หากพูดถึงซีรีส์ที่คนทั้งโลกรอคอย ซีรีส์ที่ปั้นเด็กไม่มีชื่อเสียงให้มายืนแถวหน้าของวงการบันเทิงได้ ซีรีส์ที่เป็นแม่เหล็กสำคัญในการดึงดูดให้คนมาสมัครบริการ Netflix จะเป็นซีรีส์เรื่องไหนไม่ได้นอกจากเรื่องสเตรนเจอร์ ทิงส์ ที่ตอนนี้มีมาถึงซีซัน 5 ซึ่งเป็นซีซันสุดท้ายแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ผลงานท้ายสุดของจักรวาลในซีรีส์นี้ เพราะในปี 2026 จะมีอนิเมชันที่เรื่องราวอยู่ในช่วงระหว่างซีซัน 2 และ 3 ของซีรีส์ต้นฉบับออกฉายตามมาครับ
สาเหตุที่ซีรีส์เรื่องนี้ถูกใจคนทั้งโลก และขยายจักรวาลมาได้ยิ่งใหญ่อย่างทุกวันนี้ นอกจากเนื้อเรื่องที่ลึกลับน่าติดตามแล้ว อีกเหตุผลคือแต่ละตัวละครในเรื่องดูมีมิติสมจริง มีปูมหลัง และมีแรงผลักดันในชีวิตที่แตกต่างกันไป จนสามารถนำมาวิเคราะห์และศึกษาได้
ไอติมอ่าน ep นี้ มาแนะนำเนื้อหาจากหนังสือ Stranger Things Psychology: ดำดิ่งสู่โลกกลับทิศ จิตวิทยาในสเตรนเจอร์ ทิงส์ เล่มนี้เขียนโดยนักวิชาการหลายคนครับ โดยมี Travis Langley เป็นบรรณาธิการ ในหนังสือวิเคราะห์ประเด็นทางจิตวิทยาที่สะท้อนอยู่ในซีรีส์ ผมสรุปเนื้อหาที่น่าสนใจมาให้เพื่อน ๆ ครับ
ทฤษฎีความเป็นเพื่อน
ธีมหลักสำคัญในซีรีส์สเตรนเจอร์ ทิงส์คือเรื่องของมิตรภาพ ในกลุ่มของตัวละครหลักมีกฎอย่าง “เพื่อนไม่โกหกกัน” ที่สะท้อนให้เห็นว่าเด็กก่อนวัยรุ่นรับมือกับโลกของพวกเขายังไง มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งสัมภาษณ์กลุ่มเด็กก่อนวัยรุ่นถึงมุมมองพื้นฐานที่พวกเขามองเกี่ยวกับมิตรภาพ นักวิจัยจัดกลุ่มองค์ประกอบสำคัญของมิตรภาพจากคำตอบของเด็ก ๆ ออกมาได้ 5 ข้อดังนี้ครับ

องค์ประกอบสำคัญของมิตรภาพ
1. การรวมตัวไปด้วยกัน
หมายถึงการได้ใช้เวลาทำกิจกรรมสนุกสนานด้วยกันอย่างสมัครใจ เป็นการไปเที่ยวบ้านของแต่ละคน การล้อมวงพูดคุยถึงสิ่งที่สนใจเหมือนกัน ในซีรีส์สเตรนเจอร์ ทิงส์การรวมตัวไปด้วยกันคือแกนกลางสำคัญของความเป็นเพื่อนของเด็กกลุ่มนี้ครับ
ไมค์ ดัสติน ลูคัส และวิล รวมตัวกันเพื่อเล่น Dungeons & Dragons พวกเขาขี่จักรยานไปรอบเมืองด้วยกัน ไปเล่นเกมที่ร้านเกมด้วยกัน หรือไปเล่นทริกออร์ทรีตในคืนวันฮาโลวีนด้วยกัน การรวมตัวไปด้วยกันสำหรับเด็กช่วงวัยนี้เป็นองค์ประกอบสำคัญในการรวมกลุ่มก้อนของความเป็นเพื่อนครับ
