นนท์
ถึงแม้ตอนนี้ผมจะไม่พร้อมพูดคุยอะไรกับไอ้ตู้เย็นสักเท่าไหร่ แต่มันก็มัดมือชกทำผมเลี่ยงไม่ได้ ผมตามมันขึ้นมาบนห้อง หวังจะคุยกับมันให้จบ ๆ ไป แต่มันก็ยึกยักไม่ยอมเข้าเรื่องสักที ในที่สุดมันก็พูดความในใจออกมาว่าช่วงนี้มันคิดว่าผมดูแปลกไป ผมจึงรีบตอบไปว่ามันต่างหากที่ดูแปลกไป ก็ช่วง 2-3 วันมานี้มันดูไม่ใช่ไอ้ตู้เย็นที่ผมรู้จักจริง ๆ นี่หน่า
“หมายความว่าไงวะ กูก็เป็นกูปกติของกูเหมือนเดิม” ไอ้ตู้เย็นไม่ยอมรับ
“แล้วที่มึงพูดว่ากูดูแปลกไปเนี่ย กูแปลกไปยังไงวะ?”
“ก็… มึงพยายามหลบหน้ากู อารมณ์ไม่ดีใส่กู กูไม่เคยเห็นมึงอารมณ์ไม่ดีใส่ใครเลย พอมาอารมณ์ไม่ดีใส่กู กูก็เสียความรู้สึกนะเว้ย ถามจริงเถอะ มึงโกรธกูเรื่องอะไรวะ หลายวันมานี้กูพยายามคิด แต่ก็คิดไม่ออกจริง ๆ ว่ะ”
ถ้าผมบอกสาเหตุมันไป ไอ้ตู้เย็นจะมองผมไม่เหมือนเดิมไหม “ช่างมันเถอะ เรื่องนี้อย่าไปสนใจเลย”
“จะไม่ให้สนใจได้ไงวะ ถ้าเราจะคบกันเป็นเพื่อนต่อไป จะปล่อยให้เรื่องนี้ค้างคาอยู่ได้ไง บอกกูทีเถอะว่ากูทำอะไรให้มึงไม่พอใจ”
ผมไม่กล้าบอกสาเหตุที่ผมไม่พอใจมันออกมา ผมพอใจสถานะเพื่อนที่ค่อยเป็นค่อยไปของเราในตอนนี้ หากพูดความรู้สึกออกไป แล้วไอ้ตู้เย็นจะตัดเยื่อใยทุกอย่างทิ้ง แม้แต่ความเป็นเพื่อนก็ไม่มีเหลือ แต่อีกใจผมก็ไม่อยากอมพะนำเก็บความรู้สึกเอาไว้อย่างนี้ มันทำให้ผมอึดอัดใจ เอาล่ะ… เป็นไงเป็นกัน ผมจะซื่อตรงต่อความรู้สึกตัวเอง ผลจะออกมายังไงก็คงต้องยอมรับ
“ตั้งแต่วันเสาร์ที่แล้ว ที่มึงเพิ่งเคยเจอนานะ มึงก็ดูแปลกไป”
ได้ยินแล้วไอ้ตู้เย็นก็ทำหน้าสงสัย
“กูแปลกไปยังไงวะ แล้วนานะเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วย?”
“ก็ตั้งแต่รู้จักกับมึงมา มึงคือไอ้เสือยิ้มยาก พูดน้อย ไม่ค่อยแสดงความรู้สึก แต่วันนั้นที่มึงคุยกับนานะ มึงดูเป็นอีกคนที่กูไม่เคยเจอมาก่อน มึงช่างพูดขึ้น ดูเอาใจใส่คนอื่น ดูมีความสุข ดูสดใสตอนที่ได้อยู่กับนานะ 2 คน ตั้งแต่รู้จักกับมึงมา มึงไม่เคยแสดงด้านนี้ให้กูได้เห็นเลย แต่กับนานะที่เพิ่งเจอกันวันแรก มึงกลับ…”
“นี่มึงหึงกูเหรอเนี่ย?”
