The Compound Effect สะสมนิสัยเล็ก ๆ สร้างความสำเร็จให้ทวีคูณ

Share
Share

ไอติมอ่าน ep นี้ หยิบหนังสือยอดฮิตซึ่งเป็นที่พูดถึงทั้งในไทยและต่างประเทศ ถูกชื่นชมว่าเป็นหนึ่งในหนังสือที่ควรอ่าน หนังสือเล่มนั้นคือ “The Compound Effect สะสมนิสัยเล็ก ๆ สร้างความสำเร็จให้ทวีคูณ” สาระหลักที่หนังสือเล่มนี้นำเสนอ คือการนำเอา compound effect หรือแนวคิดผลกระทบแบบทบต้นมาใช้กับทุกด้านของชีวิต

หนังสือไม่ได้ยาวมาก ผมอ่านจบแล้วพบว่าแก่นของสาระมีเพียงแนวคิดผลกระทบแบบทบต้นเพียงแค่ประเด็นเดียว เนื้อหาในหนังสือแทบทั้งเล่มหมดไปกับการยกกรณีตัวอย่างถึงคนนั้นคนนี้ว่าพวกเขานำแนวคิดนี้ไปใช้แล้วได้ผลยังไง ชีวิตเปลี่ยนไปหรือดีขึ้นยังไงบ้าง

ไอเดียของผลกระทบแบบทบต้น คือการทำสิ่งเล็ก ๆ ที่แทบไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลง แต่เป็นการทำสิ่งนั้นอย่างสม่ำเสมอ เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งเล็ก ๆ ที่ทำจะก่อให้เกิดผลลัพธ์แบบทวีคูณ ผู้เขียนยกตัวอย่างของผลกระทบแบบทบต้นในด้านการเงินว่า

ถ้าคุณมี 2 ทางเลือก คุณจะเลือกทางไหนระหว่าง

  1. คุณได้รับเงินสด 3 ล้านบาทไปในทันที
  2. คุณจะได้เงิน 1 สตางค์ และทุกวันเงินนั้นจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว นาน 31 วัน

หากคุณเลือกรับข้อเสนอที่สอง เมื่อถึงวันที่ 5 คุณจะมีเงิน 16 สตางค์ พอถึงวันที่ 10 คุณจะมีเงิน 5.12 บาท ผ่านไป 20 วัน คุณจะมีเงิน 5,243 บาท ผ่านมาครึ่งทางแล้ว คุณได้เงินยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของจำนวนเงิน 3 ล้านบาทเลย แต่หลังจากนั้นพลังของผลกระทบแบบทบต้นจะเริ่มส่งผลชัดเจนแล้ว ในวันที่ 31 คุณจะมีเงิน 10,737,418 บาท ซึ่งมากกว่าเงิน 3 ล้านบาทซึ่งเป็นตัวเลือกแรกถึง 3 เท่า

นี่คือตัวอย่างที่เห็นภาพได้อย่างง่าย ๆ ของผลกระทบแบบทบต้น เพื่อให้เข้าใจแนวคิดนี้ยิ่งขึ้น ผมจะยกอีกหนึ่งตัวอย่าง คราวนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการกินของคน 3 คน

  • คนแรกกินอาหารเท่าเดิม
  • คนที่ 2 ลดอาหารที่กินลงวันละ 125 แคลอรี
  • คนที่ 3 เพิ่มอาหารที่กินขึ้นวันละ 125 แคลอรี

ผ่านไป 5 เดือนเรายังไม่เห็นความแตกต่างของทั้งสามคนนี้ แต่พอผ่านไปสัก 18 เดือน เราจะเริ่มเห็นแล้วว่ามีคนหนึ่งหน้าอวบขึ้นมาเล็กน้อย และเมื่อผ่านไป 31 เดือน ความเปลี่ยนแปลงจะเด่นอย่างเห็นได้ชัด คนแรกยังคงน้ำหนักเท่าเดิม คนที่ 2 ซึ่งลดอาหารที่กินลงวันละ 125 แคลอรี ผ่านไป 31 เดือนหรือ 940 วัน เขาจะลดปริมาณแคลอรีลงได้ถึง 117,500 แคลอรี เทียบเป็นปริมาณไขมันหนัก 15 กก. เขาจึงน้ำหนักลดลงไป 15 กก.