แต่เมื่อเด็ก ๆ โตขึ้น ความเป็นเพื่อนก็เริ่มสั่นคลอน เพราะมีบุคลิกเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ความสนใจเปลี่ยนไป ประสบการณ์ชีวิตหลากหลายขึ้น บทบาทหน้าที่เพิ่มขึ้น และความสัมพันธ์รูปแบบอื่น ๆ เริ่มก่อตัว อย่างวิลมองว่าการรวมตัวกันของพวกเขาเริ่มน้อยลง ในตอนที่ไมค์และลูคัสไปใช้เวลากับแฟนสาวมากกว่ากับเพื่อน
2. ความใกล้ชิด
หมายถึงความรู้สึกถึงการยอมรับ มีคุณค่า มีการส่งอารมณ์ความรู้สึกระหว่างกัน วิธีหนึ่งที่จะรักษาความใกล้ชิดระหว่างเพื่อนไว้ได้คือการแลกเปลี่ยนความลับระหว่างกัน อย่างตอนที่ไมค์และอิเลเวนพบกันครั้งแรก อิเลเวนถามไมค์ว่าได้รอยแผลใต้คางมาได้ยังไง หลังจากไมค์ตอบว่าเพราะโดนรังแกที่โรงเรียน อิเลเวนก็แสดงความเข้าอกเข้าใจไมค์
ช่วงก่อนวัยรุ่น เพื่อนมักจะยืนยันคุณค่าและความสำคัญของแต่ละฝ่ายอยู่เสมอ มีหลายครั้งที่แก๊งเด็กหนุ่มยกย่องกันเอง และตอนที่อิเลเวนกังวลเกี่ยวกับหน้าตาของเธอที่ไม่เหมือนเด็กผู้หญิง ไมค์บอกเธอว่าเธอน่ารักอยู่แล้ว โดยไม่ต้องแต่งหน้าหรือสวมวิกผม
3. ความมั่นคง
เด็ก ๆ ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับความมั่นคงว่า พวกเขาคาดหวังให้เพื่อนอยู่ตรงนั้นด้วย ตอนมีปัญหาที่โรงเรียนหรือที่บ้าน ความเป็นเพื่อนในแง่มุมนี้เป็นเรื่องของความเชื่อใจ ในซีรีส์สเตรนเจอร์ ทิงส์ กฎเพื่อนไม่โกหกกันเป็นหัวใจหลักของความเชื่อใจและความมั่นคงครับ
ตอนที่อิเลเวนบอกไมค์ว่าวิลหายไปในโลกอัพไซด์ดาวน์ ไมค์เชื่อเธอ แต่พอเจ้าหน้าที่พบศพวิล ไมค์ก็โกรธอิเลเวนมาก เขาคิดว่าเธอโกหก แต่พออิเลเวนพิสูจน์ได้ว่าศพที่เจอเป็นศพปลอมที่ถูกทางการจัดฉากขึ้น ตั้งแต่นั้นไมค์ก็เชื่อใจอิเลเวนและมอบความเป็นเพื่อนที่ไม่สั่นคลอนให้เธอ
4. ความช่วยเหลือ
เด็กก่อนวัยรุ่นต้องการให้เพื่อนอยู่ด้วยเมื่อเกิดปัญหา เพื่อพร้อมช่วยเหลือหรือสนับสนุน อย่างตอนที่ดัสตินใช้วิทยุสื่อสารเรียกเพื่อนด้วยรหัสแดง ซึ่งพวกเขาจะใช้เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน แต่ไม่มีเพื่อนคนไหนตอบกลับเขาเลย จึงทำให้เขาโกรธมาก แสดงให้เห็นว่าเขาคาดหวังให้เพื่อนพร้อมที่จะช่วยเหลือเขาอยู่ตลอดเวลา
หรือตอนที่ทั้งไมค์ ดัสติน ลูคัส และวิลถูกทรอยรังแกที่โรงเรียน แม้พวกเขาจะปกป้องตัวเองจากการถูกรังแกไม่ได้ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ทิ้งกัน และอยู่ปลอบใจกันในภายหลัง