ผมสะดุ้งกับคำที่ไอ้ตู้เย็นพูดออกมา มันใช้คำพูดตรงไปไหม แต่จะให้ปฏิเสธว่าไม่ใช่อย่างนั้นก็ไม่ได้
“กูไม่ได้คิดอะไรกับนานะเลยเว้ย แค่รู้สึกว่านานะนิสัยคล้ายเพื่อนสนิทสมัย ม.ปลายกูคนหนึ่ง กูเลยเผลอทำตัวสนิทสนมออกมามากไปหน่อยมั้ง ให้กูสาบานตรงนี้เลยว่ากูไม่ได้คิดอะไรกับนานะเลยจริง ๆ ไม่ได้หวังว่าต้องได้เป็นเพื่อนกันด้วยซ้ำ” ไอ้ตู้เย็นพูดแล้วยกสิบนิ้วขึ้นมาชู “กูต่างหากที่เป็นฝ่ายคิดมาก เวลาเห็นมึงกับนานะเข้าซีนใกล้ชิดกัน ตอนที่กล้องกำลังถ่ายพวกมึงอยู่ กูเชื่อจริง ๆ นะว่ามึง 2 คนเป็นแฟนกัน ก็ดูเหมาะสมกันขนาดนั้น เดือนกับดาวคณะกันทั้งคู่นี่ กูต้องพยายามปลอบใจตัวเองตลอดว่าเป็นแค่การแสดง” ไอ้ตู้เย็นนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “กูยอมรับก็ได้ว่ากูหึงมึง แต่กูก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าจะไปหึงมึงทำไม มึงกับกูเป็นแค่เพื่อนกัน”
พอได้ฟังไอ้ตู้เย็นอธิบาย ผมก็เข้าใจในมุมมองมันมากขึ้น นี่เท่ากับว่าเราทั้งสองมองเหตุการณ์เดียวกันแล้วตัดสินอีกฝ่ายจากมุมมองของตัวเอง ไม่ยอมสอบถามเจตนาของอีกฝ่ายว่าตรงกับที่ตัวเองคิดหรือเปล่า ส่วนที่ไอ้ตู้เย็นบอกว่ามันหึงผม หมายความว่ามันก็คิดแบบเดียวกับผมอย่างงั้นสิ
“มึงหึงกูงั้นเหรอ?” ผมถามย้ำไปอีกที
ไอ้ตู้เย็นพเยิดหน้า
“เพื่อนกันหึงกันได้ด้วยเหรอวะ?”
“แล้วต้องอยู่ในสถานะไหน กูถึงจะมีสิทธิ์หึงมึงได้ล่ะ?”
ผมนิ่งคิดครู่หนึ่ง “อย่างน้อยก็ต้องเป็นแฟนกัน”
“แล้วกูมีสิทธิ์ได้สถานะนั้นจากมึงไหม?”
หูผมแดงแจ๋ “นี่มึงกำลังขอกูเป็นแฟนอยู่นะ”
“คงงั้นมั้ง กูไม่เคยตกหลุมรักใครเลย แต่กับมึงจะเรียกว่าตกหลุมรักได้ไหม กูชอบเวลาที่ได้เห็นหน้าของมึง มันทำให้กูรู้สึกเหมือนโลกสีหม่น ๆ รอบตัวดูสดใสขึ้นมา กูชอบที่มึงเป็นฝ่ายเข้าหากู ทั้งที่กูก็รู้ตัวว่าตัวเองไม่ได้น่าคบเป็นเพื่อนด้วยเท่าไหร่ กูชอบที่มึงมาจู้จี้จุกจิก จัดการชีวิตกูให้เข้าที่เข้าทางขึ้น กูมีความสุขมากเลยนะ ช่วงที่มึงมาอยู่ยาวที่คอนโดกับกู มึงมาอยู่แบบนั้นตลอดไปเลยได้ไหมวะ?”
