ไสยเวทญี่ปุ่น ตำนานและความเชื่อที่หล่อหลอมจิตวิญญาณคนญี่ปุ่น

Share
Share

ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์เก่าแก่ยาวนาน มีตำนานและเรื่องเล่ามากมายที่ถูกหยิบมาดัดแปลงเป็นสื่อสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็นนินจา ซามูไร ภูติผีปีศาจ ไสยศาสตร์และเวทมนตร์ ล่าสุดมีการ์ตูนเรื่องมหาเวทผนึกมารได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ยอดค้นหาในอินเตอร์เน็ตของคำว่าจุจูซึและโนโร่ยที่หมายถึงไสยเวทพุ่งสูงขึ้น

ไอติมเล่า ep นี้ มาสรุปเนื้อหาจากหนังสือ “ไสยเวทของญี่ปุ่น ฉบับสมบูรณ์” เล่มนี้มีคนเขียนถึง 5 คนด้วยกันครับ ภาพรวมของหนังสือคือการอธิบายคำศัพท์เกี่ยวกับไสยเวทของญี่ปุ่น แต่ละคำอธิบายรวบรัดสั้น ๆ แค่ 2 หน้า พร้อมภาพประกอบ จะเรียกเล่มนี้ว่าเป็นสารานุกรมไสยเวทของญี่ปุ่นก็ได้ครับ เรื่องไสยเวทเป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อล้วน ๆ ผมจะหยิบบางเรื่องที่น่าสนใจมาเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังเพื่อความบันเทิงกันครับ


อันดับแรกผมเล่าสิ่งที่เป็นพื้นฐานของไสยเวทญี่ปุ่นให้เพื่อน ๆ ได้รู้จักกันก่อน “呪い” ตัวอักษรคันจิญี่ปุ่นตัวนี้อ่านได้สองแบบครับ คือ “โนโร่ย” และ “มาจิไน” ซึ่งความหมายของทั้ง 2 คำตรงข้ามกันสุดขั้วเลยครับ คำว่าโนโร่ยหมายถึงการสาปแช่ง ส่วนคำว่ามาจิไนแปลว่าการอธิฐานขอพร

โนโร่ยเป็นการขอให้อีกฝ่ายพบกับโชคร้าย พบเจอกับเรื่องไม่ดี โนโร่ยคือการสาปแช่งที่เกิดจากความรู้สึกในแง่ลบ อาจจะเพราะรู้สึกอิจฉาคนที่ได้ดีกว่าตัวเอง หรือโกรธแค้นชิงชังคนที่แย่งของรักไป พิธีกรรมโนโร่ยที่คนรู้จักกันคือพีธีกรรม “อุชิ โนะ โคะคุไมริ” ที่เป็นการตอกตะปูใส่หุ่นฟางที่สมมุติให้เป็นอีกฝ่าย

ส่วนมาจิไนเป็นการอธิฐานขอพร ไม่ว่าจะเป็นการขอให้สอบผ่าน ขอให้สมหวังในความรัก การทำมาจิไนที่เราคุ้นตากันคือการเขียนสิ่งที่ปรารถนาลงบนแผ่นไม้ แล้วเอาไปแขวนไว้ในศาลเจ้า หรือการเห็นดาวตกแล้วกุมมืออธิฐานก็ถือว่าเป็นการทำมาจิไนแบบหนึ่งครับ

ดังนั้นแล้วโนโร่ยและมาจิไนจึงมีความหมายแตกต่างกันอย่างมาก แม้จะอยู่บนพื้นฐานของการภาวนาเหมือนกัน ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทั้ง 2 คำนี้เขียนด้วยตัวคันจิตัวเดียวกัน แต่เจตนาของทั้ง 2 คำนี้ต่างกันโดยสิ้นเชิงครับ