5. ความขัดแย้ง
อาจจะดูแปลกที่ความขัดแย้งเป็นหนึ่งในองค์ประกอบของความเป็นเพื่อน งานวิจัยทางจิตวิทยาระบุว่าความขัดแย้งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นประจำในกลุ่มเพื่อน ในซีรีส์พวกเด็กหนุ่มทะเลาะกันบ่อยมาก แต่พวกเขาไม่ได้กังวลว่าความขัดแย้งเหล่านี้จะทำให้พวกเขาเลิกเป็นเพื่อนกัน พวกเขารู้ว่ามุมมองที่ต่างกันเป็นเรื่องที่ยอมรับได้
จิตวิทยาของความเป็นชาย
นักจิตวิทยาสองคนคือ เดบอราห์ เดวิด และโรเบิร์ต แบรนดอน บอกว่าบรรทัดฐานความเป็นชายแบบดั้งเดิมมีอยู่ 4 ข้อที่สังคมมองว่าผู้ชายแท้ควรจะรู้สึกและแสดงออก ซึ่งมีดังนี้ครับ
- ได้รับความเคารพจากความสำเร็จและสถานะของเขา
- ชอบเสี่ยงและผจญภัย
- ไม่แสดงความอ่อนแอให้เห็น
- ไม่แสดงความอ่อนโยน

ผู้ชายที่ยึดมั่นในบรรทัดฐานเหล่านี้ อาจกลายเป็นคน toxic ที่เชื่อมั่นกับบทบาททางเพศมากจนเกินไป ยึดมั่นกับคำว่า “ลูกผู้ชายต้องไม่ร้องไห้” จนทำร้ายความรู้สึกของตัวเองหรือของผู้อื่น เช่น จิม ฮอปเปอร์ที่มีบาดแผลเรื่องสูญเสียลูกสาว เขาเลยปิดกั้นไม่พยายามทำความเข้าใจความรู้สึก และไม่รู้จักระบายมันออกมาบ้าง ตอนที่ต้องพูดเปิดใจกับภรรยาเก่า เขาก็ตัดจบการสนทนาก่อนที่เสียงตัวเองจะสั่น
กับอิเลเวนที่จิมรับมาอุปการะ หลายครั้งเขาก็ลำบากในการหาคำพูดมาสื่อสารความรู้สึกของตัวเอง เขาเลือกที่จะสื่อสารแบบไม่ต้องเผชิญหน้า ผ่านทางวิทยุสื่อสารหรือเขียนจดหมายแทน

อีกตัวละครที่เป็นผู้ชาย toxic คือ บิลลี ฮาร์โกรฟ ตลอดทั้งเรื่องคนดูแทบจะไม่เห็นอารมณ์อื่นของเขาเลย นอกจากอารมณ์หงุดหงิด บิลลีมีแผลฝังใจที่ถูกพ่อทำร้ายทุบตีและแม่ทิ้งเขาไป บิลลีเลยหมกมุ่นเรื่องเพศ พยายามแสดงความเป็นชายแท้ โดยเชื่อว่าผู้ชายต้องเจ้าชู้ เขาเลยชอบจีบสาวและจีบสำเร็จไปแล้วหลายคน แต่เบื้องหลังความหมกมุ่นนี้ไม่ได้สร้างความสุขให้กับเขาเลย
แต่คนที่บิลลีให้ความสนใจมากที่สุดคือ สตีฟ แฮร์ริงตัน บิลลีจ้องสตีฟบ่อยกว่าคนอื่นจนคนดูจับสังเกตได้ กับคนอื่นบิลลีจะพูดจาห้วน ๆ ใส่ แต่กับสตีฟบิลลีกลับพูดดีด้วย อย่างตอนที่เขาสอนสตีฟเล่นบาสเกตบอล การที่บิลลีแสดงความเป็นชายออกมามากเกินไป จนกลายเป็นคน toxic อาจตีความได้ว่าเขาพยายามหลีกเลี่ยงไม่อยากยอมรับว่าตัวเองอาจชอบเพศเดียวกันครับ
