การจดโน้ตไม่ใช่แค่การบันทึกข้อมูลลงบนกระดาษ แต่เป็นกระบวนการที่ช่วยให้เราเข้าใจ และจดจำเนื้อหาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในหนังสือ The Art of Note Taking ได้แนะนำเทคนิคการจดโน้ตหลากหลายรูปแบบ ที่เพื่อน ๆ สามารถเลือกใช้ให้เหมาะกับสไตล์และความถนัดของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการจดเพื่อสรุปสิ่งที่เรียน จดเพื่อจัดระเบียบความคิด หรือเพื่อให้การทบทวนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ไอติมอ่าน ep นี้จะมาสรุปเนื้อหาสำคัญจากหนังสือเล่มนี้ เพื่อให้เพื่อน ๆ สามารถนำไปปรับใช้และพัฒนาทักษะการจดโน้ตของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดครับ ก่อนอื่นเรามาดูประโยชน์ของการจดโน้ตกันครับ ว่าสามารถช่วยเราในด้านไหนได้บ้าง

ประโยชน์ของการจดโน้ต
- ช่วยจำในระยะยาว สามารถกลับมาดูข้อมูลที่จดเมื่อไหร่ก็ได้ในอนาคต
- ช่วยให้เรียนได้เข้าใจมากขึ้น เมื่อเราจดบันทึกสิ่งที่ได้เห็นหรือได้ฟัง เราจะทำการย่อยข้อมูล และเลือกว่าจะจดคำไหนหรือประโยคไหนให้เป็นในรูปแบบของเรา
- ช่วยให้ตื่นตัว การฟังอาจารย์บรรยายเพียงอย่างเดียวอาจชวนให้ง่วง แต่หากเราฟังไปด้วย จดไปด้วย เราจะตื่นตัวและสนใจสิ่งที่อาจารย์กำลังสอนมากขึ้นครับ
- ช่วยเก็บไอเดีย ซึ่งไอเดียของคนเรานั้นเป็นนามธรรม ถ้าเราจดไอเดียที่อยู่ในหัวออกมาจะทำให้มันกลายเป็นสิ่งที่มองเห็น และเก็บเผื่อเอาไปใช้ต่อในอนาคตได้
ก่อนเข้าสู่เนื้อหาการจดโน้ตแต่ละแบบ หนังสือได้แนะนำให้รู้จัก VARK Model ซึ่งคือ ลักษณะการเรียนรู้ 4 แบบที่นิยามขึ้นโดย Neil D. Fleming และ Coleen E. Mills นักวิชาการจาก Lincoln University ประเทศนิวซีแลนด์ โดยคำว่า VARK มาจากอักษรตัวหน้าของลักษณะการเรียนรู้ ได้แก่
- V – Visual Learners คือการเรียนรู้ผ่านการมองเห็น
- A – Auditory Learners คือการเรียนรู้ผ่านการฟัง
- R – Read/Write Learners คือการเรียนรู้ผ่านการอ่านหรือเขียน
- K – Kinesthetic Learners คือการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ
โดยบางคนอาจมีรูปแบบการเรียนรู้ที่ถนัดเพียงรูปแบบเดียว แต่ก็มีคนประมาณ 50-70% ที่มีรูปแบบการเรียนรู้แบบผสมที่เรียกว่า Multimodal การรู้ว่าตัวเองถนัดเรียนรู้ด้วยรูปแบบไหน ทำให้เราเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น มาดูรายละเอียดของการเรียนรู้แต่ละแบบกันครับ