หนังสือตั้งคำถามได้น่าสนใจเอาไว้ครับว่า การสาปแช่งถือเป็นอาชญากรรมหรือไม่? แม้คนจะสาปแช่งเพราะมีเจตนาอยากให้อีกฝ่ายเคราะห์ร้ายหรือตาย แต่ในความเป็นจริง การทำพิธีกรรมสาปแช่งไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายได้รับอันตรายโดยตรง แม้อีกฝ่ายจะตายทันทีหลังจากถูกสาปแช่ง แต่ตามกฏหมายไม่เข้าข่ายทำร้ายร่างกายหรือฆาตกรรม ไม่ถือว่าเป็นความผิดโดยสมบูรณ์

หากเพื่อน ๆ แค่แอบสาปแช่งเฉย ๆ ก็ถือว่าไม่มีปัญหาอะไร แต่หากไปบอกเจ้าตัวว่าเพื่อน ๆ ทำพิธีกรรมสาปแช่งเขานะ แบบนี้ถือเป็นการก่ออาชญากรรมครับ เป็นความผิดฐานข่มขู่ หากบอกไปแล้วอีกฝ่ายเกิดกลัวจนเป็นโรคประสาท เพื่อน ๆ ก็จะมีความผิดทางอาญาเพิ่มอีกหนึ่งกระทง ถ้าเข้าไปทำพิธีกรรมสาปแช่งถึงในบ้านเจ้าตัวก็รับความผิดฐานบุกรุกเพิ่มไปด้วย ดังนั้นแล้วเราจึงเห็นตุ๊กตาฟางถูกตอกตะปูติดไว้กับต้นไม้ในวัดหรือศาลเจ้านั่นเองครับ


โคะโดคุ

โคะโดคุเป็นไสยเวทที่คนธรรมดาอย่างเรา ๆ สามารถฝึกทำกันได้ โดยการรวบรวมสัตว์มีพิษไม่ว่าจะเป็นตะขาบ แมงป่อง แมงมุม งู คางคก จำนวน 100 ตัวมาใส่ไว้ในภาชนะเดียวกัน แล้วปล่อยให้พวกมันต่อสู้และกัดกินกันเอง ตัวที่แข็งแกร่งเหลือรอดเป็นตัวสุดท้าย ว่ากันว่าภายในร่างกายของมันจะเข้มข้นไปด้วยความเคียดแค้น จากนั้นจะนำสัตว์ตัวที่รอดนี้ไปเป็นอาวุธสังหารคนครับ

ในบันทึกโบราณกล่าวเอาไว้ว่า หากโคะโดคุเข้าไปในท้องคน มันจะกันกินอวัยวะภายในทั้ง 5 คือ หัวใจ ตับ ม้าม ไต และปอด หากมันตายมันจะกลับมาเกิดใหม่ในบ้านของเจ้าของ และหากภายใน 3 ปี มันไม่ได้ฆ่าคน มันก็จะหันทำร้ายเจ้าของซะเอง

โคะโดคุมีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน เป็นไสยศาสตร์ที่ใช้ทำร้ายคนอื่นเพื่อหวังฮุบสมบัติ ในประเทศจีนสมัยก่อนมีกฏหมายประหารชีวิตคนที่ใช้โคะโดคุ เมื่อโคะโดคุถูกถ่ายทอดเข้ามาในญี่ปุ่น ก็มีกฏหมายโยโรริทซึเรียวออกมาบังคับใช้ในปี 757 ที่นอกจากจะกำหนดให้คนที่ใช้โคะโดคุมีความผิดแล้ว คนที่แค่ลองศึกษาก็ถือมีความผิดด้วยเช่นกัน มีบันทึกว่าขุนนางที่ถูกสงสัยว่าใช้โคะโดคุถูกลงโทษ โดยการโดนเนรเทศให้ไปอยู่เกาะอย่างโดดเดี่ยว เอาจริงเราฟังสนุก ๆ ไม่ต้องไปหาทำตามหรอกนะครับ


อุชิ โนะ โคะคุไมริ

อุชิ โนะ โคะคุไมริ เป็นตัวแทนของไสยศาสตร์เวทมนตร์ที่แพร่หลายในหมู่ชาวบ้าน ผู้ทำพิธีนี้จะสวมชุดสีขาว ทาแป้งให้หน้าขา ทาลิปสติก ห้อยกระจกที่คอ สวมรองเท้าเกี๊ยะ เอาขาตั้งหม้อ 3 ขามาสวมบนหัวแบบกลับด้าน และเสียบเทียน 3 เล่มบนขาตั้งหม้อ เป็นสัญลักษณ์สื่อถึงเขาของปีศาจ

อุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้ในพิธีนี้คือตุ๊กตาฟางที่ใช้เป็นตัวแทนของคนที่ต้องการจะสาปแช่ง โดยจะนำตุ๊กตาฟางไปตอกด้วยตะปูให้ติดอยู่บนต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมักจะอยู่ในป่าหรือศาลเจ้า ทำแบบนี้ติดกันเป็นเวลา 7 วัน โดยห้ามไม่ให้ใครเห็น

พิธีสาปแช่ง อุชิ โนะ โคะคุไมริ มีขึ้นในสมัยเอโดะ เดิมทีเป็นประเพณีแสวงบุญสำหรับกราบไหว้เทพทาคาโอะ คามิโนะ ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งน้ำ เพื่อช่วยให้คำอธิฐานของตัวเองสำเร็จผล โดยจะทำพิธีนี้ในช่วงเวลาตี 1 ถึงตี 3 ซึ่งเป็นเวลาที่โลกมนุษย์เชื่อมต่อกับโลกหลังความตาย

ต่อมาเกิดตำนานฮาชิฮิเมะแห่งอุจิ ลูกสาวขุนนางที่ขี้อิจฉาได้นำพิธีกราบไหว้เทพเจ้านี้ไปใช้สำหรับสาปแช่ง จนตัวเองกลายเป็นปีศาจ หลังจากนั้นพีธีอุชิ โนะ โคะคุไมริ ก็กลายเป็นพิธีสาปแช่ง ว่ากันว่าหากเอาเส้นผมหรือเศษเล็บของคนที่อยากแช่งใส่ลงไปในตุ๊กตาฟาง หรือเอารูปถ่ายเจ้าตัวแปะไว้ จะทำให้การสาปแช่งได้ผลมากขึ้น ตัวละครซาคิ โนบาระ ในเรื่องมหาเวทผนึกมารก็ใช้ไสยศาตร์ที่เกี่ยวข้องกับตุ๊กตาฟางและการตอกตะปูครับ


องเมียวโด

ช่วงปี 513 เป็นช่วงที่ญี่ปุ่นรับเอาภูมิปัญญาและวัฒนธรรมจากจีนเข้ามาในประเทศ เช่น แนวคิดหยินหยางและปัญจธาตุ ลัทธิเต๋า พุทธศาสนา องค์ความรู้ด้านดาราศาสตร์ และการทำปฏิทิน ทั้งหมดเหล่านี้ทำให้เกิดเป็นองเมียวโด ซึ่งคือระบบศาสนาและสถาบันที่เป็นเอกลักษณ์ของญี่ปุ่น

ในสมัยโบราณมีความคิดว่าหากจักรพรรดิบริหารงานผิดพลาด สวรรค์จะตักเตือนด้วยภัยธรรมชาติ โดยทำให้ท้องฟ้าเกิดอาเพศ สมัยนั้นจึงมีการทำนายดวงชะตาจากดาราศาสตร์ เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบหน้าที่นี้คือองเมียวจิ

ในช่วงแรกองเมียวจิเป็นเจ้าหน้าที่ช่วยเหลืองานราชสำนัก เทียบได้กับข้าราชการในสมัยนี้ หน้าที่ขององเมียวจิคือการทำปฏิทิน และทำนายโชคชะตาเพื่อตัดสินเรื่องดีเรื่องร้ายจากหลักดาราศาสตร์ เรียกง่าย ๆ ว่าองเมียวจิคือข้าราชการผู้เป็นหมอดูนั่นเองครับ

พอเข้าสู่ยุคเฮอัน องเมียวจิในความหมายถึงข้าราชการผู้เป็นหมอดูก็เปลี่ยนแปลงไป องเมียวจิกลายเป็นอาชีพที่คนธรรมดาก็สามารถทำได้ หน้าที่ของพวกเขาคือการทำพิธีกรรมทางศาสนา และใช้เวทมนตร์ไสยศาสตร์

