คิดมากไปทำไม ขนาดพระพุทธเจ้ายังเคยทำพลาดเลย แค่รู้ประวัติศาสตร์ ก็หายขาดจากความกลุ้มใจได้แล้ว

Share

เพื่อน ๆ กำลังทุกข์ใจและเหนื่อยที่ต้องแบกรับความกดดันเอาไว้มากเกินไปอยู่หรือเปล่าครับ กำลังรู้สึกแย่ที่ชีวิตไม่ประสบความสำเร็จเหมือนคนอื่นอยู่หรือเปล่า สังคมทุกวันนี้มีสารพัดเรื่องให้กลุ้มใจ แล้วเพื่อน ๆ เคยคิดบ้างไหมครับว่าปัญหาที่กำลังเจออยู่นี้ เคยมีคนอื่นเจอมาก่อนเราหรือเปล่า

แม้ประวัติศาสตร์จะเต็มไปด้วยเรื่องราวของบุคคลที่ประสบความสำเร็จ แต่เบื้องหลักชีวิตของพวกเขาเหล่านั้นล้วนผ่านเรื่องราวมากมาย พวกเขาเป็นคนธรรมดาเหมือนกับพวกเรานี่แหละครับ การศึกษาประวัติศาสตร์ทำให้เรารู้ว่าทุกคนล้วนเคยผิดพลาดกันมาบ้าง และการจะได้มาซึ่งความสำเร็จบางครั้งต้องอาศัยเวลาที่เหมาะสม

ไอติมฮีลใจ ep นี้มาแนะนำหนังสือคิดมากไปทำไม ขนาดพระพุทธเจ้ายังเคยทำพลาดเลย เขียนโดยฟุกาอิ ริวโนะซุเกะ หนังสือเล่มนี้เล่าเรื่องราวชีวิตของบุคคลที่เป็นที่รู้จักระดับโลกว่ากว่าที่พวกเขาจะประสบความสำเร็จต้องล้มลุกคลุกคลานมายังไงบ้าง ในเล่มพูดถึงหลายคนเลยครับ แต่ผมขอเลือกเรื่องของคนที่ผมสนใจมาเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังนะครับ


พระพุทธเจ้า

จากชื่อหนังสือและภาพหน้าปก ใครเห็นก็ต้องคิดว่าเนื้อหาในเล่มน่าจะต้องเน้นไปที่เรื่องราวของพระพุทธเจ้าแน่ ๆ แต่พอได้อ่านกลับไม่ใช่อย่างนั้นเลยครับ เรื่องที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าถูกพูดถึงแค่สั้น ๆ และไม่มีเนื้อหาพูดถึงเรื่องที่พระพุทธเจ้าทำพลาดเลย

อย่างที่เรารู้กันดีครับ ก่อนที่จะมาเป็นพระพุทธเจ้าท่านเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ โคตมะ มาก่อน เกิดเมื่อประมาณ 2,500 กว่าปีที่แล้ว ท่านอยู่ในวังอย่างสุขสบายที่มีทุกอย่างเพียบพร้อม แต่แล้ววันหนึ่งท่านได้ออกไปเห็นชีวิตของผู้คนนอกวังที่มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เต็มไปด้วยความทุกขเวทนา

เจ้าชายมองเห็นความว่างเปล่าในชีวิตสะดวกสบายของตัวเอง จึงออกบวชตอนอายุได้ 29 ปี ผ่านประสบการณ์ชีวิตมากมาย จนกระทั่งตรัสรู้เมื่ออายุได้ 35 ปี ผู้เขียนยกย่องให้พระพุทธเจ้าเป็นอัจฉะริยะคนหนึ่งที่คิดอย่างเป็นตรรกะ ธรรมะที่ท่านค้นพบบอกว่า “ความทุกข์เกิดจากการที่สิ่งที่หวังไม่เป็นไปอย่างที่หวัง” เราอยากควบคุมสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ ถึงได้เกิดทุกข์ขึ้น ท่านเรียกการที่คนหลงคิดว่าตัวเองควบคุมสิ่งที่ไม่อาจควบคุมได้ว่าคือการยึดมั่นถือมั่นครับ

ไม่ว่าจะเป็นตัวเรา คนอื่น หรือสังคมล้วนเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้ ความทุกข์ใจเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงมาตั้งแต่แรก ตัวเราที่ไม่เที่ยงมาเป็นทุกข์กับความทุกข์ใจที่ไม่เที่ยง เหมือนภาพลวงตาที่ลวงแล้วลวงอีก ผู้เขียนบอกว่าเขาลองศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วยังไม่เจอช่องว่างใด ๆ แต่หากจะพูดถึงเรื่องที่พระพุทธเจ้าทำพลาด อาจยกตอนที่ท่านบำเพ็ญทุกรกิริยาโดยการอดอาหารเป็นเวลา 49 วันจนร่างกายผอมซูบ ก่อนจะพบว่าวิธีนี้ไม่ใช่หนทางแห่งการดับทุกข์ ท่านคิดได้ว่าคนเราควรเดินทางสายกลาง ไม่สุดโต่งไปทางใดทางหนึ่งต่างหากครับ


เจงกิสข่าน

ผู้เขียนบอกว่าความทุกข์ใจทั้งหลายมีสาเหตุมาจากค่านิยมที่สังคมยึดถือ เราใช้ชีวิตท่ามกลางความปกติที่คนหมู่มากในสังคมนิยามขึ้นมา ตัวอย่างเช่นคนทุกวันนี้ส่วนใหญ่มีบ้าน อาจจะเป็นบ้านที่ซื้อเอง หรือเช่าเขาอยู่ การไปถามใครว่ามีบ้านให้กลับหรือเปล่า อาจถูกคนมองว่าเพี้ยนเอาได้