Visual Learners รูปแบบการเรียนรู้จากภาพและสัญลักษณ์
- คนกลุ่มนี้ชอบเรียนรู้ผ่านรูปภาพ แผนที่ แผนผัง แผนภูมิ และลูกศรสัญลักษณ์ต่าง ๆ
- ชอบทำงานหรืออ่านหนังสือในบรรยากาศที่เงียบสงบ
- ชอบวางแผนก่อนลงมือทำ
- สามารถอ่านและทำความเข้าใจกับแผนที่ แผนภูมิ และภาษาสัญลักษณ์ได้ดี
- ชอบเห็นภาพรวม ก่อนที่จะเจาะลึกลงรายละเอียด
- ชอบสีสัน และสามารถจำแนกสิ่งต่าง ๆ จากรูปลักษณ์และสีสัน
- สามารถจำลองเรื่องราว ลำดับเหตุการณ์ และขั้นตอนต่าง ๆ ที่ได้เห็นให้เป็นภาพหรือแผนภาพในสมอง
Auditory Learners รูปแบบการเรียนรู้จากเสียง
- คนกลุ่มนี้รับรู้ข้อมูลผ่านการได้ยินได้ฟัง ชอบฟังบรรยาย ชอบฟังคำอธิบาย
- ชอบฟังดนตรี
- ชอบพูดคุยทางโทรศัพท์
- มักพูดคุยกับตัวเอง หรือคิดออกมาดัง ๆ เพื่อเรียบเรียงความคิด
- ไม่อายที่จะพูดต่อหน้าสาธารณชน
- ชอบขึ้นแสดงบนเวที
- สามารถจดจำชื่อคนและสิ่งต่าง ๆ ได้ดี
- เรียนภาษาต่างประเทศได้ดี
- เป็นคนที่อยู่เงียบ ๆ ไม่ได้นาน
- สามารถปฏิบัติตามคำบอกได้ดี
Read/Write Learners รูปแบบการเรียนรู้จากตัวหนังสือ
- คนกลุ่มนี้ชอบข้อมูลที่เป็นลายลักษณ์อักษร นักวิชาการจึงมักมีลักษณะการเรียนรู้รูปแบบนี้
- ชอบอ่านทุกสิ่งทุกอย่าง
- มักพกสมุดโน้ตและปากกาติดตัว หรืออาจพก tablet หรือ laptop
- ชอบค้นหาข้อมูลบนอินเตอร์เนตเป็นประจำ
- ชอบจดไดอารี
- ชอบสะสมหนังสือ
- ชอบเขียนบทความ หรือชอบแต่งเรื่องราว
Kinesthetic Learners รูปแบบการเรียนรู้จาการสัมผัสและการลงมือทำ
- คนกลุ่มนี้เรียนรู้จากประสบการณ์และการลงมือทำ ไม่ว่าจะเป็นในสถานการณ์จำลองหรือสถานการณ์จริง
- ลงมือปฏิบัติตามการสาธิตได้ดี
- จดจำได้ดี เมื่อมีการใช้อุปกรณ์ และจับต้องสิ่งที่กำลังเรียนรู้
- เป็นคนที่นั่งอยู่เฉย ๆ นาน ๆ ไม่ได้
- ชอบเดินไปมา และเปลี่ยนอิริยาบถบ่อย ๆ
- มีแนวโน้มเป็นนักสะสม
- มักพูดเร็วและชอบแสดงท่าทางประกอบ
- ชอบเล่นกีฬาหรือเครื่องดนตรี
- ชอบเข้าร่วมกิจกรรม มากกว่าจะเป็นแค่ผู้ชม
ต่อไปมาเข้าสู่เนื้อหาหลักของหนังสือเล่มนี้กันครับ เล่มนี้นำเสนอการจดโน้ตไว้ถึง 5 แบบ แต่ละแบบมีวิธีการแตกต่างกันไป เพื่อน ๆ สามารถเลือกนำไปใช้ให้เหมาะสมกับความถนัดของตัวเองและสถานการณ์ที่เหมาะสมได้เลยครับ