ต่อมาในยุคเมจิที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับวิทยาศาสตร์และความเชื่อจากชาติตะวันตก รัฐบาลมองว่าสถาบันองเมียวโดเป็นความเชื่อที่งมงายจึงสั่งยกเลิกไป แต่ปัจจุบันองเมียวจิไม่ได้หายไปทั้งหมด ยังคงมีองเมียวจิสำหรับทำนายดวงชะตาในพระราชพิธีต่าง ๆ อยู่ครับ


ชิคิงามิ

Fairy Tail (Hiro Mashima)

ชิคิงามิคือเทพที่องเมียวจิใช้ มีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภทคือ แบบควบคุมวิญญาณให้มาเป็นผู้รับใช้ โดยส่วนมากวิญญาณจะอยู่ในรูปแบบของสัตว์ ใช้สำหรับค้นหาสิ่งของหรือลาดตระเวน และอีกแบบคือการควบคุมสิ่งของด้วยเวทมนตร์ เช่น องเมียวจิพับกระดาษให้เป็นรูปนก จากนั้นเสกให้กลายเป็นนกจริง ๆ โบยบินออกไปสืบข่าว

มีตำนานเล่าว่าองเมียวจิชื่อว่าอาเบะ โน เซเม ต้องการหาว่าใครเป็นคนสาปแช่งขุนนางฟูจิวาระ เซเมจึงพับกระดาษเป็นรูปนก แล้วร่ายเวทมนตร์ให้มันกลายเป็นนกกระยางบินออกไป นกกระยางตัวนี้เป็นชิคิงามิ มันบินไปลงที่บ้านของโดมะโฮชิ ทำให้รู้ว่าโดมะโฮชิเป็นคนร้ายที่ใช้คำสาปใส่ขุนนางฟูจิวาระ และในเรื่องมหาเวทผนึกมาร ตัวละครเอกอย่างฟุชิงุโระ เมงุมิ ก็ถือว่าเป็นผู้ใช้ชิคิงามิครับ


เชือกชิเมะนาวะ

เรามักเห็นเชือกชิเมะนาวะขึงอยู่บนเสาประตูโทริเอะหรือหน้าวิหารในศาลเจ้า เชือกชิเมะนาวะเป็นเส้นแบ่งเขตระหว่างโลกนี้กับศาลเจ้า นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่าเป็นการขอให้การเก็บเกี่ยวได้ผลผลิตดี เชือกชิเมะนาวะส่วนใหญ่ทำมาจากฟางที่นำมาบิดเป็นเกลียว ประดับด้วยชิเดะ ซึ่งเป็นกระดาษที่นำมาพับให้เป็นสัญลักษณ์สายฟ้า สื่อถึงพลังของพระเจ้าที่ไม่มีที่สิ้นสุด

นอกจากเราจะเห็นเชือกชิเมะนาวะในศาลเจ้าแล้ว เรายังพบเชือกชิเมะนาวะถูกพันรอบหินยักษ์หรือต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสัญลักษณ์ว่านี่คือที่พำนักของพระเจ้า อีกแง่คือเป็นกุศโลบายป้องกันไม่ให้คนมาตัดต้นไม้ นอกจากนี้อาจพบการขึงเชือกชิเมะนาวะรอบเสาไม้ไผ่ที่ล้อมพื้นที่เป็นรูปสี่เหลี่ยม สำหรับทำพิธีกรรม เช่น พิธีวางศิลาฤกษ์ที่จัดขึ้นก่อนที่จะมีการก่อสร้างอาคาร เพื่อแสดงให้เห็นว่าสถานที่นี้สะอาด บริสุทธิ์ เป็นเขตที่ศักดิ์สิทธิ์