“มึงพูดอย่างนี้กูจะเลิกเป็นเพื่อนกับมึงแล้วนะ เอากุญแจรถกูคืนมา กูจะกลับหอ”
ไอ้ตู้เย็นตกใจที่ได้ยินผมพูดออกไปแบบนั้น
“เฮ้ย! กูขอโทษที่พูดอะไรโง่ ๆ ออกไป มึงคงไม่พอใจที่มีผู้ชายมาขอเป็นแฟนใช่ไหม แต่อย่างน้อยมึงก็อย่าถึงขั้นตัดขาดความเป็นเพื่อนกับกูเลยนะ”
“กูหมายถึง… กูยอมคบมึงเป็นแฟนก็ได้ กูแอบชอบมึงตั้งแต่ตอนเจอกันครั้งแรกที่กิจกรรมรับน้องคณะแล้ว”
“แต่ตอนนั้นมึงแกล้งกูนี่ เวลามึงแอบชอบใคร มึงจะแสดงออกอย่างนั้นเหรอวะ?”
“กูคิดว่ามันจะช่วยให้เราสนิทกันขึ้นไง เออ… ขอกุญแจรถกูคืนได้หรือยังวะ?”
ไอ้ตู้เย็นแปลกใจที่ผมยังถามหากุญแจรถคืนจากมันอยู่
“คืนนี้มึงไม่ได้จะนอนค้างกับกูที่นี่หรอกเหรอ อยู่ด้วยกันเถอะนะ กูอยากกอดมึงให้สมกับที่มึงทำกูคิดมากเรื่องมึงมาตลอด 2-3 วันนี้”
“กูจะกลับหอไปเอาเสื้อผ้าไง”
ไอ้ตู้เย็นยิ้มผ่อนคลาย “มันดึกแล้ว คืนนี้นุ่งเสื้อผ้าขอกูไปก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยไปขนเสื้อผ้าจากหอมึงมาที่นี่ด้วยกัน” แล้วมันก็ตบที่นั่งข้าง ๆ “มาให้กอดทีหนึ่งได้ไหมคุณแฟน”
ผมหน้าแดงที่ถูกเรียกอย่างนั้น ยอมเดินไปนั่งข้าง ๆ มัน แล้วมันก็ยกแขนทั้ง 2 ข้างขึ้นมาโอบรอบตัวผม จากนั้นถอนหายใจยาวอย่างโล่งใจ
“เฮ้อ… สบายใจจัง อยากกอดมึงแบบนี้มานานแล้ว คราวนี้เราสองคนก็ไม่ต้องเก็บความรู้สึกกันแล้วนะคุณแฟน”
“มึงเรียกกูแบบนั้นมันจั๊กจี้ยังไงไม่รู้ว่ะ”
“อ้าว… ไม่ชอบให้เรียกแฟนเหรอครับ งั้นให้เรียกว่าอะไรดี ตัวเอง? เตง? บี๋? ฮันนี่? หรือที่รักดี?”
“เรียกอย่างเดิมที่เราเรียกกันทุกวันนี้เถอะว่ะ ใช้มึงกูนี่แหละ มันติดปากกูไปแล้ว”
“เอางั้นก็ได้ ดีเหมือนกัน คนอื่นจะได้ไม่รู้ว่าเราเป็นอะไรกัน มึงเป็นถึงเดือนคณะ มาคบกับผู้ชาย ถ้าคนอื่นรู้เข้ามีหวังได้เป็นข่าวซุบซิบใหญ่โตแน่ แถมกูจะโดนพี่ ๆ ในคณะที่เป็นแฟนคลับมึงเขม่นเอาอีก ดีไม่ดีอาจโดนเขม่นจากคนทั้งคณะ”
“มึงก็เวอร์ไป แต่กูไม่ได้ซีเรียสนะ ถ้าใครจะพูดถึงกูแบบนั้น ก็กูชอบผู้ชายจริงนี่หว่า กูไม่เคยคิดจะปิดบังว่าตัวเองเป็นเพศอะไร แต่ที่ผ่านมาไม่มีใครถาม ก็เลยไม่เคยได้พูด”
“ดึกแล้วอ่ะ อาบน้ำด้วยกันไหมจะได้รีบนอนไว ๆ”
“ทะลึ่ง! อาบทีละคนดิวะ มึงจะอาบก่อนหรือจะให้กูอาบก่อน?”