ประเภทของการจดโน้ต

1. การจดโน้ตแบบเส้นตรง (Outlining Notes)
เป็นวิธีการจดโน้ตแบบดั้งเดิมที่จัดเนื้อหาจากหัวข้อใหญ่ไปหัวข้อย่อย คล้ายกับการทำ bullet points โดยหัวข้อใหญ่จะอยู่ชิดหน้ากระดาษทางซ้ายมือ และประเด็นย่อยถัดมาจะอยู่บรรทัดล่างขยับมาทางขวา
แม้การจดโน้ตแบบเส้นตรงจะเป็นการแบ่งบรรทัดสั้น ๆ ย่อยลงมา แต่ก็ควรหลีกเลี่ยงการแบ่งบรรทัดที่มากจนเกินไป บรรทัดไหนที่รวมให้อยู่บรรทัดเดียวกันได้ก็ให้จัดการรวมมันครับ คำไหนที่มีตัวอักษรย่อก็ให้ใช้แทนชื่อเต็ม
ประโยชน์ของการจดโน้ตแบบเส้นตรง
1. กลับมาทำความเข้าใจได้ง่าย เพราะการจดโน้ตแบบนี้ทำการตัดทอนรายละเอียดที่ไม่จำเป็นออกไปแล้ว พอกลับมาอ่านจึงเข้าใจประเด็นสำคัญของสิ่งที่จดได้ในทันที
2. การจดโน้ตแบบเส้นตรงนั้นยืดหยุ่น จะผสมวิธีการจดโน้ตแบบอื่นลงไปด้วยก็ได้ หรือจะวาดลูกศรโยงไปหัวข้ออื่น เพื่อแสดงถึงการเชื่อมโยงกันของข้อมูลก็ได้
3. สามารถใช้ตัวเลขกำกับแต่ละหัวข้อได้ หากต้องการอ้างถึงหัวข้อไหนก็สามารถเขียนเลขหัวข้อนั้นกำกับไว้ได้เลย
การจดโน้ตแบบเส้นตรง ต้องอาศัยกระบวนการคิดเพื่อย่อยข้อมูลก่อนจะจด วิธีการนี้อาจไม่เหมาะสำหรับการจดเลกเชอร์ในห้องเรียนแบบสด ๆ เพราะอาจจดไม่ทันที่ผู้สอนพูด และการจดโน้ตวิธีนี้เน้นการตัดทิ้งรายละเอียด อาจมีบางครั้งที่เราต้องการข้อมูลที่ละเอียดกว่านั้น ก็อาจต้องเสียเวลากลับไปหาข้อมูลที่ต้องการเพิ่ม

2. การจดโน้ตแบบแผนผังความคิด (Mind Mapping)
เป็นวิธีการจดโน้ตเชิงภาพที่แตกแขนงกิ่ง เพื่อให้เห็นการเชื่อมโยงกันของข้อมูล โดยเริ่มจากการเขียนคำที่เป็นหัวข้อหลักไว้ตรงกลางหน้ากระดาษ แล้วขีดเส้นโยงหัวข้อย่อยออกมาจากหัวข้อหลัก หากมีหัวข้อย่อยกว่านั้นอีก ก็โยงเส้นแตกไปได้เรื่อย ๆ
การจดโน้ตแบบแผนผังความคิด ส่วนใหญ่จะใช้ในกับเนื้อหาที่มีความซับซ้อน ต้องใช้การเชื่อมโยงเพื่อให้เข้าใจภาพรวม และความสัมพันธ์ของแต่ละเนื้อหา
นอกจากนี้ยังสามารถเติมภาพ สัญลักษณ์ และสีสันต่าง ๆ เข้ามาช่วยให้จดจำและเข้าใจได้ง่ายขึ้น
ประโยชน์ของการจดโน้ตแบบแผนผังความคิด
1. ช่วยให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น เพราะไม่ได้ใช้เพียงแค่ตัวหนังสือ แต่ยังมีเส้นและสัญลักษณ์
2. ไม่จำเป็นต้องจดแบบเป็นเส้นตรง ไม่ต้องจดแบบเรียงลำดับ สามารถสลับจดจากหัวข้อหนึ่งไปอีกหัวข้อหนึ่งได้เลย