ในขณะที่คนที่ 3 กินอาหารเพิ่มวันละ 125 แคลอรี ผ่านไป 940 วัน ร่างกายของเขาจึงสะสมไขมันไว้ถึง 15 กก. เทียบน้ำหนักของคนที่ 2 และ 3 ทั้งคู่มีน้ำหนักต่างกันถึง 30 กก. ซึ่งเป็นจำนวนที่เยอะมาก หลายคนอาจคิดไม่ถึงว่าการปรับเพิ่มหรือลดปริมาณแคลอรีขึ้นหรือลงเพียงวันละ 125 แคลอรี จะพาคนทั้งคู่มาสู่ผลลัพธ์ที่ต่างกันได้มากขนาดนี้

นี่คือตัวอย่างที่เห็นภาพได้ง่าย ๆ ของไอเดียผลกระทบแบบทบต้น ไอเดียนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับทุกด้านของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นด้านสุขภาพ, การเงิน หรือความสัมพันธ์ ผมขอเน้นย้ำความหมายของไอเดียผลกระทบแบบทบต้น หรือ compound effect กันอีกสักครั้งนะครับ มันคือการทำสิ่งเล็ก ๆ ที่แทบไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลง แต่เป็นการทำสิ่งนั้นอย่างสม่ำเสมอ เมื่อเวลาผ่านไปสิ่งเล็ก ๆ ที่ทำจะก่อให้เกิดผลลัพธ์แบบทวีคูณ เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่มหาศาล

ไอเดียนี้เรียบง่ายแค่นี้ครับ หากคุณเข้าใจความหมายง่าย ๆ ที่อธิบายจบได้ในเพียงไม่กี่ประโยค คุณไม่ต้องอ่านหนังสือเล่มนี้ทั้งเล่มก็ได้ อย่างที่บอกว่าเนื้อหาที่ผู้เขียนได้เขียนให้เราอ่านในหนังสือเล่มนี้ เป็นการยกตัวอย่างบุคคลที่นำไอเดียนี้ไปปรับใช้ แล้วชีวิตเกิดการเปลี่ยนแปลง บุคคลในเล่มส่วนใหญ่ไม่ใช่คนที่โด่งดังอะไร เป็นคนรู้จักของผู้เขียน แต่ถึงยังไงการได้รู้ว่าคนอื่น ๆ นำไอเดีย compound effect ไปใช้ยังไงบ้าง ก็จุดประกายให้กับเราได้เหมือนกันครับ หรือใครที่เข้าใจไอเดียนี้แล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไง ผู้เขียนก็ได้แนะนำแนวทางสำหรับเริ่มต้นเอาไว้ครับ ผมสรุปมาให้เพื่อน ๆ ได้ฟังครับ


ผู้เขียนกล่าวว่าสมุดบันทึกคืออาวุธลับที่คุณเองก็มีได้เช่นกัน การติดตามทุกการกระทำในด้านที่คุณต้องการพัฒนา ช่วยให้คุณรับรู้ถึงทางเลือกที่คุณเลือก ถ้าคุณต้องการปลดหนี้ที่ตัวเองมี คุณต้องติดตามทุกการใช้จ่ายของคุณ ถ้าคุณอยากลดน้ำหนัก คุณต้องติดตามทุกอย่างที่คุณกินเข้าไป

