักรวาลมาได้ยิ่งใหญ่อย่างทุกวันนี้ นอกจากเนื้อเรื่องที่ลึกลับน่าติดตามแล้ว อีกเหตุผลคือแต่ละตัวละครในเรื่องดูมีมิติสมจริง มีปูมหลัง และมีแรงผลักดันในชีวิตที่แตกต่างกันไป...

นาทีชีวิตฉุกเฉิน วิชาปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่ควรมีติดตัว เพื่อรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉินในวินาทีชีวิต

ทุกนาทีในชีวิตสามารถเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินที่ถึงขั้นอันตรายต่อชีวิต เหตุการณ์ฉุกเฉินไม่เลือกสถานที่เกิด ไม่ว่าจะเป็นบนถนน ในห้างฯ หรือแม้กระทั่งบ้านของพวกเราเอง การมีความรู้เบื้องต้นในการรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉิน ช่วยให้เราลดความเสี่ยงที่เหตุการณ์นั้นจะอันตรายถึงชีวิตได้ครับ ไอติมเล่า ep นี้มาแนะนำเนื้อหาจากหนังสือ อยู่ให้ได้ ตายให้ดี: เรียนรู้นาทีชีวิตจากห้องฉุกเฉิน เขียนโดยคุณหมอสองท่านครับคือ หมอเจี๊ยบ พญ. ลลนา ก้องธรนินทร์ และหมอยุ้ย พญ. พรรณอร เฉลิมดำริชัย ในเล่มนี้เล่าว่าหมอฉุกเฉินต้องเจอกับอะไรบ้าง...

บทเรียนจากคนเหล็ก 7 ข้อคิดการใช้ชีวิตให้ประสบความสำเร็จฉบับอาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์

การได้อ่านหรือได้ฟังเรื่องราวของคนที่ประสบความสำเร็จ ถือเป็นทางลัดอย่างหนึ่งในการเรียนรู้ชีวิต โดยที่เราไม่ต้องรอให้พบเจอด้วยตัวเอง ยิ่งคนนั้นเป็นคนที่ใช้ชีวิตมานาน มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ บทเรียนจากชีวิตของพวกเขาก็ยิ่งมีคุณค่า ไอติมอ่าน ep นี้มาแนะนำเนื้อหาจากหนังสือ Be Useful: Seven Tools for Life ชื่อภาษาไทยคือ จงทำตัวให้มีประโยชน์: 7 เครื่องมือสำหรับใช้ชีวิต เขียนโดยอาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์ (Arnold Schwarzenegger)...

คิดมากไปทำไม ขนาดพระพุทธเจ้ายังเคยทำพลาดเลย แค่รู้ประวัติศาสตร์ ก็หายขาดจากความกลุ้มใจได้แล้ว

เพื่อน ๆ กำลังทุกข์ใจและเหนื่อยที่ต้องแบกรับความกดดันเอาไว้มากเกินไปอยู่หรือเปล่าครับ กำลังรู้สึกแย่ที่ชีวิตไม่ประสบความสำเร็จเหมือนคนอื่นอยู่หรือเปล่า สังคมทุกวันนี้มีสารพัดเรื่องให้กลุ้มใจ แล้วเพื่อน ๆ เคยคิดบ้างไหมครับว่าปัญหาที่กำลังเจออยู่นี้ เคยมีคนอื่นเจอมาก่อนเราหรือเปล่า แม้ประวัติศาสตร์จะเต็มไปด้วยเรื่องราวของบุคคลที่ประสบความสำเร็จ แต่เบื้องหลักชีวิตของพวกเขาเหล่านั้นล้วนผ่านเรื่องราวมากมาย พวกเขาเป็นคนธรรมดาเหมือนกับพวกเรานี่แหละครับ การศึกษาประวัติศาสตร์ทำให้เรารู้ว่าทุกคนล้วนเคยผิดพลาดกันมาบ้าง และการจะได้มาซึ่งความสำเร็จบางครั้งต้องอาศัยเวลาที่เหมาะสม ไอติมฮีลใจ ep นี้มาแนะนำหนังสือคิดมากไปทำไม ขนาดพระพุทธเจ้ายังเคยทำพลาดเลย เขียนโดยฟุกาอิ ริวโนะซุเกะ หนังสือเล่มนี้เล่าเรื่องราวชีวิตของบุคคลที่เป็นที่รู้จักระดับโลกว่ากว่าที่พวกเขาจะประสบความสำเร็จต้องล้มลุกคลุกคลานมายังไงบ้าง ในเล่มพูดถึงหลายคนเลยครับ แต่ผมขอเลือกเรื่องของคนที่ผมสนใจมาเล่าให้เพื่อน...

วัฒนธรรมคำจีน จากกงสีถึงอั่งเปา คำยืมที่เล่าประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ไทย-จีน

ปี พ.ศ. 2568 เป็นวาระครบรอบ 50 ปีของความสัมพันธ์ไทย-จีนอย่างเป็นทางการ แต่ในความเป็นจริงคนไทยและคนจีนมีความเชื่อมโยงกันมากว่า 2,000 ปีแล้ว โดยมีหลักฐานโบราณบ่งบอกว่าดินแดนแถบบ้านเรามีการค้าขายกับแผ่นดินจีนมาตั้งแต่ราชวงศ์ฮั่น การค้าขายกับจีนสร้างความมั่งคั่งให้กับกรุงศรีอยุธยาและเมืองท่าต่าง ๆ รอบอ่าวไทยมาตลอดเวลายาวนานหลายร้อยปี ชาวจีนเข้ามาตั้งหลักปักฐานอยู่ในสยาม สร้างศาลเจ้า สร้างบ้าน สร้างร้านค้า และนำวัฒนธรรมแบบจีนติดตัวมาด้วย บางคำศัพท์ที่เราได้ยินหรือใช้ในชีวิตประจำวัน หลายคำก็เป็นคำที่ยืมมาจากภาษาจีน ไอติมเล่า ep นี้มาเล่าความหมายและที่มาของคำจีนคุ้นหู...