3. ช่วยให้มองเห็นภาพใหญ่ได้แบบทีละส่วน ทำให้ใช้สมาธิกับทีละส่วนได้อย่างเต็มที่
นอกจากนี้การจดโน้ตแบบแผนผังความคิด ยังเหมาะกับใช้ในตอนที่ทำการระดมสมองหาไอเดีย เพราะเมื่อมีไอเดียใหม่เมื่อไหร่ก็สามารถแตกกิ่งหัวข้อย่อยออกไปได้เลย แต่การจดโน้ตวิธีนี้อาจไม่เหมาะกับคนที่ไม่เก่งเรื่องการมองข้อมูลให้เป็นภาพ แถมยังใช้เวลาในการจดนาน เพราะต้องคำนึงถึงความเชื่องโยงกันของข้อมูล นอกจากนี้บางทีการจดแบบนี้อาจทำให้ดูยุ่งยากกว่าเดิม เพราะข้อมูลโยงกันยุ่งเหยิงไปหมด

3. การจดโน้ตแบบประโยค (Sentence Method)
การจดโน้ตวิธีนี้ทำโดยจดประโยคที่เป็นสาระสำคัญลงไปทั้งหมด แยกเป็นบรรทัด ๆ ไป โดยไม่ต้องย่อหรือวิเคราะห์ข้อมูลใด ๆ ทั้งสิ้น เป็นวิธีการจดโน้ตที่ง่ายที่สุด การจดโน้ตแบบประโยคแตกต่างจากการจดทั้งย่อหน้าตรงที่การจดโน้ตจะแตกบรรทัดใหม่ทุกครั้งเมื่อเจอไอเดียหรือข้อเท็จจริงใหม่
ดังนั้นการจดโน้ตแบบประโยคจึงเป็นกลุ่มก้อนของไอเดียที่เรียงต่อกันโดยไม่มีลำดับแบบแผน การจดโน้ตแบบนี้จึงเหมาะกับใช้ในห้องเรียนที่อาจารย์บรรยายเนื้อหารวดเร็ว หรือสอนแบบไม่เรียงลำดับ กระโดดไปพูดเรื่องนั้นแล้วกลับมาเรื่องนี้
ประโยชน์ของการจดโน้ตแบบประโยค
1. เป็นวิธีที่นำไปใช้ง่าย ไม่จำเป็นต้องฝึกมาก่อนก็สามารถจดโน้ตวิธีนี้ได้แบบอัตโนมัติ
2. ไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวอะไรมาก เพียงแค่มีกระดาษว่าง ๆ ปากกาหรือดินสอ และเปิดหัวให้ว่างสำหรับรับข้อมูล
3. เป็นวิธีที่คงความหมายและรายละเอียดของสิ่งที่จดไว้อย่างครบถ้วน
การจดโน้ตแบบประโยคต้องอาศัยการเขียนหรือการพิมพ์ที่รวดเร็ว คนที่เขียนช้าอาจจดด้วยวิธีนี้ไม่ทัน หรือคนที่ลายมือไม่สวยอาจมีปัญหาทีหลังเมื่อกลับมาอ่านโน้ตที่จด นอกจากนี้การจัดระเบียบโน้ตที่จดด้วยวิธีนี้อาจยุ่งยาก เพราะเต็มไปด้วยข้อมูลก้อนใหญ่

4. การจดโน้ตแบบแผนภูมิ (Charting Method)
เป็นการจดโน้ตในรูปแบบตารางที่มีแถวและคอลัมน์ โดยในแต่ละช่องว่างของตารางจะจดข้อมูลที่สรุปแล้วลงไป วิธีการจดโน้ตแบบนี้เหมาะสำหรับการเปรียบเทียบข้อมูล เพื่อดูว่าชุดข้อมูลเหล่านั้นมีความเหมือนหรือแตกต่างกันยังไงบ้าง เหมาะสำหรับการทำสรุปเนื้อหาวิชา มากกว่านำไปใช้จดเลคเชอร์ในห้องเรียน