อิจิเซ็นเมชิ

อิจิเซ็นเมชิคืออาหารมื้อสุดท้ายของคนตาย เมื่อมีคนตายจะมีการจัดแท่นบูชาแบบง่าย ๆ ไว้ข้างที่นอนของคนตาย จนกว่าจะถึงคืนวันก่อนพิธีศพ โดยจะวางถ้วยข้าวที่พูนไว้ และปักตะเกียบลงตรงกลางถ้วย ถ้วยข้าวแบบนี้เรียกว่าอิจิเซ็นเมชิครับ ถือว่าเป็นอาหารมื้อสุดท้ายของคนตาย

วิธีทำอิจิเซ็นเมชินั้นแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค โดยทั่วไปจะแยกทำ ไม่ทำปนกับข้าวที่ทำให้คนเป็นกิน ขั้นแรกจะหุงข้าวโดยไม่ล้างข้าว จากนั้นนำข้าวที่หุงสุกใหม่ ๆ ใส่ถ้วยของคนตายให้หมด ใช้ทัพพีกดข้าวให้แน่นแบบไม่ให้เหลืออากาศอยู่ภายใน ถ้ามีข้าวเหลือติดหม้อต้องเอาทิ้ง ไม่นำมากินโดยเด็ดขาด จากนั้นปักตะเกียบลงตรงกลางถ้วย แล้วนำไปวางข้างที่นอนคนตาย ก่อนจะถึงคืนพิธีศพ แขกที่มางานศพจะไหว้บูชาที่ถ้วยข้าวนี้

เนื่องจากแนวคิดนี้สื่อถึงอาหารมื้อสุดท้ายของคนตาย พฤติกรรมที่ทำแล้วชวนให้คิดถึงอิจิเซ็นเมชิจึงไม่ควรทำ เช่น การตักข้าวใส่ถ้วยพูนจนเกินไป การนำตะเกียบปักลงไปบนถ้วยข้าว ซึ่งพฤติกรรมนี้เป็นมารยาทที่ไม่ดี ไม่ควรทำอย่างยิ่งครับ นอกจากนี้ในอดีตชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าการกินข้าวถ้วยเดียวแล้วไม่ขอตักเพิ่มจะเป็นลางไม่ดี ถึงแม้กินข้าวถ้วยเดียวแล้วจะอิ่มก็ควรขอตักข้าวเพิ่ม แม้แค่คำเดียวก็ยังดี


มาโมริงะตานะ

ต่อเนื่องจากหัวข้อที่แล้วเรื่องอาหารมื้อสุดท้ายของคนตาย มาโมริงะตานะเป็นประเพณีในสังคมซามูไร มีความหมายว่าดาบผู้พิทักษ์ ชาวญี่ปุ่นมีความเชื่อมาตั้งแต่โบราณว่าดาบที่มีความแหลมคมมีพลังวิญญาณในการปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายได้

ในหมู่ซามูไร ดาบมีความสำคัญมาก จึงมีประเพณีวางดาบไว้บนหน้าอกของซามูไรที่ตายในสงคราม เพื่อปกป้องคนตายจากวิญญาณชั่วร้าย หรือวางดาบไว้ข้างที่นอน เพื่อเป็นเครื่องรางป้องกันภัย และป้องกันตัวเวลานอนหลับ

นอกจากดาบซามูไรแล้วจะวางดาบสั้น มีด หรือกรรไกรไว้บนหน้าอกของคนตายก็ได้เช่นกัน มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับดาบผู้พิทักษ์ว่า จริง ๆ แล้วการวางดาบไว้บนหน้าอกคนตายแบบนี้จุดประสงค์คือเพื่อไล่แมว หากตอนที่ยังมีชีวิต คนตายเคยทำผิดจะมีปีศาจชื่อคะฉะมาแย่งศพไประหว่างทำพิธี ซึ่งปีศาจคะฉะตนนี้อยู่ในร่างของแมว แมวไม่ชอบของที่สะท้อนแสง การวางดาบจึงป้องกันไม่ให้แมวมาใกล้คนตายนั่นเองครับ