“กูจะอาบพร้อมมึง”
ไอ้ตู้เย็นยังกอดผมแน่น น้ำเสียงแฝงแววอ้อน ต่างจากที่ผมเคยเห็นทุกที
“งั้นมึงไปอาบก่อนเลย” ผมแกะมือของมันออก แล้วผลักให้มันไปอาบน้ำ ที่ผมอยากให้มันอาบก่อน เพราะกลัวว่าถ้าผมอาบก่อนมันจะทะเล่อทะล่าเข้ามาอาบพร้อมผมได้ ถึงจะดีใจที่วันนี้ได้เป็นแฟนกัน แต่ผมยังไม่พร้อมให้มันได้เห็นเจ้านนท์น้อย
ผมตื่นแต่เช้าตามปกติเช่นทุกวัน ไอ้ตู้เย็นยังนอนอ้าปากกรนเบา ๆ อยู่ข้าง ๆ ผมลุกจากเตียงไปเปิดผ้าม่านตรงระเบียง ปล่อยให้แสงสว่างส่องเข้ามาเป็นการปลุกมัน
“โอ้ย… ปิดม่านก่อนไอ้นนท์ กูแสบตา” ไอ้ตู้เย็นงึมงำพลางพลิกตัวหันหลังให้ระเบียง
“ตื่นได้แล้วน่า มึงจะนอนไปถึงไหน ดูสิเนี่ยแดดออกขนาดนี้ ควรตื่นได้แล้ว”
“แต่มันยังเช้าอยู่เลย”
“มึงทำใจไว้เลยนะ ถ้าให้กูมาอยู่ด้วย มึงได้ตื่นเวลานี้ทุกวันแน่”
“เออ… แต่วันนี้กูขอตื่นสายสักหน่อยไม่ได้เหรอ?”
“ไม่ได้! อย่างอแงเป็นเด็กน้อยน่า”
พูดแล้วผมก็ไปยืนที่ปลายเตียง เอา 2 มือจับข้อเท้าทั้ง 2 ข้างของมันไว้ แล้วดึงตัวมันลงมาครึ่งตัว
“เฮ้ย! ปล่อยกูนะ ตกเตียงไปเจ็บเหมือนกันนะเว้ย”
“งั้นก็ลุกได้แล้ว”
ไอ้ตู้เย็นยอมลุกขึ้นนั่งบนเตียง มันเอามือขยี้ตาท่าทางดูเหมือนเด็กน้อย แล้วเงยหน้าขึ้นมองผมพลางพูดว่า
“มึงไปทำข้าวเช้าหน่อย กูอยากกินข้าวฝีมือมึง”
“เอาอะไรมาให้กูทำล่ะ เมื่อคืนกูเปิดตู้เย็นห้องมึง เห็นมีแต่น้ำเปล่าแช่ไว้ งั้นเช้านี้เราไปตลาดกันไหม?”
ตอนพักกลางวันวันนี้ นานะส่งข้อความมาบอกผมว่ามีเรื่องจะคุยด้วย ขอนัดเจอเวลาบ่าย 3 วันนี้ที่ห้องสมุดคณะ ผมสงสัยว่าเรามีเรื่องอะไรต้องคุยกัน ผมกำลังลังเลอยู่ว่าควรปรึกษาไอ้ตู้เย็นดีไหม แต่แล้วก็ตัดสินใจโทรไปหามัน
“ไอ้ตู้เย็น… อยู่ ๆ นานะก็ขอนัดคุยกับกูว่ะ กูควรเอายังไงดีวะ?”