บิลลีถูกพ่อทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ เพราะไม่เป็นผู้ชายแกร่งสมใจพ่อ และไม่สามารถทำตามระเบียบเข้มงวดที่พ่อตั้งไว้ได้ดีพอ ทำให้บิลลีเก็บกดความรู้สึกรักเพศเดียวกันไว้เพื่อเป็นวิธีเอาตัวรอด แล้วไประบายโดยการใช้ความรุนแรงใส่คนอื่น เขาอาจทำไปเพราะรู้สึกเกลียดตัวเอง หรือพยายามชดเชยที่ถูกพ่อทำลายความมั่นใจของตัวเอง
สิ่งที่ตรงข้ามกับความเป็นชายที่ toxic คือแก๊งเด็กหนุ่มในเรื่อง ไมค์ ดัสติน ลูคัส และวิล มักจะรวมหัวเพื่อปรึกษาพูดคุยและแก้ปัญหา พวกเขาพยายามอธิบายความรู้สึกของตัวเอง แสดงการรับรู้และเข้าใจความรู้สึกของคนอื่น รู้จักขอโทษอีกฝ่ายเมื่อตัวเองทำผิด พวกเขาร่วมมือกันเพื่อแข็งแกร่งไปด้วยกัน มากกว่าจะออกไปลุยเดี่ยวครับ
วิธีรับมือกับการถูกกลั่นแกล้ง
หลายคนมองว่าการกลั่นแกล้งกันในหมู่เด็ก ๆ เป็นเรื่องธรรมดา บางคนมองว่ามันคือขั้นตอนของการก้าวไปสู่วัยผู้ใหญ่ แต่งานวิจัยระบุว่าคนที่โดนกลั่นแกล้งในวัยเด็กยังรู้สึกเจ็บปวดอยู่ แม้จะโตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม โดยองค์ประกอบของการกลั่นแกล้งมีอยู่ 4 ข้อครับคือ การรับรู้ของเหยื่อ เจตนา การทำซ้ำ และอำนาจที่แตกต่างกัน

1. การรับรู้ของเหยื่อ
เหยื่อหรือคนที่โดนกลั่นแกล้งต้องมองว่าพฤติกรรมนั้นกำลังคุกคามหรือทำร้ายตัวเองอยู่ เช่น ตอนที่แก๊งเด็กหนุ่มกำลังเล่น Dungeons & Dragons แล้วไมค์พูดประชดและล้อเลียนเพื่อน ๆ ดัสตินและลูคัสไม่ได้รู้สึกอะไร แต่วิลรู้สึกไม่พอใจ ดังนั้นพฤติกรรมนี้ของไมค์จึงไม่ถือเป็นการกลั่นแกล้งในสายตาของดัสตินและลูคัส แต่สำหรับวิลถือเป็นการกลั่นแกล้งครับ
2. เจตนา
การกลั่นแกล้งต้องมาจากเจตนา เมื่อไมค์รู้ว่าวิลไม่พอใจ เขาจึงขอโทษและบอกว่าเพียงแค่ล้อเล่น หลังจากนั้นก็ไม่ทำอีก เขาห่วงความรู้สึกของวิล แม้การกระทำของไมค์จะเข้าข่ายเป็นการกลั่นแกล้งตามองค์ประกอบข้อที่ 1 แต่ไม่เข้ากับข้อที่ 2 เพราะเขาไม่ได้มีเจตนาตั้งใจจะกลั่นแกล้งครับ
3. การทำซ้ำ
การกลั่นแกล้งต้องเกิดขึ้นซ้ำ ๆ การที่ไมค์รู้ว่าวิลไม่พอใจแล้วไม่พูดล้อเลียนเพื่อนอีกเลย จึงไม่ถือว่าเป็นการกลั่นแกล้งครับ ต่างจากการที่แก๊งเด็กหนุ่มโดนทรอยรังแกอยู่เป็นประจำ ซึ่งเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ต่างเวลาและสถานที่
