Disneyland ทำอะไร ทำไมใครๆ ก็รัก ความลับที่ดิสนีย์แลนด์ใช้ฝึกพนักงานกว่าแสนคน

Share
Share

1. ลองพูดเลียนเสียงมิกกี้ เมาส์

ในทางจิตวิทยาการใช้เสียงสูงจะทำให้รู้สึกดีและสบายใจ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือตอนที่ผู้ใหญ่คุยกับเด็กทารก ซึ่งเป็นการขึ้นเสียงสูงโดยอัตโนมัติ การพูดแบบนี้เกิดขึ้นในทุกภาษาทุกวัฒนธรรม

การที่สมัยเด็กเรามีความทรงจำที่ดีกับเสียงสูง ส่งผลให้เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ก็ยังคงรู้สึกสบายใจเมื่อได้ยินเสียงสูง ในทางกลับกันการใช้เสียงทุ้มต่ำเหมาะสำหรับการโนเมน้าวใจหรือสร้างความไว้วางใจ อย่างตอนที่ประชุมหรือนำเสนองาน การพูดช้า ๆ ด้วยเสียงทุ้มจะทำให้การพูดมีประสิทธิภาพมากขึ้น


2. ค้นหาข้อดีของเพื่อนแล้วกล่าวชม

ที่ดิสนีย์แลนด์มีวัฒนธรรมกล่าวชมซึ่งกันและกัน เพื่อรักษาแรงจูงใจและความสุขในการทำงาน หัวหน้างานจะพกการ์ดสำหรับเขียนคำชมเมื่อเห็นเหตุการณ์ที่พนักงานบริการแขกได้อย่างยอดเยี่ยมก็จะเขียนคำชมส่งให้

พนักงานด้วยกันก็จะกล่าวชมเชยกันอย่างเป็นธรรมชาติด้วยคำทำนองว่า “ตอนนั้นคุณให้บริการแขกได้ดีมากเลยนะ” การยอมรับซึ่งกันและกันถือเป็นยาดีที่สุดในการเยียวยาพนักงานที่มีแรงจูงใจในการทำงานต่ำ หรือรู้สึกว่างานที่ทำซ้ำซากจำเจ

คุณสามารถปลูกฝังวัฒนธรรมการชมเชยกันและกันได้ โดยมองหาข้อดีจากเพื่อนร่วมงานแล้วกล่าวชม ไม่มีใครรู้สึกแย่เมื่อถูกชม แถมความสัมพันธ์กับคนอื่นยังดีขึ้นอีกด้วย

แต่การชมกับการยกยอปอปั้นนั้นต่างกัน ถ้าเราเอาแต่ชมแบบเกินจริงก็จะถูกมองว่าเราเป็นคนประจบสอพอ วิธีกล่าวชมที่ดีคือชมในสิ่งที่เห็นชัดเจนว่าอีกฝ่ายทำอะไรออกมาดี จุดไหนที่ทำออกมาแล้วยอดเยี่ยม


3. แทนที่จะใส่ใจกับการพูด ให้ตั้งใจฟังเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า

บนโลกนี้มีคนที่ขึ้นชื่อว่ารับฟังเก่ง พวกเขาจะมีบุคลิกที่คุยด้วยง่าย ทำให้เรากล้าคุยด้วยอย่างเปิดใจ ที่สำคัญคือพวกเขามักเป็นที่ชื่นชอบบของคนส่วนใหญ่ บางคนอาจคิดว่าการรับฟังเก่งเป็นพรสวรรค์ แต่จริง ๆ แล้วสิ่งนี้ฝึกกันได้

โดยเริ่มได้จากสบตากับอีกฝ่าย พูดตอบรับเป็นระยะเพื่อแสดงว่าเรากำลังฟังอยู่ มีปฏิกิริยากับเรื่องที่อีกฝ่ายเล่า เช่น ตกใจ ยิ้ม เพื่อแสดงความรู้สึกร่วม ถ้าอีกฝ่ายพูดโดยคิดว่าอยากให้เราเห็นด้วย เราสามารถเออออไปด้วยได้ หรือทวนคำพูดอีกฝ่าย เช่น อีกฝ่ายพูดว่า “วันนี้เหนื่อยมาเลย” เราก็ตอบกลับไปว่า “งั้นเหรอ วันนี้เหนื่อยมากเลยสินะ”