การจดทุกสิ่งที่คุณเลือกทำ ช่วยให้คุณกลับมาติดตามทีหลังได้ว่า คุณทำสิ่งที่ถูกและสิ่งที่พลาดอะไรไปบ้าง วิธีนี้ช่วยให้คุณรับรู้การตัดสินใจของตัวเองได้ การจดบันทึกลงสมุดเป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย คุณแค่พกสมุดเล่มเล็ก ๆ และปากกาสักแท่งไว้ในกระเป๋าเสื้อ แต่สิ่งที่ทำได้ง่ายก็เลี่ยงไม่ทำได้ง่ายเช่นกัน จงระมัดระวัง อย่าละเลยสิ่งที่เรียบง่ายที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ คนที่ประสบความสำเร็จกับคนที่ไม่ประสบความสำเร็จต่างกันตรงนี้


เวลาคือสิ่งสำคัญ

ยิ่งคุณเริ่มต้นสร้างความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ได้เร็วเท่าไหร่ พลังแห่งผลลัพธ์ทวีก็ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อคุณมากขึ้นเท่านั้น สมมุติว่าเพื่อนของคุณสนใจนำเงินไปลงทุนในกองทุนรวมเดือนละ 7,500 บาท ตั้งแต่เขาเรียนจบมหาลัยในวัย 23 ปี ส่วนคุณเพิ่งมาเริ่มสนใจวิธีเดียวกันนี้ตอนอายุ 40 ปี เข้าไปแล้ว

สมมุติว่ากองทุนที่คุณและเพื่อนของคุณลงทุนไป ให้ผลตอนแทนปีละ 8% เมื่อเพื่อนของคุณอายุ 40 ปี เขาจะมีเงินจากกองทุนประมาณ 3.3 ล้านบาท ขณะที่คุณเพิ่งลงทุนเดือนแรกไปได้ 7,500 บาท

แม้เพื่อนของคุณจะหยุดเพิ่มเงินเข้าไปในกองทุนเมื่ออายุครบ 40 ปี แต่พลังของผลลัพธ์ทวียังคงทำงานอยู่ ขณะที่คุณลงเงินเดือนลง 7,500 บาทไปเรื่อย ๆ เมื่อคุณและเพื่อนอายุถึง 60 ปี เงินต้นที่คุณลงทุนไปจะอยู่ที่ 2,340,000 บาท ขณะที่เพื่อนคุณเงินต้นอยู่ที่ 1,530,000 บาท เท่ากับว่าคุณลงเงินต้นไปมากกว่าเพื่อนประมาณ 1 ล้านกว่าบาท

โดยจำนวนเงินต้นรวมผลตอบแทนเมื่ออายุ 60 ปี ของเพื่อนคุณจะอยู่ที่ 15 ล้านบาท ขณะที่คุณจะมีเงินไม่ถึง 10 ล้านบาท ทั้งที่เงินต้นของคุณมากกว่า นั่นเป็นเพราะว่าเพื่อนของคุณเริ่มลงทุนก่อนคุณ เขาได้รับพลังของเงินทบต้นทบดอก หากคุณอยากได้บ้าง ยิ่งคุณลงทุนเร็วเท่าไหร่ คุณยิ่งได้ใช้ประโยชน์จากพลังผลลัพธ์ทวีเหล่านี้ได้มากขึ้นเท่านั้น


ความสำเร็จคือการวิ่งมาราธอน

หากคุณอยากหันมาออกกำลังกายโดยการวิ่ง เมื่อมองคนที่วิ่งได้วันละ 5-10 กม. อย่าเพิ่งคิดว่าตัวเองจะทำอย่างนั้นไม่ได้ คุณสามารถวิ่งมาราธอนได้เลยด้วยซ้ำ หากตั้งเป้าหมายไว้อย่างจริงจัง

ผู้เขียนแนะนำให้คุณเริ่มต้นจากเล็ก ๆ โดยเริ่มจากการเดินสัก 2 กม. จากนั้นเพิ่มระยะทางให้ไกลขึ้น พอร่างกายคุณเริ่มปรับตัวกับการออกกำลังกายได้แล้ว คุณค่อยเปลี่ยนมาวิ่งจ็อกกิ่งแบบช้า ๆ แล้วค่อย ๆ เพิ่มระยะทางให้ไกลขึ้นวันละ 200 เมตร คุณจะไม่รู้สึกว่าระยะทางไกลขึ้นเลยสักนิด เพราะมันเพิ่มอีกแค่ 300 ก้าวเท่านั้น หากทำแบบนี้ไปสัก 9 เดือน คุณจะวิ่งไกลได้ระยะถึง 21 กม. ซึ่งเป็นระยะฮาล์ฟมาราธอนแล้ว