ชูเก็นโด

ประเทศญี่ปุ่นเป็นพื้นที่ที่มีภูเขาจำนวนมาก ภูเขาเหล่านี้มีความพิเศษเพราะเป็นแหล่งของชีวิต น้ำที่ไหลลงมาจากภูเขาใช้กินดื่มได้ ปลาในแม่น้ำและสัตว์ตามภูเขาก็ล่ามาเป็นอาหารได้ ภูเขามีต้นไม้ที่สามารถตัดมาใช้ทำที่อยู่อาศัยได้ มีแร่สำหรับทำวัสดุต่าง ๆ มากมาย

ในทางกลับกัน ภูเขาก็ซ่อนความอันตรายเอาไว้ ภูเขาที่สูงชันหากก้าวเท้าพลาดแค่ก้าวเดียวก็อาจตกเขาลงมาตายได้ และในภูเขาก็มีสัตว์ป่าดุร้ายมากมายที่พร้อมจู่โจมคนที่ขึ้นไปบุกรุก

ชูเก็นโดเป็นลัทธิที่พัฒนามาจากแนวคิดความเกรงกลัวต่อภูเขาของคนญี่ปุ่นที่มีมาอย่างยาวนาน และเกิดการผสมผสานกับศาสนาอื่น เช่น ศาสนาพุทธ จนกลายเป็นลัทธิหนึ่งที่มีผู้ก่อตั้งคือ เอ็นโนะเกียวจะ

ผู้ศรัทธาต่อลัทธิชูเก็นโดเรียกตัวเองว่า ชูเก็นฉะ พวกเขาจะเที่ยวเดินวนไปตามภูเขา และนั่งภาวนาในสถานที่อันตราย เช่น ริมหน้าผา ชีวิตของพวกเขาจะอยู่แต่ในป่า และทุ่มเทฝึกฝนตัวเองอย่างเข้มงวด

เมื่อเหล่าชูเก็นฉะฝึกตนจนสำเร็จจะสามารถละกิเลสได้ และมีจิตใจบริสุทธิ์ สามารถใช้พลังของภูเขาในการปราบปีศาจและวิญญาณร้ายได้ มีความสามารถด้านการเข้าทรง มีความรู้ในการเก็บสมุนไพรมาปรุงเป็นยา ชูเก็นฉะที่บรรลุแล้วจะลงจากภูเขามาใช้ชีวิตกลมกลืนกับชาวบ้านทั่วไป

แต่ครั้งหนึ่งช่วงยุคเมจิ รัฐบาลได้ออกกฎห้ามฝึกชูเก็นโด เพราะถูกมองว่าเป็นแบบเดียวกันกับเท็งงู ปีศาจญี่ปุ่นชนิดหนึ่งที่เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง แต่ภายหลังมีคนออกมาปกป้องชูเก็นโด ทำให้ฟื้นคืนกลับมาได้อีกครั้งครับ


คุจิโกะชิมโบ

Jujutsu Kaisen (Gege Akutami)

คุจิโกะชิมโบคือเวทมนตร์ป้องกันตัวด้วยท่าประสานอินตัวอักษรคันจิ 9 ตัวที่คิดว่ามีพลังทางจิตวิญญาณ การประสานอินคือการทำท่าทางด้วยมือทั้งสองข้าง แต่ละท่าแสดงถึงพระเจ้าและพระพุทธเจ้า เป็นการอธิฐานเพื่อขอให้ปลอดภัยและชนะในสงคราม

ต้นกำเนิดของคุจิมาจากคาถา “รกโคะฮิชุคุ” ที่เกิดในประเทศจีน ซึ่งคาถานี้จะสวดว่า “ริน เบียว โท ฉะ ไค จิน เรซึ เซ็น เกียว” เพื่อเป็นเครื่องป้องกันภัยเวลาเข้าไปในป่า หลังจากถูกนำเข้ามาในญี่ปุ่น คาถานี้ก็ถูกรวมและพัฒนาไปพร้อมกับศาสนา จนกลายเป็นคุจิในแบบเฉพาะของคนญี่ปุ่น