แต่ที่จริงแล้วการมีบ้านให้กลับไม่ใช่ความปกติของมนุษยชาติแต่อย่างใด สมัยโบราณบรรพบุรุษของเราไม่ได้มีที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่งครับ แม้แต่ในปัจจุบันก็ยังมีชนเผ่าเร่ร่อนที่ประเทศมองโกลเลียใช้ชีวิตโดยย้ายถิ่นฐานไปเรื่อย ๆ เป็นวิถีชีวิตที่ต่างจากพวกเราอย่างสิ้นเชิง

ในประวัติศาสตร์มีคนจากชนเผ่าเร่ร่อนกลายเป็นคนสำคัญระดับโลกด้วยเช่นกัน ชื่อของคนนั้นคือ เจงกิสข่าน ผู้มีชีวิตอยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 12-13 เป็นผู้ก่อตั้งจักรวรรดิมองโกลซึ่งในยุคที่รุ่งเรืองที่สุดเคยครอบครองดินแดนมากถึง 1 ใน 3 ของทวีปยูเรเชีย

การใช้ชีวิตแบบชนเผ่าเร่ร่อนต้องอยู่ท่ามกลางสภาพอากาศที่โหดร้าย อุณหภูมิในตอนกลางวันกับตอนกลางคืนต่างกันถึง 15-20 องศาเซลเซียส น้ำดื่มไม่ใช่สิ่งที่จะหาได้ง่าย ๆ และอาหารก็ขาดแคลนเพราะไม่ได้ทำเกษตรกรรม ชาวมองโกลจึงไม่มีพื้นที่ให้สำหรับคนอ่อนแอ ทุกคนต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด โดยการบุกไปปล้นสะดมจากชนเผ่าอื่น

ตอนลืมตาดูโลกเจงกิสข่านเคยชื่อ เตมูจิน มาก่อน ชื่อนี้เป็นชื่อของหัวหน้าเผ่าตาตาร์ที่พ่อของเจงกิสข่านเพิ่งรบชนะและสังหารมาได้ เลยเอามาตั้งเป็นชื่อลูกเพื่อเป็นที่ระลึก และแม่ของเจงกิสข่านคือผู้หญิงที่พ่อของเขาเป็นคนบุกโจมตีเพื่อแย่งตัวมาเป็นเมีย ทั้งที่เธอเพิ่งแต่งงานกับสามีคนแรกไป เรียกว่าเจงกิสข่านพบเจอกับเหตุการณ์นองเลือดมาตั้งแต่เกิด

หากตัดสินด้วยมุมมองของคนทุกวันนี้ ชนเผ่ามองโกลย่อมถูกมองว่าเป็นคนป่าเถื่อน วิธีคิดและค่านิยมที่ชนเผ่ามองโกลยึดถือผิดเพี้ยนไปจากความปกติที่เรายึดถืออย่างสุดขั้ว แต่ในสมัยนั้นพวกเขาก็คิดว่าสิ่งที่ตัวเองยึดถือคือความปกติธรรมดา เพราะความปกติไม่ใช่สิ่งที่คงทนถาวร มันเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ แล้วแต่พื้นที่และยุคสมัยครับ

ผู้เขียนบอกว่าการศึกษาประวัติศาสตร์ทำให้เราเข้าใจว่าความปกติของเราไม่ใช่ความปกติ เขาเรียกสิ่งนี้ว่าเป็นอภิปัญญา หมายถึงการถอยออกมาหนึ่งก้าว และมองทุกสิ่งรอบตัวโดยปราศจากอคติ การมีอภิปัญญาช่วยปลดปล่อยเราจากความทุกข์ได้ ช่วยให้เราโล่งและสบายใจครับ


พระเยซูและขงจื้อ

เวลาพูดถึงความทุกข์ใจ หากไปดูตามโซเชียลมีเดีย ประเด็นที่พบเห็นบ่อยที่สุดจะเป็นเรื่องทำนองว่า “ไม่ชอบตัวเองที่เป็นคนไม่ได้เรื่อง” คนที่โพสต์ทำนองนี้มักไม่พอใจตัวเองในปัจจุบัน หรือไม่ก็จิตตกกับความไม่สมบูรณ์แบบของตัวเอง

คนที่ทุกข์ใจกับเรื่องนี้มักแบ่งมนุษย์ออกเป็น 2 กลุ่ม คือบุคคลสำคัญกับคนธรรมดา หรือไม่ก็คนเก่งกับคนไม่เก่ง เวลาเรามองไปที่ประวัติศาสตร์ เราจะเห็นเรื่องราวของผู้ยิ่งใหญ่ที่ยังถูกเล่ามาถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นจูเลียส ซีซาร์ หรือนโปเลียน

แต่คนธรรมดาไม่มีคุณค่าจริง ๆ เหรอ เราสามารถแยกคนธรรมดากับบุคคลสำคัญออกจากกันได้ชัดเจนขนาดนั้นเลยเหรอ จริง ๆ แล้วในประวัติศาสตร์มีคนที่ถูกมองว่าเป็นเพียงคนธรรมดามาตลอดทั้งชีวิต ก่อนจะมีคนเห็นคุณค่าทีหลัง แล้วยกย่องให้เป็นบุคคลสำคัญ