วิธีการจดแบบนี้แตกย่อยได้อีกหนึ่งวิธีเรียกว่า T-chart ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบกันของข้อมูล 2 ชุด เพื่อให้เห็นความเหมือนและความต่างกันของข้อมูลได้อย่างชัดเจน
ประโยชน์ของการจดโน้ตแบบแผนภูมิ
1. เห็นแต่ข้อมูลที่มีความสำคัญเท่านั้น เพราะผ่านการย่อและสรุปมาแล้ว
2. การฝึกจดโน้ตแบบแผนภูมิบ่อย ๆ จะทำให้มีทักษะการสรุปข้อมูลเก่งขึ้น
3. ช่วยให้เปรียบเทียบข้อมูลหลาย ๆ ชุดได้ง่าย
4. ช่วยให้เข้าใจและจดจำเนื้อหาที่เรียนได้ดีขึ้น เพราะการจดโน้ตวิธีนี้ต้องผ่านกระบวนการจัดระเบียบและย่อยข้อมูล
การจดโน้ตวิธีนี้ต้องเตรียมตัวค่อนข้างเยอะ ต้องเข้าใจเนื้อหาที่จะทำการจด และบางเนื้อหาอาจไม่เหมาะกับวิธีนี้ เพราะชุดข้อมูลไม่มีความเกี่ยวข้องกัน ไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบกัน หรือเนื้อหาของข้อมูลเยอะจนไม่สามารถย่อให้จดลงในช่องตารางได้พอ นอกจากนี้การจดโน้ตแบบแผนภูมิยังเหมาะสำหรับคุณครูนำไปจดบันทึกคะแนนของนักเรียนที่ตัวเองสอนครับ

5. การจดโน้ตแบบคอร์เนลล์ (Cornell Notes)
การจดโน้ตวิธีนี้จะแบ่งหน้ากระดาษออกเป็นสามส่วนคือ ขวา ซ้าย และล่าง พื้นที่ด้านขวาให้แบ่งพื้นที่ 70% ของความกว้างของหน้ากระดาษ พื้นที่ส่วนนี้เอาไว้สำหรับจดโน้ตขณะกำลังฟังอาจารย์สอนในห้องเรียน พื้นที่ด้านซ้ายอีก 30% ที่เหลือใช้สำหรับเขียนคำสำคัญ ประเด็นสำคัญ ซึ่งจะมาทำหลังจากเรียนคาบนั้นเสร็จแล้ว พื้นที่ด้านล่างเหลือไว้สักนิด ซึ่งมีไว้สำหรับเขียนสรุปเนื้อหาอย่างสั้น ๆ หรือความคิดเห็นเพิ่มเติม
ประโยชน์ของการจดโน้ตแบบคอร์เนลล์
1. ช่วยให้จำเนื้อหาได้ดีขึ้น การแบ่งพื้นที่ของหน้ากระดาษออกเป็นส่วน ๆ ทำให้เราได้ทบทวนเนื้อหาหลายรอบ ทั้งตอนจด ตอนสรุป และตอนทบทวน ช่วยให้ความจำฝังแน่นขึ้น
2. เน้นประเด็นสำคัญได้ง่าย ช่องซ้ายที่เอาไว้ใส่หัวข้อ คำถาม หรือคำสำคัญ ทำให้เรามองแค่แว้บเดียวก็รู้ว่าเนื้อหานั้นพูดถึงเรื่องอะไร เหมาะกับการอ่านทบทวนแบบเร็ว ๆ ก่อนสอบ
3. ได้ฝึกการคิดวิเคราะห์และจับใจความสำคัญ เพราะต้องแยกประเด็นหลักกับรายละเอียด ช่วยให้เราไม่จดทุกอย่างแบบตรง ๆ แต่คัดเอาเฉพาะส่วนที่สำคัญมาจด