4. อำนาจที่แตกต่างกัน
พละกำลังมองเห็นได้ง่ายจากภายนอก เราจึงมักเห็นคนที่ตัวโตแกล้งคนที่ตัวเล็กกว่า แต่หลายครั้งเด็กที่ชอบกลั่นแกล้งคนอื่นอาจมีอำนาจ สถานะ หรืออภิสิทธิ์สูงกว่าคนที่ถูกแกล้ง
การกลั่นแกล้งอาจทำได้ทั้งทางร่างกาย ทางคำพูด หรือทางออนไลน์ เช่น การบังคับคนอื่นให้ตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย การแพร่ข่าวลือปลอม ๆ การเล่าเรื่องน่าอายของคนอื่น การโพสต์เรื่องแย่ ๆ ลงโซเชียลมีเดีย หรือการส่งข้อความไปข่มขู่
การกลั่นแกล้งมักเกิดขึ้นในกลุ่มคนที่อยู่ในช่วงปรับตัว เช่น อิเลเวนและแมกซ์ที่เพิ่งย้ายมาอยู่ในเมืองฮอว์กินส์ และการกลั่นแกล้งมักเกิดขึ้นบ่อยในโรงเรียนที่บรรยากาศไม่ดี เช่น ครูไม่สนใจนักเรียน ขาดช่องทางการติดต่อเพื่อของความช่วยเหลือจากครู

แนวการการป้องกันการกลั่นแกล้งที่ได้ผลดีที่สุดคือการสร้างบรรยากาศที่ปลอดภัย และช่วยเหลือกันไม่ให้มีการกลั่นแกล้งเกิดขึ้นครับ ผู้ใหญ่ต้องสอนให้เด็กไม่อยู่เฉยเมื่อเห็นเหตุการณ์กลั่นแกล้งกันเกิดขึ้นต่อหน้า สอนให้เด็กยืนหยัดเพื่อคนอื่นและตัวเอง สอนให้เด็กรู้ว่าการกลั่นแกล้งกันเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ และสร้างระบบสนับสนุนที่ดีโดยมีผู้ให้คำแนะนำ เช่น ครูคลาร์กที่พร้อมช่วยอธิบายทุกเรื่องที่เด็ก ๆ หรือผู้ปกครองถาม
เพราะโรงเรียนไม่ควรเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต หากเด็ก ๆ ได้เรียนรู้ เติบโต และมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ไม่เพียงแค่จะส่งผลกับคุณภาพชีวิตของเด็กไปตลอดชีวิต แต่ยังส่งผลต่อความเป็นอยู่ที่ดีของคนทั้งชุมชนอีกด้วยครับ
เด็กหายและผลกระทบของคนที่รออยู่
เรื่องราวในสเตรนเจอร์ ทิงส์เกิดขึ้นช่วงยุค 1980s และเกี่ยวข้องกับคดีเด็กหาย ซึ่งช่วงนั้นในความเป็นจริงสหรัฐอเมริกามีข่าวเด็กหายพุ่งสูงขึ้น จนกลายเป็นประเด็นระดับชาติ สื่อมวลชนนำเสนอประเด็นนี้อย่างต่อเนื่อง และมีการรณรงค์ระดับชาติเพื่อสร้างความตระหนักรู้เรื่องเด็กหาย มีการลงรูปประกาศเด็กหายบนกล่องนม กล่องพิซซ่า และป้ายโฆษณาบนถนน
ผู้คนในแถบชานเมืองหรือชนบทต่างกลัวว่าลูกหลานของตัวเองจะถูกลักพาตัวไป ช่วงนั้นคนอเมริกันมองว่าคนแปลกหน้าคือคนที่อันตราย กลายเป็นความหวาดกลัวระดับประเทศชาติ ทุกปีมีรายงานเด็กหายกว่า 500,000 รายเลยครับ