ตัวอย่างแรกผู้เขียนพูดถึงพระเยซู บุคคลสำคัญระดับประวัติศาสตร์ที่มีอิทธิพลต่อโลกตะวันตกอย่างมาก และแผ่อิทธิพลไปยังบริเวณอื่น ๆ สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน แต่บุคคลสำคัญระดับนี้กลับมีอาชีพเป็นช่างไม้ธรรมดา ๆ อาศัยอยู่ดินแดนที่ปัจจุบันคือทางตอนเหนือของอิสราเอล

เดิมทีพระเยซูเป็นชาวยิว หลังจากรับบัพติศมา ท่านก็เผยแผ่คำสอนใหม่ให้ผู้คนในละแวกบ้าน จนเริ่มมีลูกศิษย์เป็นของตัวเอง และค่อย ๆ ขยายขอบเขตไปยังเยรูซาเล็มซึ่งเป็นศูนย์กลางทางศาสนา การเมือง และเศรษฐกิจของชาวยิว

คำสอนของพระเยซูถูกมองว่าท้าทายศาสนายิวดั้งเดิม เรื่องราวลุกลามใหญ่โตจนกลายเป็นประเด็นทางการเมือง พระเยซูถูกลูกศิษย์คนหนึ่งชื่อว่ายูดาสหักหลัง จนนำไปสู่การถูกประหารชีวิตเมื่ออายุได้เพียง 30 ต้น ๆ ระยะเวลาที่ท่านเลิกเป็นช่างไม้แล้วหันมาเผยแผ่คำสอน จนกระทั่งถูกประหารรวมแล้วอยู่ที่แค่ 3 ปีเท่านั้นเองครับ

เรารู้กันว่าพระเยซูถูกประหารชีวิตโดยการตรึงไม้กางเขน แต่นี่ไม่ใช่เรื่องพิเศษอะไร มันเป็นวิธีประหารนักโทษทั่วไปที่ทำกันในยุคนั้น และตอนที่พระเยูถูกตรึงไม้กางเขนก็ยังมีนักโทษคนอื่นอีก 2 คนถูกตรึงไม้กางเขนพร้อมกัน ถ้าให้นักวิชาการสรุปชีวิตของพระเยซูสั้น ๆ คงออกมาประมาณว่า

อดีตช่างไม้ผู้ถูกลูกศิษย์ทรยศ จนกลายเป็นนักโทษการเมืองที่ถูกประหารชีวิต

โลกนี้มีช่างไม้และนักโทษทางการเมืองนับไม่ถ้วน คนที่ถูกทรยศก็มีไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ หากพูดกันตรง ๆ ชีวิตของพระเยซูดูแล้วไม่เหมือนบุคคลสำคัญสักเท่าไหร่ หลักฐานทางประวัติศาสตร์ในยุคโรมันที่พูดถึงพระเยซูก็มีอยู่น้อยมาก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพระเยซูไม่ได้มีชื่อเสียงหรือความสำคัญในสายตาของคนยุคนั้นเลย

แต่ทุกวันนี้เกือบทุกคนรู้จักพระเยซู ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นยังไง การตัดสินคุณค่าของมนุษย์โดยดูจากแค่ช่วงระยะเวลาสั้น ๆ จึงไม่ค่อยมีประโยชน์ครับ

อีกตัวอย่างหนึ่งผู้เขียนพูดถึงขงจื้อ นักคิดในสมัยจีนโบราณที่เกิดก่อนพระเยซูประมาณ 500 ปี ถือเป็นคนที่มีความสำคัญไม่แพ้พระเยซูเลย เพราะท่านคือผู้วางรากฐานให้กับลัทธิขงจื้อที่ส่งอิทธิพลต่อคนเอเชียนับพันล้านคน

แต่ชีวิตของขงจื้อไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจสักเท่าไหร่ ท่านรับราชการในแคว้นหลู่ซึ่งเป็นแคว้นเล็ก ๆ แถมหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายก็ไม่ได้ดูยิ่งใหญ่เลยซึ่งคือการดูแลปศุสัตว์ พอมีคนเห็นความสามารถจนผลักดันให้ได้นั่งตำแหน่งสำคัญก็ดันไปพัวพันกับการแย่งชิงอำนาจ จนหลุดจากตำแหน่ง และต้องใช้ชีวิตแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ ไปจนอายุเกือบ 70 ปี

ในช่วงบั้นปลายของชีวิต ขงจื้อกลับไปอยู่แคว้นหลู่และทุ่มเทเวลาให้กับการศึกษาวรรณคดีโบราณ ท่านมีลูกศิษย์มากมาย แต่ลูกศิษย์เอกที่หมายมั่นปั้นมือไว้กลับตายตั้งแต่ยังหนุ่ม แถมลูกชายของท่านก็ตายก่อนท่าน ชีวิตในช่วงบั้นปลายของขงจื้อจึงเต็มไปด้วยความหดหู่สิ้นหวัง

พระเยซูกับขงจื้อมีจุดร่วมที่เหมือนกันคือชีวิตไม่ได้ราบรื่นสมบูรณ์แบบ คัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาใหม่ของศาสนาคริสต์ และคัมภีร์หลุนอวี่ของลัทธิขงจื้อ ล้วนถูกเขียนขึ้นหลังจากที่ทั้ง 2 ท่านเสียชีวิตไปนานแล้ว และแน่นอนว่าคนที่เขียนไม่ใช่พระเยซูกับขงจื้อ