จิตวิทยาต่อรอง จะต้องพูดและทำอะไรในการต่อรองที่แพ้ไม่ได้

ในชีวิตประจำวันเราต้องพบเจอกับเรื่องมากมายที่ต้องอาศัยการเจรจาต่อรอง ไม่ว่าจะเป็นการต่อรองขอลดราคาสินค้า ต่อรองกับลูกค้า หรือต่อรองเพื่อขอขึ้นเงินเดือน เทคนิคการต่อรองมีสอนกันมานานแล้ว แต่เทคนิคเหล่านั้นเน้นไปที่การท่องจำประโยคสำเร็จรูป ทั้งที่จริง ๆ แล้วการเจรจาต่อรองเป็นเรื่องที่คาดการณ์ไม่ได้ เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับอารมณ์มากกว่าเหตุผลครับ ดังนั้นการต่อรองต้องมุ่งเน้นไปที่การจัดการกับอารมณ์ของอีกฝ่าย แทนที่จะยกเหตุผลต่าง ๆ นานามาคุยกันเหมือนหุ่นยนต์ที่ไร้ความรู้สึก ไอติมอ่าน ep นี้มาสรุปเนื้อหาจากหนังสือ Never Split the Difference จิตวิทยาต่อรอง เขียนโดยคริส...

Related Articles

รักไม่รับจ้าง – ตอนที่ 27 (จบ)

ตู้เย็น ช่วงก่อนสอนปลายภาค ไอ้นนท์ช่วยเก็งข้อสอบให้ผมล่วงหน้าตั้ง 2 สัปดาห์ ช่วงนั้นผมหัวหมุนมากเป็นพิเศษ และแปลกใจมากที่ไอ้นนท์ไม่กังวลเกี่ยวกับการสอบเลย วันธรรมดาหลังเลิกเรียน มันยังไปทำงานพิเศษที่ร้านกรีนเฮาส์คาเฟ่และลมเย็นบาร์จนถึงเที่ยงคืน เสาร์อาทิตย์ยังออกไปขี่รถรับส่งอาหาร ระหว่างที่มันไม่อยู่ด้วย ผมก็พยายามทบทวนหนังสือ...

รักไม่รับจ้าง – ตอนที่ 26

นนท์ ถึงแม้ผมจะคุ้นเคยกับคอนโดของไอ้ตู้เย็นแล้ว แต่พอมันไม่อยู่ ห้องนี้ดูเหมือนจะใหญ่เกินไปสำหรับอยู่คนเดียว ผมเกิดอาการคิดถึงมันขึ้นมา เกิดความรู้สึกเหงาขึ้นมา ทั้งที่แต่ก่อนอยู่ตามลำพังมาได้ตลอด พอห่างจากผม ไม่รู้ว่าไอ้ตู้เย็นจะรู้สึกเหงาและคิดถึงแบบเดียวกันหรือเปล่า อยู่ห้องก็ไม่มีอะไรให้ทำ วันนี้ผมเลยจะออกไปขี่รถรับส่งอาหารไวกว่าปกติละกัน ขณะกำลังจะลุกไปเตรียมตัว...

รักไม่รับจ้าง – ตอนที่ 25

ตู้เย็น อาบน้ำเย็น ๆ ชำระล้างเหงื่อไคลจนสะอาดสะอ้านแล้วผมก็สดชื่นขึ้นมาทันที ผมนุ่งผ้าเช็ดตัวเดินออกมาจากห้องน้ำ กำลังจะเข้าไปแต่งตัวในห้องนอนก็เห็นไอ้นนท์นั่งอยู่บนโซฟาหน้าทีวี หัวเราะคิกคัก สายตาจ้องไปที่หน้าจอมือถือในมือ “ขำอะไรวะ แบ่งกูดูบ้างสิ” “พี่แองโจลี่ส่งคลิปที่มึงใส่ชุดมาสคอตมาให้ดู มึงนี่ใช้ได้เหมือนกันนะ...

รักไม่รับจ้าง – ตอนที่ 24

นนท์ ผมตามพี่แองโจลี่มาลองชุดกับพี่ไก่แจ้ เสื้อผ้าวันนี้มาในธีมสีแดงสดใสร้อนแรง พี่ไก่แจ้เลือกให้พวกเราคนละ 2 ชุด จากนั้นพาทุกคนมาที่หน้าเวทีเพื่อซ้อมเดินแบบ ซ้อมกันอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมงก็ได้พัก พี่แองโจลี่เอาน้ำเย็นมาให้ผมกับไมค์คนละขวด ผมรับมาดื่มแล้วถามหาไอ้ตู้เย็น...

สรุปเนื้อหาและแนะนำหนังสือที่น่าสนใจ ชวนเพื่อน ๆ มาพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้นในทุก ๆ วันไปด้วยกันครับ

Copyright 2025 Aitim and Co. All rights reserved

error: Content is protected !!