ผลลัพธ์ทั้งหมดเป็นผลพวงจากทางที่คุณเลือกในชีวิต เมื่อคุณค่อย ๆ ลงมือทำทีละนิดในทุกวัน ทางที่คุณเลือกจะหล่อหลอมจนกลายเป็นนิสัย และการทำซ้ำจะช่วยให้นิสัยเหล่านั้นอยู่กับคุณตลอดไป


กำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน

พลังของผลลัพธ์ทวีนั้นเกิดขึ้นตลอดเวลา มันอาจเกิดขึ้นกับเรื่องที่ดีหรือแย่ และจะพาคุณไปลงเอยที่ไหนก็ขึ้นอยู่กับคุณ คุณสามารถควบคุมพลังผลลัพธ์ทวีให้มันพาคุณไปจุดที่ยิ่งใหญ่ได้ แต่คุณต้องรู้ก่อนว่าคุณอยากไปที่ไหน เป้าหมาย ความฝัน และปลายทางที่คุณปรารถนาคืออะไร

มนุษย์แสวงหาเป้าหมายโดยธรรมชาติ สมองเรามักเชื่อมโยงโลกภายนอกกับสิ่งที่เราคาดหวังไว้ในใจอยู่เสมอ สิ่งที่คุณอยากได้อาจอยู่รอบตัวคุณมาโดยตลอด แค่จิตใจคุณยังไม่เปิดกว้างที่จะมองเห็นมัน

ผู้เขียนได้พูดถึง “กฏแรงดึงดูด (Law of Attraction)” ซึ่งมันเรียบง่ายและมีประโยชน์มาก โดยในแต่ละวันเราถูกรายล้อมด้วยข้อมูลมหาศาลทั้งจากการมองเห็น ได้ยิน และสัมผัส เราจึงมองข้ามข้อมูลส่วนใหญ่โดยอัตโนมัติ แล้วสนใจเฉพาะสิ่งที่จิตใจของเราให้ความสำคัญจริง ๆ

ตัวอย่างเช่น คุณกำลังคิดจะซื้อรถใหม่ จากนั้นคุณจะเริ่มเห็นรถรุ่นนั้นปรากฎให้เห็นในทุกที่ที่คุณไป ทั้งที่จริง ๆ แล้วรถรุ่นนั้นวิ่งอยู่บนถนนเป็นปกติอยู่แล้ว ที่ผ่านมาคุณแค่ไม่ได้สนใจมันเองต่างหาก

เมื่อคุณมีเป้าหมายที่ชัดเจน จิตใจคุณจะมีดวงตาคู่ใหม่ คุณจะเห็นผู้คน เหตุการณ์ บทสนทนา วิธีการ มุมมอง และไอเดียใหม่ ๆ ที่สอดคล้องกับเป้าหมายในใจ ง่ายแค่นี้เองครับ พอคุณมีเป้าหมายที่ชัดเจน คุณจะมองทุกสิ่งในชีวิตได้ลึกซึ้งขึ้น มองเห็นทุกโอกาสที่ผ่านเข้ามา

กฏการเคลื่อนที่ของ เซอร์ไอแซค นิวตัน ข้อที่ 1 เรียกว่า “กฏของความเฉื่อย” กฏนี้บอกว่า “วัตถุที่อยู่นิ่งจะตั้งนิ่งอยู่แบบนั้น ถ้าไม่มีแรงภายนอกมากระทำ ส่วนวัตถุที่เคลื่อนที่ก็จะเคลื่อนที่ไปเรื่อย ๆ ถ้าไม่มีบางสิ่งมาหยุดยั้งมัน” ผู้เขียนเปรียบเทียบว่า คนที่ขี้เกียจก็จะขี้เกียจอยู่วันยังค่ำ ส่วนคนที่ประสบความสำเร็จจะเดินหน้าทำตามเป้าหมาย และพบกับความสำเร็จต่อไป