เราไม่ควรตัดสินชีวิตของตัวเองหรือผู้อื่นโดยดูจากช่วงระยะเวลาสั้น ๆ หากชีวิตตอนนี้ไปได้ไม่สวยก็ไม่จำเป็นต้องจิตตกมากครับ และในทางกลับกันหากชีวิตตอนนี้ไปได้ดีสุด ๆ ก็อย่างได้ชะล่าใจ อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน สิ่งที่เรายึดถือตอนนี้อาจถูกคนในอีก 50 ปีข้างหน้ามองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ หรือไม่แน่ว่าคนที่กำลังโดนดูถูกดูแคลนอยู่ในตอนนี้ อาจกลายเป็นคนที่ถูกยกย่องว่าเป็นคนที่มีคุณค่าในอนาคตก็เป็นได้


ผู้พันแซนเดอร์ส

ยุคนี้เราสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่บอกให้เราต้องประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย แต่คนที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อยนั้นมีอยู่แค่หยิบมือ คนที่ยังไม่สามารถทำแบบนั้นได้อาจรู้สึกเป็นทุกข์กับความน้อยเนื้อต่ำใจ แต่ความสำเร็จในชีวิตของคนเรามีหน้าตาที่แตกต่างกันไปครับ

หลายคนคงรู้จักผู้พันแซนเดอร์ส ผู้ก่อตั้ง KFC ร้านแฟรนไชส์ไก่ทอดที่มีสาขาอยู่ทั่วโลก ชื่อเต็มของเขาคือ ฮาร์แลนด์ เดวิด แซนเดอร์ พอได้ยินคำว่าผู้พันนำหน้าชื่อ หลายคนคงคิดว่าเขาต้องเคยเป็นทหารที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ก่อนออกมาก่อตั้งร้านไก่ทอดแน่ ๆ แต่จริง ๆ แล้วสมัยเป็นวัยรุ่นลุงแซนเดอร์สเคยสมัครทำงานที่กองทัพบก แต่ทำงานที่นั่นได้เพียง 2 เดือนก็ลาออกแล้วครับ

ลุงแซนเดอร์สได้ยศผู้พันมาเพราะรัฐเคนตักกีมอบยศพันเอกกิตติมาศักดิ์ให้ ในฐานะที่ทำชื่อเสียงให้กับรัฐ ลุงแซนเดอร์สเกิดปี 1890 เป็นลูกชายคนโต มีน้องสาวและน้องชายอย่างละหนึ่งคน พ่อของเขาเสียชีวิตตอนที่เขาอายุได้เพียง 6 ขวบ คุณแม่จึงต้องทำงานอย่างหนักเพียงคนเดียวเพื่อเลี้ยงลูกทั้ง 3 คน และลุงแซนเดอร์สทำหน้าที่ดูแลน้อง ๆ ช่วงที่แม่ไม่อยู่บ้าน

ทุกครั้งก่อนที่แม่จะออกไปทำงานกะกลางคืนที่โรงงาน เธอจะอบขนมปังไว้ให้ลูก ๆ ได้กิน แต่วันหนึ่งเธอลืมอบขนมปังไว้ ลุงแซนเดอร์ไม่มีอะไรให้น้อง ๆ ที่หิวได้กิน เขาเลยลองอบขนมปังเอง โดยอาศัยความจำจากการที่เคยเห็นแม่ทำอยู่บ่อย ๆ ตอนนั้นเขาอายุแค่ 7 ขวบเองครับ ปรากฏว่าขนมปังที่ลุงอบมันออกมาอร่อยสุด ๆ เลยอยากได้แม่ได้ชิม เขาจึงเอาขนมปังที่อบเองไปให้แม่ที่โรงงาน โดยหอบน้อง ๆ เดินเท้าไปด้วยกัน

พอแม่ได้กินก็ปลาบปลื้มในตัวลูกชายมาก เธอเอาขนมปังไปแบ่งให้เพื่อนร่วมงานได้ชิม ทุกคนต่างชมว่ามันเป็นขนมปังที่อร่อยมาก ลุงแซนเดอร์สภูมิใจมาก และจำฝังใจว่า “เราทำให้คนอื่นมีความสุขด้วยอาหารได้”

ลุงแซนเดอร์สทำงานในฟาร์มไปด้วยเรียนไปด้วยตั้งแต่อายุ 10 ขวบ เพราะอยากแบ่งเบาภาระแม่ พอเขาอายุได้ 12 ปี แม่ก็แต่งงานใหม่ ลุงแซนเดอร์สเข้ากับพ่อเลี้ยงไม่ได้ เรียนก็ไม่เก่ง เลยตัดสินใจออกจากบ้านไปหางานทำ

ด้วยอายุยังน้อย อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ลุงแซนเดอร์สผู้ที่ยังอายุได้สิบกว่า ๆ เปลี่ยนงานมาแล้วหลายงาน ตลอดทั้งชีวิตเขาเคยทำงานมาแล้วไม่ว่าจะเป็นทหาร คนทำความสะอาดขี้เถ้าหัวรถจักร คนคุมเตาหัวรถจักร พนักงานตรวจตั๋วรถไฟ ช่างทาสี ทนายความ พนักงานขายประกัน ธุรกิจเรือเฟอร์รี เลขานุการหอการค้า ผู้ผลิตและจำหน่ายตะเกียง พนักงานขายยางรถยนต์ และธุรกิจปั๊มน้ำมัน