หลังจากนั้นคุจิก็แพร่หลาย แม้แต่ชาวบ้านทั่วไปก็ใช้คาถานี้เพื่อป้องกันตัวเองจากภัยอันตราย ซามูไรก็ใช้เพื่อขอให้ตัวเองชนะในการต่อสู้ อาจเป็นเพราะความเข้าใจง่าย และเราสามารถเห็นคุจิโกะชิมโบอยู่ในการ์ตูนมากมาย อย่างเช่นในเรื่องมหาเวทผนึกมาร และนารูโตะที่ใช้ท่าประสานอินเมื่อต้องการใช้พลังเวท


เทศกาลเซสซึบุน

เทศกาลนี้เรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่าเทศกาลปาถั่ว ซึ่งจัดขึ้นในวันสิ้นปีตามปฏิทินจันทรคติ คือในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ของทุกปี เพื่อปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย โรคภัยไข้เจ็บ และต้อนรับปีใหม่อย่างใสสะอาด

พิธีกรรมปาถั่วมีขั้นตอนและวิธีการแตกต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วถั่วที่นำมาใช้ในพิธีจะเป็นถั่วเหลืองที่นำมาคั่วให้ผ่านไฟก่อน จากนั้นนำถั่วนี้มาถวายบนแท่นบูชา ถ้าที่บ้านไม่มีแท่นบูชาก็ให้วางไว้ทางทิศใต้ของบ้านได้ จากนั้นขั้นตอนปาถั่วจะเริ่มขึ้นในตอนค่ำ โดยคนที่ปาทั่วจะเป็นเจ้าของบ้าน ซึ่งต้องอยู่ในบ้านแล้วปาถั่วออกไปนอกบ้านผ่านประตูและหน้าต่าง พร้อมกับตะโกนว่า “โอนิ วะ โซโตะ”

จากนั้นจะปิดประตูบ้านและหน้าต่าง แล้วหันมาปาถั่วข้างในบ้าน พร้อมกับพูดว่า “ฟุคุ วะ โคจิ” เมื่อเสร็จแล้วให้เก็บถั่วที่ปาออกไปทั้งหมดกลับมา และกินถั่วเป็นจำนวนเท่ากับอายุตัวเอง +1 เม็ด ก็เป็นอันจบพิธีครับ


เท็งงุ

เท็งงุคือโยไคหรือผีญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในป่า เรามักคุ้นเคยกับเท็งงุที่มีใบหน้าสีแดง มีจมูกยืดยาว สวมเสื้อคลุม สวมแว่น มือข้างหนึ่งถือพัดฮานาอุจิวะที่ใช้เป็นอุปกรณ์สำหรับก่อไฟ และมืออีกข้างถือไม้เท้าชะคุโจที่เป็นเครื่องใช้ของพระสงฆ์ บางครั้งเราอาจเห็นเท็งงุบางตัวมีปีก ซึ่งน่าจะมาจากตำนานครุฑยักษ์ของอินเดีย

ว่ากันว่าเท็งงุคือพระสงฆ์ที่มั่นใจในความสามารถของตัวเองมากเกินไป และละเลยการปฏิบัติธรรม จนตัวเองกลายเป็นปีศาจที่มีรูปร่างแปลกประหลาด ก่อเรื่องชั่วร้าย เช่น ลักพาตัวเด็ก หรือรบกวนพระสงฆ์ที่กำลังฝึกตนอยู่ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเท็งงุมักถูกบรรยายว่าแต่งกายคล้ายพระสงฆ์

เดิมทีเท็งงุเคยเป็นพระสงฆ์ ดูภายนอกจึงไม่ต่างจากมนุษย์มากนัก แต่เท็งงุสามารถใช้พลังจิตในการเหาะเหินขึ้นไปบนฟ้าได้อย่างอิสระ และสามารถเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศได้ เสื้อคลุมที่สวมก็ช่วยทำให้ล่องหนได้อีกต่างหาก