ครอบครัวของเด็กหายที่รออยู่ที่บ้านมักตกอยู่ในอารมณ์ที่หลากหลาย เช่น กลัว โกรธ เศร้า สิ้นหวัง คนที่รออยู่จะติดอยู่ในสองความรู้สึกคือ คาดหวังอยากให้ลูกหลานได้กลับมา พร้อมกับรู้สึกสิ้นหวังไปด้วย หลายคนทุกข์ใจกับความรู้สึกนี้ จนเข้าสู่ภาวะหดหู่และมีปัญหาทางจิตใจตามมาครับ
สิ่งที่คนที่รออยู่ต้องรับมือคือความคลุมเครือ พวกเขาไม่รู้ว่าลูกหลานจะกลับมาเมื่อไหร่ จะได้กลับมาจริง ๆ ไหม สับสนว่าควรนับว่ายังเป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัว หรือนับว่าเป็นคนที่จากไปแล้ว ความคลุมเครือแบบนี้นั้นเครียดมาก มันทำให้คนที่รออยู่ move on ยากครับ
ตอนที่วิลหายตัวไปได้เกิดความคลุมเครือขึ้นกับครอบครัวและเพื่อน ๆ ของเขา จอยซ์และโจนาธานผู้เป็นแม่และพี่ชายต้องทั้งทำงานและออกตามหาวิล พวกเขาพยายามใช้ชีวิตประจำวัน แต่รู้สึกว่าการใช้ชีวิตมันยาก เมื่อคนในครอบครัวหายตัวไปแบบนี้ และถึงแม้ไมค์ ลูคัส ดัสตินจะยังคงไปโรงเรียนตามปกติ แต่พวกเขาก็ไม่ล้อมวงเพื่อเล่น Dungeons & Dragons กันอีกแล้ว
วิธีรับมือกับการเป็นคนที่รออยู่ข้างหลังมีหลายวิธีครับ บางครอบครัวอาจมีความหวังเสมอว่าลูกหลานของพวกเขาจะกลับมาในสักวัน จึงยังคงเก็บรักษาห้องส่วนตัวของเด็กหายให้คงอยู่ในสภาพเดิม แม้เวลาจะผ่านไปเป็นสิบ ๆ ปีแล้วก็ตาม บางครอบครัวเว้นที่ประจำบนโต๊ะอาหารไว้ โดยหวังว่าวันหนึ่งเด็กที่หายจะกลับมากินมื้อเย็นด้วยกัน แต่วิธีการเหล่านี้เป็นการทำให้ความเจ็บปวดไม่จบลงเสียทีครับ
บางครอบครัวหลังจากผ่านไปช่วงเวลาหนึ่ง อาจจะเป็นปีหรือหลายปี พวกเขาจะจัดงานศพให้เด็กที่หายไป เพื่อช่วยให้คนที่รออยู่ได้ตัดใจ และทำใจได้ว่าคนคนนั้นได้จากไปแล้วจริง ๆ หรือครอบครัวอาจจะไปพบจิตแพทย์หรือผู้ให้คำปรึกษามืออาชีพ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการต้องยอมปล่อยมือครับ
วิธีรักษาแผลฝังใจและความเหงา
คนที่เคยมีประสบการณ์ความเจ็บปวดฝังใจ เช่น พบกับการเลิกรา ถูกทิ้ง ถูกลักพาตัว หรือถูกทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ พวกเขามักจะรู้สึกห่างเหินกับคนรอบข้าง เช่น จิม ฮอปเปอร์ที่ตัดขาดตัวเองจากโลกภายนอกและเลิกรากับภรรยา หลังจากที่ลูกสาวของเขาเสียชีวิต หรือแทร์รี ไอฟส์ ที่ลูกสาวของเธอซึ่งคืออิเลเวนถูกลักพาตัวไปตั้งแต่ยังเป็นทารก ทำให้เธอหนีจากโลกของความจริง แล้วเข้าไปอยู่ในโลกจินตนาการของตัวเองแทน