การจดโน้ตแบบคอร์เนลล์เหมาะสำหรับใช้จดเนื้อหาในห้องเรียน แต่วิธีนี้เราต้องจดจ่อกับการสอนให้ทัน และหลังจากนั้นต้องกลับมาทบทวนให้เร็วที่สุด ในตอนที่เนื้อหาที่เรียนมายังสดใหม่อยู่ในหัว ปัญหาที่อาจพบได้ในการจดโน้ตที่แบ่งพื้นที่หน้ากระดาษออกเป็นส่วน ๆ คือ พื้นที่สำหรับจดโน้ตไม่ใหญ่พอ ทางแก้ไขคือให้ใช้สมุดจดที่ใหญ่ขึ้น หรือเขียนตัวหนังสือให้เล็กลง

ในหนังสือเล่มนี้ได้แนะนำเทคนิคและเคล็ดลับสำหรับช่วยให้การจดโน้ตของเรามีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นครับ ได้แก่
ฟังอย่างกระตือรือร้น หรือ Active Listening
เพราะการจดโน้ตที่ดี เริ่มจากการฟังอย่างมีคุณภาพ ไม่ใช่แค่ได้ยิน แต่ต้องตั้งใจฟัง ต้องโฟกัสที่ผู้พูด ตัดสิ่งรบกวนออก เช่น ปิดแจ้งเตือนมือถือ, หันหน้าไปยังผู้พูด ควรจดโดยสรุปเป็นคำของตัวเอง อย่าจดตามคำพูดของอาจารย์แบบเป๊ะ ๆ ให้แปลงเป็นภาษาที่เราเข้าใจ จะช่วยให้จำได้ดีกว่าเดิม
ใช้สัญลักษณ์และคำย่อ
ยิ่งจดเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งจับประเด็นได้มากเท่านั้น ให้คิดคำย่อของตัวเอง เช่น ปย. = ประโยค, วว. = วิวัฒนาการ และใช้สัญลักษณ์แทนการเขียนเป็นคำ เช่น ➡ ใช้แสดงเหตุผล, ⬆ ใช้แทนการเพิ่มขึ้น, ⬇ ใช้แทนการลดลง, ★ ใช้เน้นความสำคัญ และควรใช้ชุดสัญลักษณ์เดิมในทุกโน้ตที่จด เพื่อไม่สับสนเวลากลับมาทบทวน
หมั่นทบทวนและแก้ไข
เพราะการจดโน้ตไม่ได้จบแค่การเขียน แต่ต้องทบทวนถึงจะได้ผล ควรกลับมาทบทวนภายใน 24 ชั่วโมง เพื่อเชื่อมโยงความจำระยะสั้นกับระยะยาว ทำการเติมข้อมูลส่วนที่ขาด หรือใส่ตัวอย่างเพิ่มเติมที่ตอนนั้นยังนึกไม่ออก พอทบทวนแล้วให้ถามตัวเองว่า “ฉันเข้าใจหัวข้อนี้พอจะอธิบายให้คนอื่นฟังได้ไหม?”
ใช้การเน้นและการเขียนหมายเหตุ
การใช้สีสันช่วยดึงดูดสายตาและทำให้จดจำได้ดีขึ้น ลองใช้สีแตกต่างกัน เช่น สีแดงใช้เขียนหัวข้อหลัก, สีเขียวใช้เขียนคำถาม การขีดเส้นใต้หรือวงคำสำคัญ ช่วยให้มองเห็นคำนั้นได้เด่นชัด พร้อมกันนี้ให้เขียนหมายเหตุไว้ข้าง ๆ สำหรับความเห็นส่วนตัว หรือสิ่งที่อยากหาคำตอบเพิ่มเติม
การจดโน้ตที่มีประสิทธิภาพเป็นทักษะที่สามารถพัฒนาได้ด้วยการฝึกฝนครับ หนังสือเล่มนี้ชวนให้เราลองใช้การจดโน้ตวิธีต่าง ๆ เพื่อหาวิธีที่เหมาะสมกับตัวเราที่สุด ใครสนใจอ่านเพิ่มเติม สามารถหามาอ่านได้ครับกับหนังสือ The Art of Note Taking เขียนโดยทีมงาน Thinknetic เล่มนี้ยังไม่มีแปลเป็นภาษาไทย ผมซื้อแบบอีบุ๊คมาอ่านบน Kindle ครับ
Leave a comment