ลุงแซนเดอร์สแต่งงานตอนอายุ 18 ปีและมีลูก เขาทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่เพื่อครอบครัว แต่ก็ไปได้ไม่สวย ช่วงปี 1920 ที่ตอนนั้นลุงอยู่ในวัย 30 เป็นช่วงที่คนหันมานิยมใช้รถยนต์ และการที่รถยนต์จะวิ่งได้ก็ต้องมีน้ำมัน ลุงจึงเป็นปั๊มน้ำมันในรัฐเคนตักกีที่อยู่ทางตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา แล้วชีวิตของลุงแซนเดอร์สก็เริ่มเข้ารูปเข้ารอยตอนที่แกอายุใกล้ 40

แต่ฟ้าก็เมตตาลุงแซนเดอร์สได้ไม่นานครับ ในปี 1929 ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริการ่วงหนัก จนส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกตกต่ำ กิจการปั๊มน้ำมันของลุงก็โดนผลกระทบไปด้วย ทำให้ลุงต้องหมดตัวอีกครั้ง แต่ลุงแซนเดอร์สของเราไม่เคยยอมแพ้อะไรง่าย ๆ ลุงไปหาผู้ลงทุนรายใหม่ และเปิดปั๊มน้ำมันอีกครั้งในทำเลใหม่ แต่ยังอยู่ในรัฐเคนตักกี

ปั๊มแห่งที่สองของลุงแตกต่างจากครั้งแรก ตรงที่ครั้งนี้ลุงเปิดคาเฟ่เล็ก ๆ พ่วงไปด้วย ลุงแซนเดอร์สพบว่าคนที่ขับรถมานาน ๆ ที่มาแวะเติมน้ำมันมักหิวท้องกิ่ว เพราะแต่ก่อนสหรัฐอเมริกาไม่ได้มีร้านอาหารเปิดเกลื่อนเหมือนทุกวันนี้ ลุงเลยเปิดคาเฟ่ในปั๊มที่ขายอาหารทำง่ายอย่างมันฝรั่งบด เมนูจากถั่ว และไก่ทอด

เมนูไก่ชุบแป้งทอดเป็นเมนูที่พบได้ทั่วไปทางตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา ลุงแซนเดอร์สขายไก่ทอดสูตรของแม่ที่จะเอาไก่ไปชุบแป้งที่ผสมเครื่องเทศหลายอย่าง ก่อนจะเอาไปทอดในน้ำมันนานถึง 30 นาที จนได้ไก่ทอดที่เนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำและหอมอร่อย

ปั๊มน้ำมันที่มีคาเฟ่ที่เสิร์ฟไก่ทอดโด่งดังไปทั่วรัฐเคนตักกี ลุงแซนเดอร์สจึงตัดสินใจปิดปั๊มแล้วหันมาทำร้านอาหารเต็มตัว และกลายเป็นคนดังของรัฐ จนในปี 1935 รัฐแคนตักกีมอบตำแหน่งพันเอกกิตติมาศักดิ์ให้ และกลายมาเป็นผู้พันแซนเดอร์ส ซึ่งตอนนั้นลุงอายุได้ 45 ปีครับ อายุ 45 ปีสำหรับสมัยนี้ยังไม่แก่ แต่ยุคนั้นผู้ชายชาวอเมริกันมีอายุขัยเฉลี่ยไม่เกิน 60 ปี สำหรับลุงแซนเดอร์ในตอนนั้นนับว่าอยู่มาได้เกินค่อนชีวิตแล้วครับ

ลุงแซนเดอร์สปรับปรุงวิธีทอดไก่โดยใช้หม้ออัดแรงดัน เพื่อเสิร์ฟไก่ให้ลูกค้าได้เร็วขึ้น แต่ตอนที่เขาอายุเกือบ 50 ปี ร้านอาหารของเขาก็ถูกไฟไหม้มอดทั้งหลัง ลุงแซนเดอร์สซึมไปทั้งคืน แต่พอเช้าวันใหม่เขาก็กลับมาตั้งหลัก ขับรถบรรทุกไปเก็บซากร้านที่โดนไหม้ และสร้างร้านใหม่ขึ้นมา ว่ากันว่าแฟนคลับของร้านก็มาช่วยกันสร้างร้านนี้ด้วย

เวลาผ่านไปจนลุงแซนเดอร์สอายุ 65 ปี ช่วงนั้นเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกากำลังเฟื่องฟู มีการตัดทางหลวงแห่งใหม่ใกล้กับร้านอาหารของลุง ทำให้รถขับผ่านหน้าร้านลุงน้อยลง จนรายได้ของร้านหายไปมากกว่าครึ่ง ร้านขาดทุนยับเยินจนลุงต้องตัดสินใจปิดร้านเพื่อไม่ให้หนี้สินพอกพูน

ลุงแซนเดอร์สเผชิญวิกฤติครั้งเลวร้ายในช่วงปั้นปลายของชีวิต เขานั่งคิดว่าคนแก่ ๆ อย่างเขามีอะไรพอจะเอาไปใช้หนี้ได้บ้าง แล้วเขาก็นึกออกว่าตัวเองมีสูตรไก่ทอดแสนอร่อยของแม่อยู่ จึงคิดจะเอาสูตรลับนี้ไปขายเป็นแฟรนไชส์ คนแรกที่ลุงไปขายให้คือพีท ฮาร์แมน เพื่อนในแวดวงธุรกิจร้านอาหาร พีทยอมทำสัญญา โดยจะจ่ายเงินให้ลุงแซนเดอร์ส 4 เซนต์ทุกครั้งที่ขายไก่ทอดได้ 1 ชิ้น และพีทก็เป็นคนตั้งชื่อร้าน KFC ที่ย่อมาจาก Kentucky Fried Chicken ซึ่งแปลว่าไก่ทอดเคนตักกี