4. กล่าวทักทายแบบที่ทำให้อีกฝ่ายสามารถตอบกลับได้

การเป็นคนที่คุยด้วยสนุก คุณจำเป็นต้องตั้งคำถามที่สามารถสื่อสารได้สองทาง ซึ่งเรียกว่าคำถามแบบปลายเปิด ที่จะถามว่า อะไร? ใคร? เมื่อไร? ที่ไหน? ทำไม? และอย่างไร? คำถามปลายเปิดจะช่วยให้ต่อบทสนทนาง่ายขึ้น ในทางตรงกันข้ามการถามคำถามที่สามารถตอบได้เพียง ใช่กับไม่ใช่ จะเรียกว่าคำถามปลายปิด

เวลาติดต่อเรื่องงาน คุณควรใช้คำถามปลายปิด เพื่อให้ได้คำตอบที่ชัดเจนและตรงประเด็น แต่ในเรื่องอื่น ๆ ควรใช้คำถามปลายเปิดเท่าที่จะทำได้

เช่น ตอนเช้าแทนที่จะพูดว่าอรุณสวัสดิ์ ให้ทักว่า “เสื้อสวยจัง ซื้อจากร้านไหน?” ก็จะเกิดการสื่อสารสองทางที่ต่อยอดการสนทนาออกไปได้อย่างกว้างขวาง ความประทับใจของอีกฝ่ายต่อตัวเราก็จะเพิ่มขึ้น


5. รับฟังคำแนะนำอย่างเปิดใจ

คนที่ยอมเปิดใจรับฟังคำแนะนำของคนอื่นคือคนที่จะก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว หากหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงานสอนอะไรบางอย่าง นั่นแสดงว่าพวกเขาคาดหวังในตัวคุณ แม้บางครั้งจะเข้มงวดหรือถูกตำหนิบ้าง แต่คุณต้องไม่แสดงท่าทีต่อต้าน และต้องยอมรับว่าตัวเองยังมีข้อบกพร่องอยู่

และถ้าคุณคิดกับอีกฝ่ายทำนองว่า “รู้สึกขอบคุณที่กล่าวตักเตือน” หรือ “ดีใจจังที่มาบอกตรงๆ” คุณก็จะซึมซับคำแนะนำและกลายเป็นบุคคลที่สามารถเติบโตขึ้นได้อีกเรื่อย ๆ

ท่าทีตอนถูกตำหนิเป็นสิ่งสะท้อนความรู้สึกของตัวคุณเอง ถ้าคุณแสดงท่าทีต่อต้านหรือโต้เถียง อีกฝ่ายก็จะคิดว่าแนะนำอะไรคุณไปก็คงไม่มีประโยชน์ และไม่แนะนำอะไรให้คุณอีก

เมื่อถูกชี้ให้เห็นข้อบกพร่องของตัวเอง ลองเปิดใจรับฟังแล้วพิจารณาสิ่งที่อีกฝ่ายบอกอย่างสุขุมรอบคอบ


6. ตั้งคำถามกับงานที่ทำอยู่ตรงหน้าว่า “ทำไม” 3 ครั้ง

การค้นหาปัญหาของตัวเองแล้วทำการแก้ไข เป็นทักษะสำคัญมากในการทำงาน ถ้าอยากมีทักษะนี้ติดตัวต้องฝึกการวิเคราะห์ปัญหาที่เรียกว่า Why-Why Analysis คือให้พิจารณาเหตุการณ์หนึ่งโดยหาสาเหตุว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น พอได้คำตอบก็ต้องคำถามกับคำตอบนั้นอีกว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น ทำซำ้ไปเรื่อย ๆ จครบ 5 รอบ

งานประจำที่ทำทุกวันก็เหมือนกัน ถ้าคิดให้ลงลึกว่า “ทำไมถึงจำเป็นต้องทำงานนี้” คุณจะเข้าใจแก่นแท้ของงาน สามารถทำงานด้วยความเข้าใจ

การตั้งคำถามกับบางเรื่องถึง 5 ครั้งอาจจะยากไปสำหรับการเริ่มต้น ดังนั้นลองตั้งคำถามสัก 3 ครั้งดูก่อนก็ได้