“อ๋อ… กูเป็นคนขอให้นานะนัดคุยกับมึงเอง มึงจะได้สบายใจว่าเรื่องของเราสองคนจะไม่มีทางมีนานะเข้ามาเกี่ยวข้องได้”
คำพูดของมันตีความยากเหมือนกัน คำที่ว่าไม่มีทางเข้ามาเกี่ยวข้องได้ ทำให้ผมคิดว่ามันมองนานะเหมือนเป็นนางร้ายที่จะเข้ามาแทรกกลางความรักคนอื่นอย่างนั้นน่ะ ไม่รู้ว่ามันไปพูดดี ๆ ขอให้นานะมาคุยกับผม หรือไปข่มขู่อะไร แต่ผมว่าคนอย่างมันไม่มีทางทำวิธีแบบหลังกับใครได้หรอก
ถึงเวลานัด ผมเจอนานะที่หน้าห้องสมุดคณะพอดี เราทักทายกัน เวลานี้คนใช้ห้องสมุดน้อย แต่เราก็เลือกที่นั่งด้านในสุด ซึ่งคิดว่าสามารถคุยกันได้โดยไม่มีใครมาได้ยิน นานะไม่รีรอ เธอเข้าเรื่องทันที
“เรารู้เรื่องนายกับตู้เย็นแล้วนะ ตู้เย็นเป็นคนบอกน่ะ ยินดีด้วยนะ” นานะพูดพร้อมยิ้มออกมาอย่างจริงใจ
อ้อ… เธอคงหมายถึงเรื่องที่ผมกับไอ้ตู้เย็นคบเป็นแฟนกัน
“ตู้เย็นบอกว่านายไม่สบายใจเรื่องเรา เราขอโทษนะที่ทำให้นายทั้งสองคนเข้าใจกันผิด เรื่องที่เรากำลังจะบอกนาย ตู้เย็นเขารู้แล้วล่ะ นายมั่นใจได้เลยว่าเราไม่มีทางกลายเป็นมือที่สามหรืออะไรแบบนั้นแน่นอน”
ผมชักสงสัยว่าเป็นเรื่องอะไร
“นานะจะบอกอะไรเราเหรอ?”
“คือเราเป็นเอเซ็กซ์ชวลน่ะ เคยได้ยินคำนี้ไหม?”
“เอเซ็กซ์ชวลเหรอ? ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยแฮะ”
“เราเป็นคนไม่สนใจเรื่องเซ็กซ์น่ะ ไม่พิศวาสกับเพศไหนเลย ไม่ว่าจะผู้ชาย ผู้หญิงด้วยกัน กับเกย์หรือกับเลสเบี้ยน ไม่มีอารมณ์ทางด้านนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราตายด้านนะ คนประเภทแบบเราน่ะเขาเรียกว่าเอเซ็กซ์ชวล เป็นรสนิยมทางเพศแบบหนึ่ง”
ผมไม่ได้เข้าใจแจ่มแจ้งว่าเอเซ็กซ์ชวลที่นานะพูดถึง นิยามอย่างชัดเจนว่ายังไง แต่เอาเป็นว่าเธอไม่มีทางมาตกหลุมรักผมหรือไอ้ตู้เย็นแน่ ๆ เท่านี้ผมก็สบายใจ ไม่มีอะไรค้างคาอยู่ในอกแล้ว และต้องขอบคุณเธอด้วยที่กล้าหาญมาบอกรสนิยมทางเพศให้กับเพื่อนที่เพียงแค่รู้จักกันผิวเผินเช่นผมได้รู้
Leave a comment