ลุงแซนเดอร์สตระเวนไปขายสูตรไก่ทอดโดยสวมชุดสูทสีขาวกับหูกระต่าย แบบที่เราเคยเห็นในร้าน KFC นั่นแหละครับ ปีแรกลุงหาร้านที่มาทำสัญญาด้วยได้แค่ 7 ร้าน แต่ไม่นานก็กลายเป็นหลายร้อยสาขา จนเมื่อลุงแซนเดอร์สอายุ 74 ปี ทั่วทั้งสหรัฐอเมริกาก็มีร้าน KFC ถึง 600 สาขา

ถึงจะแก่แล้วแต่ลุงแซนเดอร์สก็ตระเวนเดินทางไปร้าน KFC สาขาต่าง ๆ ทั่วโลกในฐานะพรีเซนเตอร์ และตรวจสอบว่าร้านนั้นทำไก่ทอดออกมาตรงตามสูตรของเขาหรือไม่ ลุงแซนเดอร์เสียชีวิตในปี 1980 เมื่ออายุได้ 90 ปี ตอนนั้นร้าน KFC มีสาขาอยู่ทั่วโลกกว่า 6,000 สาขา และว่ากันว่าร่างของเขาที่อยู่ในโลงสวมชุดสูทสีขาวและผูกหูกระต่ายครับ

เรื่องของลุงแซนเดอร์สทำให้เราเห็นว่าปัจจัยภายนอกส่งผลกระทบต่อชีวิตของเขามาก สมัยวัยรุ่นเขาเคยทำธุรกิจผลิตและจำหน่ายตะเกียง แต่ต้องเจ๊งเพราะยุคนั้นคนหันมาใช้หลอดไฟแล้ว ทำปั๊มน้ำมันแห่งแรกต้องเจ๊งเพราะพิษเศรษฐกิจ ทำร้านอาหารต้องเจ๊งเพราะมีทางหลวงเส้นใหม่ แต่เขาก็ไม่ย่อท้อ ล้มแล้วลุกขึ้นสู้ใหม่เรื่อย ๆ


ผู้เขียนคิดว่าหากอายุยังแค่ 30-40 กว่า ๆ ก็อย่าเพิ่งตัดสินเลยว่าตัวเองสำเร็จหรือล้มเหลว ควรรอให้อายุสัก 80 ก่อน เพราะเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตบ้าง ไม่ใช่แค่ลุงแซนเดอร์สที่ประสบความสำเร็จตอนแก่ บุคคลสำคัญหลายคนในประวัติศาสตร์ก็ประสบความสำเร็จตอนที่อายุมากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นมหาตมา คานธี, เฮนรี ฟอร์ด หรือเนลสัน แมนเดลา

หนึ่งในเหตุผลคือ ยิ่งอายุมาก มนุษย์ก็ยิ่งมีศักยภาพและความเป็นไปได้มากขึ้น ตรงข้ามกับความเชื่อที่ว่ายิ่งอายุมากยิ่งถดถอย ดังนั้นถ้ายังอายุไม่มากก็อย่างเพิ่งท้อหรือย่ามใจไปครับ ชีวิตของเรายังอยู่ในขั้นตอนของการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ จุดสูงสุดของชีวิตยังอยู่อีกยาวไกลครับ

เพื่อน ๆ คนไหนที่กำลังท้อแท้หมดกำลังใจ ลองหาหนังสือเล่มนี้มาอ่านดูครับ คิดมากไปทำไม ขนาดพระพุทธเจ้ายังเคยทำพลาดเลย เขียนโดยฟุกาอิ ริวโนะซุเกะ ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์วีเลิร์น ราคา 230 บาท เชื่อว่าถ้าเพื่อน ๆ ได้อ่านแล้วต้องกลับมาเชื่อมั่นในตัวเองได้อีกครั้งแน่นอนครับ

สนใจหนังสือ คิดมากไปทำไม ขนาดพระพุทธเจ้ายังเคยทำพลาดเลย
สามารถสั่งซื้อได้ที่ Shopee: https://s.shopee.co.th/7AUUSZ1MV1
ซื้อผ่านลิงค์เป็นการสนับสนุนช่องครับ

Share

Leave a comment

Leave a Reply

What's New

ดำดิ่งสู่โลกกลับทิศ จิตวิทยาที่ซ่อนอยู่ในซีรีส์ “สเตรนเจอร์ ทิงส์”

หากพูดถึงซีรีส์ที่คนทั้งโลกรอคอย ซีรีส์ที่ปั้นเด็กไม่มีชื่อเสียงให้มายืนแถวหน้าของวงการบันเทิงได้ ซีรีส์ที่เป็นแม่เหล็กสำคัญในการดึงดูดให้คนมาสมัครบริการ Netflix จะเป็นซีรีส์เรื่องไหนไม่ได้นอกจากเรื่องสเตรนเจอร์ ทิงส์ ที่ตอนนี้มีมาถึงซีซัน 5 ซึ่งเป็นซีซันสุดท้ายแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ผลงานท้ายสุดของจักรวาลในซีรีส์นี้ เพราะในปี 2026 จะมีอนิเมชันที่เรื่องราวอยู่ในช่วงระหว่างซีซัน 2 และ 3 ของซีรีส์ต้นฉบับออกฉายตามมาครับ สาเหตุที่ซีรีส์เรื่องนี้ถูกใจคนทั้งโลก และขยายจักรวาลมาได้ยิ่งใหญ่อย่างทุกวันนี้ นอกจากเนื้อเรื่องที่ลึกลับน่าติดตามแล้ว อีกเหตุผลคือแต่ละตัวละครในเรื่องดูมีมิติสมจริง มีปูมหลัง และมีแรงผลักดันในชีวิตที่แตกต่างกันไป...