แม้เท็งงุจะทำให้นึกถึงโยไคที่ก่อเรื่องชั่วร้าย แต่ก็มีเท็งงุที่เป็นมิตรกับมนุษย์เหมือนกันครับ เช่น เท็งงุคุระมะ ผู้ทำหน้าที่เป็นครูฝึกสอนฟันดาบให้กับมินาโมโตะ โนะ โยชิซึเนะ หนึ่งในผู้กล้าผู้เป็นตำนานของญี่ปุ่น นอกจากนี้ในบางพื้นที่ยังให้ความเคารพเท็งงุในฐานะเทพเจ้าแห่งขุนเขา


เรียวเมน สุคุนะ

Nioh (Koei Tecmo)

ในนิฮงโชคิหรือพงศาวดารของญี่ปุ่น ถือว่าเรียวเมน สุคุนะ อยู่ในจำพวกอสูรกินคน แต่ในนิทานพื้นบ้านของเมืองฮิเดะเล่าว่าเรียวเมน สุคุนะ คือวีรบุรุษที่ปกป้องภูมิภาคจากการถูกรวมอำนาจ นอกจากนี้ยังมีตำนานเล่าว่าเรียวเมน สุคุนะ คือร่างอวตารของเจ้าแม่กวนอิม

ปัจจุบันเรียวเมน สุคุนะ เป็นที่รู้จักในฐานะเทพปีศาจ ซึ่งมีรูปร่างแปลกประหลาดเหมือนปีศาจสองตัวหันหลังชนกัน สูงถึง 2 เมตร มี 2 หัวจึงไม่มีจุดบอด มีแขนกำยำ 4 ข้างที่ใช้อาวุธทีเดียวถึง 3 อย่าง คือธนู ดาบ และขวาน มี 4 ขาจึงทำให้เคลื่อนไหวรวดเร็วมาก

เรียวเมน สุคุนะ มักถูกพูดถึงในฐานะปีศาจที่สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น ราชสำนักเคยจัดตั้งกองทัพไปปราบเขาหลายครั้ง เพราะไม่เชื่อฟังองค์จักรพรรดิ แต่การปราบเรียวเมน สุคุนะ ที่ใช้อาวุธได้พร้อมกันถึง 4 มือนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ตามเรื่องเล่านี้เรียวเมน สุคุนะ ไม่ได้ใช้เวทมนตร์เหมือนสุคุนะในเรื่องมหาเวทผนึกมาร และสุคุนะในตำนานนี้ถูกปราบลงได้โดยกองทัพที่นำโดยนายพลชื่อทาเคฟุรุคุมะ โนะ มิโคโตะ สุดท้ายเรียวเมน สุคุนะ ก็ได้จากโลกนี้ไป


ที่ผมนำมาเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังเป็นแค่ส่วนหนึ่งของหนังสือเท่านั้น ในเล่มยังมีหลายตำนาน หลายเรื่องราวที่น่าสนใจอยู่อีกเพียบ เพื่อน ๆ คนไหนที่เป็นแฟนการ์ตูนมหาเวทผนึกมาร และอยากศึกษาไสยเวทญี่ปุ่นเพิ่มเติม เล่มนี้น่าหามาอ่านมากครับ หรือใครที่ไม่เคยดูการ์ตูนเรื่องนี้ แต่ชื่นชอบในวัฒนธรรมญี่ปุ่นก็สามารถหาเล่มนี้มาอ่านเป็นความรู้รอบตัวได้เช่นกันกับหนังสือ ไสยเวทของญี่ปุ่น ฉบับสมบูรณ์ ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์วารา ราคา 350 บาทครับ ราคาแพงเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ถ้าเทียบกับจำนวนหน้าและคุณภาพกระดาษ

สนใจหนังสือ ไสยเวทของญี่ปุ่น ฉบับสมบูรณ์
สามารถสั่งซื้อได้ที่ Shopee: https://s.shopee.co.th/20i9MFj6er
ซื้อผ่านลิงค์เป็นการสนับสนุนช่องครับ

Share

Leave a comment

Leave a Reply

What's New

สรุปเนื้อหาและแนะนำหนังสือที่น่าสนใจ ชวนเพื่อน ๆ มาพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้นในทุก ๆ วันไปด้วยกันครับ

Copyright 2025 Aitim and Co. All rights reserved

error: Content is protected !!