ความรู้สึกห่างเหินและตัดขาดจากคนอื่นดูเหมือนจะเป็นอาการหลักของคนที่มีแผลฝังใจ ความรู้สึกห่างเหินจากคนอื่นนำไปสู่ความรู้สึกเหงา จนส่งผลกระทบต่อสุขภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจ เกิดเป็นความทรมานที่ยาวนาน และอาจนำไปสู่การเสียชีวิตก่อนวัยอันควรได้ครับ
ความเหงาอาจรบกวนคุณภาพการนอนหลับ ทำให้คิดอย่างปลอดโปร่งได้น้อยลง ทำให้มีสมาธิจดจ่อกับอะไรได้ยากขึ้น ในซีรีส์เราจะเห็นว่าจอยซ์แทบจะนอนไม่หลับเลยตอนที่วิลหายตัวไป เธอวิตกกังวลอย่างมากและดูเหมือนเป็นคนไม่มีเพื่อนเลย เธอทั้งลืมกุญแจ ทำอาหารเช้าไม่ได้ และจำเรื่องง่าย ๆ ไม่ได้เลย
คนที่รู้สึกเหงามักจะหวาดระแวงและกลัวจะถูกคนอื่นปฏิเสธจนเกินเหตุ ด้วยเหตุผลนี้พวกเขาจึงแยกตัวเองออกมา หลังจากที่งานแต่งงานของจอยซ์ล่ม เธอก็จำกัดให้ชีวิตของตัวเองอยู่แค่การทำงาน กลับบ้าน และเข้านอน ซ้ำวนไปวนมาจนกลายเป็นวงจร
แต่การมีสังคมที่คอยสนับสนุนจะช่วยพัฒนาสุขภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจให้พวกเขาได้ อย่างเช่นอิเลเวนที่เมื่อเริ่มสนิทกับแก๊งเด็กหนุ่ม เธอก็ดูเหงาน้อยลงและรู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น หรือดัสตินที่ร้องไห้ในงานเต้นรำ เพราะถูกผู้หญิงหลายคนปฏิเสธ เมื่อแนนซีเห็นและเดินมาชวนเขาไปเป็นคู่เต้นรำ เขาก็เริ่มกลับมามีความมั่นใจในตัวเองได้อีกครั้ง
นอกจากประเด็นที่ผมนำมาเล่าให้ฟัง ในหนังสือยังพูดถึงอีกหลายประเด็นครับ อย่างที่บอกในตอนต้นว่าหนังสือเล่มนี้เขียนโดยนักวิชาการหลายคน ทำให้แต่ละบทมีสำนวนการเขียนที่แตกต่างกัน บางบทเขียนสนุกเหมือนเพื่อนเล่าให้ฟัง บางบทเข้าใจยาก
เพื่อน ๆ คนไหนสนใจสามารถหามาอ่านเพิ่มเติมได้ครับกับหนังสือ Stranger Things Psychology: ดำดิ่งสู่โลกกลับทิศ จิตวิทยาในสเตรนเจอร์ ทิงส์ ราคา 350 บาท ตีพิมพ์เป็นภาษาไทยโดยสำนักพิมพ์วาราครับ
สนใจหนังสือ Stranger Things Psychology: ดำดิ่งสู่โลกกลับทิศ จิตวิทยาในสเตรนเจอร์ ทิงส์
สามารถสั่งซื้อได้ที่ Shopee: https://s.shopee.co.th/9fCZJHjmsm
ซื้อผ่านลิงค์เป็นการสนับสนุนช่องครับ
Leave a comment