นาทีชีวิตฉุกเฉิน วิชาปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่ควรมีติดตัว เพื่อรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉินในวินาทีชีวิต

ทุกนาทีในชีวิตสามารถเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินที่ถึงขั้นอันตรายต่อชีวิต เหตุการณ์ฉุกเฉินไม่เลือกสถานที่เกิด ไม่ว่าจะเป็นบนถนน ในห้างฯ หรือแม้กระทั่งบ้านของพวกเราเอง การมีความรู้เบื้องต้นในการรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉิน ช่วยให้เราลดความเสี่ยงที่เหตุการณ์นั้นจะอันตรายถึงชีวิตได้ครับ ไอติมเล่า ep นี้มาแนะนำเนื้อหาจากหนังสือ อยู่ให้ได้ ตายให้ดี: เรียนรู้นาทีชีวิตจากห้องฉุกเฉิน เขียนโดยคุณหมอสองท่านครับคือ หมอเจี๊ยบ พญ. ลลนา ก้องธรนินทร์ และหมอยุ้ย พญ. พรรณอร เฉลิมดำริชัย ในเล่มนี้เล่าว่าหมอฉุกเฉินต้องเจอกับอะไรบ้าง...

บทเรียนจากคนเหล็ก 7 ข้อคิดการใช้ชีวิตให้ประสบความสำเร็จฉบับอาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์

การได้อ่านหรือได้ฟังเรื่องราวของคนที่ประสบความสำเร็จ ถือเป็นทางลัดอย่างหนึ่งในการเรียนรู้ชีวิต โดยที่เราไม่ต้องรอให้พบเจอด้วยตัวเอง ยิ่งคนนั้นเป็นคนที่ใช้ชีวิตมานาน มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ บทเรียนจากชีวิตของพวกเขาก็ยิ่งมีคุณค่า ไอติมอ่าน ep นี้มาแนะนำเนื้อหาจากหนังสือ Be Useful: Seven Tools for Life ชื่อภาษาไทยคือ จงทำตัวให้มีประโยชน์: 7 เครื่องมือสำหรับใช้ชีวิต เขียนโดยอาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์ (Arnold Schwarzenegger)...

คิดมากไปทำไม ขนาดพระพุทธเจ้ายังเคยทำพลาดเลย แค่รู้ประวัติศาสตร์ ก็หายขาดจากความกลุ้มใจได้แล้ว

เพื่อน ๆ กำลังทุกข์ใจและเหนื่อยที่ต้องแบกรับความกดดันเอาไว้มากเกินไปอยู่หรือเปล่าครับ กำลังรู้สึกแย่ที่ชีวิตไม่ประสบความสำเร็จเหมือนคนอื่นอยู่หรือเปล่า สังคมทุกวันนี้มีสารพัดเรื่องให้กลุ้มใจ แล้วเพื่อน ๆ เคยคิดบ้างไหมครับว่าปัญหาที่กำลังเจออยู่นี้ เคยมีคนอื่นเจอมาก่อนเราหรือเปล่า แม้ประวัติศาสตร์จะเต็มไปด้วยเรื่องราวของบุคคลที่ประสบความสำเร็จ แต่เบื้องหลักชีวิตของพวกเขาเหล่านั้นล้วนผ่านเรื่องราวมากมาย พวกเขาเป็นคนธรรมดาเหมือนกับพวกเรานี่แหละครับ การศึกษาประวัติศาสตร์ทำให้เรารู้ว่าทุกคนล้วนเคยผิดพลาดกันมาบ้าง และการจะได้มาซึ่งความสำเร็จบางครั้งต้องอาศัยเวลาที่เหมาะสม ไอติมฮีลใจ ep นี้มาแนะนำหนังสือคิดมากไปทำไม ขนาดพระพุทธเจ้ายังเคยทำพลาดเลย เขียนโดยฟุกาอิ ริวโนะซุเกะ หนังสือเล่มนี้เล่าเรื่องราวชีวิตของบุคคลที่เป็นที่รู้จักระดับโลกว่ากว่าที่พวกเขาจะประสบความสำเร็จต้องล้มลุกคลุกคลานมายังไงบ้าง ในเล่มพูดถึงหลายคนเลยครับ แต่ผมขอเลือกเรื่องของคนที่ผมสนใจมาเล่าให้เพื่อน...

วัฒนธรรมคำจีน จากกงสีถึงอั่งเปา คำยืมที่เล่าประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ไทย-จีน

ปี พ.ศ. 2568 เป็นวาระครบรอบ 50 ปีของความสัมพันธ์ไทย-จีนอย่างเป็นทางการ แต่ในความเป็นจริงคนไทยและคนจีนมีความเชื่อมโยงกันมากว่า 2,000 ปีแล้ว โดยมีหลักฐานโบราณบ่งบอกว่าดินแดนแถบบ้านเรามีการค้าขายกับแผ่นดินจีนมาตั้งแต่ราชวงศ์ฮั่น การค้าขายกับจีนสร้างความมั่งคั่งให้กับกรุงศรีอยุธยาและเมืองท่าต่าง ๆ รอบอ่าวไทยมาตลอดเวลายาวนานหลายร้อยปี ชาวจีนเข้ามาตั้งหลักปักฐานอยู่ในสยาม สร้างศาลเจ้า สร้างบ้าน สร้างร้านค้า และนำวัฒนธรรมแบบจีนติดตัวมาด้วย บางคำศัพท์ที่เราได้ยินหรือใช้ในชีวิตประจำวัน หลายคำก็เป็นคำที่ยืมมาจากภาษาจีน ไอติมเล่า ep นี้มาเล่าความหมายและที่มาของคำจีนคุ้นหู...