7. กินอาหาร ออกกำลังกาย และนอนหลับอย่างเพียงพอ

การมีสุขภาพที่ดี คือเงื่อนไขจำเป็นถ้าอยากเป็นที่ชื่นชอบของคนอื่น เพราะถ้าใต้ตาคล้ำ หน้าหมอง ผิวแห้งกร้าน ใบหน้าซีดเซียวก็จะทำให้เราดูไม่มีเสน่ห์

ช่วงวัย 20 ปลายจนถึง 30 ปี เป็นช่วงที่ชีวิตการทำงานจะยุ่งเป็นพิเศษ ในระหว่างนี้หากเจ็บป่วยก็จะกระทบกับงาน ต่อให้ฝืนก็ไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ และสีหน้าที่ย่ำแย่ตอนป่วยก็ส่งผลต่อภาพลักษณ์ที่ดูไม่ดีในสายตาคนอื่น

ดังนั้นเราควรรู้จักดูแลสุขภาพของตัวเอง โดยการกินอาหารให้สมดุล ออกกำลังกายและนอนหลับให้เพียงพอ สำหรับการออกกำลังกาย บางคนอาจคิดว่าแค่ทำงานก็เหนื่อยแล้ว ให้ลองหาเวลาระหว่างวันออกกำลังเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ลงสถานีรถไฟก่อนถึงที่ทำงานหรือบ้านสัก 1 สถานีแล้วเดินต่อ ใช้บันไดแทนลิฟต์ ลุกไปเดินเล่น

สิ่งที่ช่วยฟื้นฟูความเหนื่อยล้าได้ดีที่สุดคือ การนอนหลับ โดยวันหนึ่งควรนอนให้ได้ 7-9 ชั่วโมง


8. ระลึกไว้เสมอว่า “เวทมนตร์แห่งการใส่ใจ” จะช่วยให้ใช้ชีวิตได้อย่างสนุกสนาน

ในเวลาทำงาน คนที่สนุกกับงานจะเปล่งประกายมากที่สุด เมื่อสนุกกับงาน ความเครียดและความกังวลก็จะลดลง ส่งผลให้แต่ละวันมีความสุขมากขึ้น พูดอีกอย่างคือ สนุกกับการใช้ชีวิต

สิ่งที่ช่วยให้รู้สึกสนุกกับงานคือความสัมพันธ์กับผู้คนในที่ทำงาน ถ้ารอบตัวคุณมีคนที่ประทับใจในตัวคุณและคิดว่าอยากร่วมงานด้วยเพิ่มมากขึ้น สิ่งที่คุณอยากทำจะเป็นจริงได้มากขึ้น และคุณยังจะภูมิใจกับงานอีกด้วย

นอกจากนี้การร่วมแรงร่วมใจกันทำงานกับพรรคพวกที่รู้ใจ จนประสบความสำเร็จจะทำให้เกิดความรู้สึกยินดี และกลายเป็นพลังขับเคลื่อนการทำงานต่อไป

สิ่งที่หนังสือเล่มนี้แนะนำคือเคล็ดลับที่ช่วยกระชับความสัมพันธ์กับผู้คน นอกจากนี้เคล๊ดลับเหล่านี้ยังช่วยขัดเกลาจิตใจของเรา ช่วยให้เรานึกถึงความรู้สึกคนอื่น ลดอัตตา เลิกยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง แล้วจิตใจของคุณจะเริ่มเปล่งประกายจนคนรอบข้างสังเกตเห็น

สนใจหนังสือ Disneyland ทำอะไร ทำไมใคร ๆ ก็หลงรัก
สามารถสั่งซื้อได้ที่ Shopee: https://s.shopee.co.th/7KftOsbRsQ
ซื้อผ่านลิงค์เป็นการสนับสนุนช่องครับ

Share

Leave a comment

Leave a Reply

What's New

สรุปเนื้อหาและแนะนำหนังสือที่น่าสนใจ ชวนเพื่อน ๆ มาพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้นในทุก ๆ วันไปด้วยกันครับ

Copyright 2025 Aitim and Co. All rights reserved

error: Content is protected !!