การเริ่มต้นนั้นยาก ก้าวแรกยากที่สุดเสมอ เหมือนการปล่อยจรวดขึ้นสู่อวกาศที่จรวดจะใช้เชื้อเพลิงมหาศาลในช่วงไม่กี่นาทีแรกที่ปล่อยตัว มากกว่าเชื้อเพลิงที่ใช้ตลอดระยะเวลาเดินทางที่เหลือเสียอีก ที่จรวดต้องใช้เชื้อเพลิงมหาศาล เพราะต้องเอาชนะแรงโน้มถ่วงของโลก เมื่อจรวดพ้นแรงโน้มถ่วงสำเร็จ มันจะแล่นต่อได้โดยใช้พลังงานที่ต่ำ

นิสัยเก่า ๆ ที่ไม่ดีของคุณก็เหมือนแรงโน้มถ่วง คุณต้องใช้พลังงานมหาศาลเพื่อเอาชนะแรงเฉื่อยและก้าวไปข้างหน้า แต่เมื่อทุกอย่างเริ่มขยับ มันจะไปต่อด้วยตัวมันเอง คุณจะหยุดไม่อยู่ คุณจะได้ผลลัพธ์ที่สูงขึ้น ทั้งที่ออกแรงน้อยลง

อย่างที่ผมบอกไปตั้งแต่ต้นคลิปว่าคอนเซปต์หลักของหนังสือเล่มนี้มีเพียงเรื่องเดียวคือ “การทำอะไรสักอย่างที่ต่างจากเดิมเพียงเล็กน้อยอย่างสม่ำเสมอ สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้ ซึ่งผลลัพธ์สามารถออกมาได้เป็นทั้งด้านดีและไม่ดี ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราเลือกทำ” ผู้เขียนเรียกปรากฎการณ์นี้ว่า พลังของผลลัพธ์ทวี หรือ Compound Effect หากใครเข้าใจแก่นนี้แล้ว ก็เท่ากับว่าบรรลุจุดประสงค์ที่ผู้เขียนตั้งใจเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา

แต่การเข้าใจพลังของผลลัพธ์ทวีเพียงอย่างเดียว แต่ไม่ลงมือทำก็ไม่อาจสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในชีวิตคุณได้ คุณต้องพร้อมที่จะถอนรากถอนโคนนิสัยเก่า ๆ ที่ไม่ดีของตัวคุณ พร้อมกับลงมือสร้างนิสัยใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์ ซึ่งต้องอาศัยวินัย หากคุณไม่พร้อมที่จะเปลี่ยนตัวเอง การอ่านหนังสือเล่มนี้จบ ก็ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรแก่ตัวคุณได้

แต่หากคุณพร้อมเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ หนังสือเล่มนี้มีวิธีการฝึกทำสิ่งต่าง ๆ จนเป็นนิสัย และยกตัวอย่างบุคคลที่ประสบความสำเร็จให้คุณได้มีกำลังใจ ใครสนใจลองหามาอ่านดูครับกับหนังสือ THE COMPOUND EFFECT สะสมนิสัยเล็กๆ สร้างความสำเร็จให้ทวีคูณ จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์บิงโก ราคา 230 บาท

สนใจหนังสือ The Compound Effect สะสมนิสัยเล็กๆ สร้างความสำเร็จให้
สามารถสั่งซื้อได้ที่ Shopee: https://s.shopee.co.th/3VTFB2wN6U
ซื้อผ่านลิงค์เป็นการสนับสนุนช่องครับ

Share

Leave a comment

Leave a Reply

What's New

สรุปเนื้อหาและแนะนำหนังสือที่น่าสนใจ ชวนเพื่อน ๆ มาพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้นในทุก ๆ วันไปด้วยกันครับ

Copyright 2025 Aitim and Co. All rights reserved

error: Content is protected !!