จิตวิทยาต่อรอง จะต้องพูดและทำอะไรในการต่อรองที่แพ้ไม่ได้

ในชีวิตประจำวันเราต้องพบเจอกับเรื่องมากมายที่ต้องอาศัยการเจรจาต่อรอง ไม่ว่าจะเป็นการต่อรองขอลดราคาสินค้า ต่อรองกับลูกค้า หรือต่อรองเพื่อขอขึ้นเงินเดือน เทคนิคการต่อรองมีสอนกันมานานแล้ว แต่เทคนิคเหล่านั้นเน้นไปที่การท่องจำประโยคสำเร็จรูป ทั้งที่จริง ๆ แล้วการเจรจาต่อรองเป็นเรื่องที่คาดการณ์ไม่ได้ เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับอารมณ์มากกว่าเหตุผลครับ ดังนั้นการต่อรองต้องมุ่งเน้นไปที่การจัดการกับอารมณ์ของอีกฝ่าย แทนที่จะยกเหตุผลต่าง ๆ นานามาคุยกันเหมือนหุ่นยนต์ที่ไร้ความรู้สึก ไอติมอ่าน ep นี้มาสรุปเนื้อหาจากหนังสือ Never Split the Difference จิตวิทยาต่อรอง เขียนโดยคริส...

Related Articles

วัฒนธรรมคำจีน จากกงสีถึงอั่งเปา คำยืมที่เล่าประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ไทย-จีน

ปี พ.ศ. 2568 เป็นวาระครบรอบ 50 ปีของความสัมพันธ์ไทย-จีนอย่างเป็นทางการ แต่ในความเป็นจริงคนไทยและคนจีนมีความเชื่อมโยงกันมากว่า 2,000 ปีแล้ว โดยมีหลักฐานโบราณบ่งบอกว่าดินแดนแถบบ้านเรามีการค้าขายกับแผ่นดินจีนมาตั้งแต่ราชวงศ์ฮั่น การค้าขายกับจีนสร้างความมั่งคั่งให้กับกรุงศรีอยุธยาและเมืองท่าต่าง ๆ...

รอยตายไม่โกหก เรื่องจริงในวงการนิติวิทยาศาสตร์ที่นักสืบยุคเชอร์ล็อก โฮล์มส์ใช้ไล่ล่าคนร้าย จนถึงยุคพิสูจน์ดีเอ็นเอ

ในที่เกิดเหตุ ไม่ว่าอาชญากรจะระวังตัวมากแค่ไหน ก็มักจะทิ้งร่องรอยหรือหลักฐานบางอย่างไว้ ไม่ว่าจะเป็นรอยเท้า รอยนิ้วมือ เส้นผม คราบเลือด เมล็ดพืช หรือสภาพศพ เมื่อนำหลักฐานเหล่านั้นมาผนวกเข้ากับวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ก็ได้ให้กำเนิดหลักนิติวิทยาศาสตร์ที่ช่วยให้นักสืบสามารถปะติดปะต่อเรื่องราวย้อนกลับไปได้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในที่เกิดเหตุบ้าง นิติวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าและแม่นยำขึ้นทุกวัน...

โลกหมุนด้วยความหวัง เรื่องราวการต่อสู้ของคนที่ไม่ยอมแพ้และไม่เคยหมดหวัง

ในประวัติศาสตร์มีหลายเหตุการณ์ที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมาน และความโหดร้าย แต่ช่วงเวลามืดมนเหล่านี้ก็ยังมีแสงสว่างเล็ก ๆ ที่เรียกว่าความหวังส่องประกายอยู่ ความหวังเป็นแรงขับเคลื่อนให้มนุษย์ยังคงยืนหยัด และก้าวเดินต่อไปได้ ไอติมฮีลใจ ep นี้ จะมาแนะนำเนื้อหาจากหนังสือ...

ปรัชญาความสุขไม่มีวันหมด จากหมู่บ้านในแอฟริกา ข้อคิดที่ช่วยให้มองเห็นความสุขที่อยู่รอบตัวได้ง่ายขึ้น

ชีวิตของคนสมัยนี้สะดวกสบายมาก จนคนสมัยก่อนจินตนาการไม่ออก เราอยู่ในยุคที่เทคโนโลยีมาทำให้ชีวิตของเราง่ายขึ้น ติดต่อถึงกันได้แบบทันที การคมนาคมสะดวก อาหารการกินหลากหลาย การแพทย์ก้าวหน้า มีคอนเทนต์สนุก ๆ มากมายให้ดูตลอดเวลา และใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปลอดภัย แต่กลายเป็นว่ายุคนี้ความสุขของคนเรากลับลดลง...

สรุปเนื้อหาและแนะนำหนังสือที่น่าสนใจ ชวนเพื่อน ๆ มาพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้นในทุก ๆ วันไปด้วยกันครับ

Copyright 2025 Aitim and Co. All rights reserved

error: Content is protected !!