วังเวียงเป็นเมืองหนึ่งของประเทศลาวที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางไปพักผ่อน ที่วังเวียงมีธรรมชาติแบบดิบ ๆ ชาวบ้านที่นี่ยังใช้ชีวิตเนิบช้าแบบ slow life สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของวังเวียงก็เช่น ถ้ำจัง ถ้ำหินงอกหินย้อยที่ข้างในเย็นสบาย, บลูลากูน สระน้ำที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ น้ำที่นี่ใสมาก, ผาหนามไซ ภูเขาสูงชันแสนทรหด ที่วิวข้างบนสวยคุ้มเหนื่อยกับการปีนมาถึง และแม่น้ำซอง แม่น้ำสายหลักของวังเวียงที่มีกิจกรรมพายเรือคายัคและล่องห่วงยาง แช่ตัวในน้ำเย็น ๆ ปล่อยให้ตัวเองลอยไปกับกระแสน้ำเป็นอะไรที่ฮีลใจมากครับ ไอติมเที่ยว ep นี้จะพาเพื่อน ๆ ไปชาร์จพลังจากธรรมชาติกันที่วังเวียงครับ
ทริปนี้ผมมาวังเวียงโดยนั่งรถไฟลาว-จีนมาจากสถานีเวียงจันทน์ครับ ราคาเที่ยวเดียวอยู่ที่ 540 บาท โดยจองผ่านเอเจนซี่ในไทย รถไฟลาว-จีนความเร็วไม่สูง เร็วประมาณรถไฟฟ้า BTS บ้านเราเลยครับ ใช้เวลานั่งไม่ถึง 1 ชม. ก็มาถึงสถานีวังเวียง จากนั้นผมกับเพื่อน ๆ เหมารถเมล์นั่งไปที่โรงแรม
ถึงโรงแรมและเก็บของกันแล้ว พวกเราก็จะเริ่มเที่ยวกันเลย สถานที่แรกในวังเวียงที่เราจะไปกันคือ บลูลากูน โดยให้ทางโรงแรมติดต่อเหมารถกระป๊อให้พาไปส่ง ทางไปบลูลากูนค่อนข้างไกลและลำบาก ถนนเป็นดินแดง เต็มไปด้วยฝุ่นและหลุมบ่อ ที่วังเวียงมีบลูลากูนเกิดใหม่ขึ้นเรื่อย ๆ ปัจจุบันน่าจะมี 5 แห่งแล้ว แต่ละแห่งก็มีจุดขายแตกต่างกัน ส่วนบลูลากูนที่พวกเราจะไปเป็นบลูลากูนแห่งแรก มีเก็บค่าเข้าด้วยครับ ราคา 20,000 กีบ หรือประมาณ 34 บาท
เข้ามาข้างในเจอนักท่องเที่ยวเยอะมากครับ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีใต้ แม้คนค่อนข้างแออัด แต่รู้สึกคุ้มค่าที่ได้มา น้ำที่นี่ใสและเย็นมาก มีปลาอยู่กันเป็นฝูงเลย ที่นี่มีกิจกรรมไฮไลท์คือการกระโดดน้ำจากความสูง 5 เมตร จากด้านล่างมองขึ้นไปดูไม่สูงนะครับ แต่พอขึ้นไปข้างบนรู้สึกหวาดเสียวมาก ให้เพื่อน ๆ ทายครับว่าผมได้โดดลงมาไหม ไม่ได้โดดครับ ผมกลัว
เล่นน้ำกันตั้งแต่บ่ายถึงเย็น พอหนำใจแล้วพวกเราก็เดินทางกลับ และได้ทำการตกลงจ้างคุณลุงเจ้าของรถให้พาเราเที่ยวในวันพรุ่งนี้อีกวัน มื้อเย็นวันนี้ผมมาเดินหาอะไรกินที่ถนนคนเดิน อยู่แถวโรงแรมที่ผมพักเลยครับ บรรยากาศเหมือนกับตลาดนัดต่างจังหวัดบ้านเราเลยครับ ที่นี่มีทั้งอาหารมื้อหลัก, ของกินเล่น, เสื้อผ้าและของที่ระลึก ใครมาเที่ยววังเวียงอย่าลืมแวะมาซื้อของฝากกลับบ้านที่ถนนคนเดินนี้นะครับ
เช้านี้เราจะไปเที่ยวถ้ำจังกันครับ โดยคุณลุงคนเมื่อวานเป็นคนพาเที่ยว ถ้ำจังตั้งอยู่ในรีสอร์ทที่เก็บค่าเข้าประตูคนละ 5,000 กีบ หรือประมาณ 9 บาท คุณลุงจอดรถให้พวกเราลงตรงจุดนี้ เพื่อเดินเท้าข้ามสะพานส้มไปยังถ้ำจัง โชคไม่ดีที่วันที่ผมไปสะพานส้มขาดเพราะโดนน้ำป่าพัดถล่ม เลยมีสะพานไม้ที่ทำขึ้นมาแก้ขัดไปก่อน
พอข้ามฝั่งมาจะเจอกับเพิงขายของกินแบบท้องถิ่น เป็นของป่าที่ชาวบ้านหามาได้จากแถวนี้ และก่อนถึงถ้ำจังยังมีลำธารเล็ก ๆ ให้แวะถ่ายรูป เสร็จแล้วเดินมาจะเจอกับจุดเก็บเงินค่าเข้าอีกหนึ่งรอบ โดยเสียค่าเข้าถ้ำจังคนละ 10,000 กีบ หรือประมาณ 17 บาท ถ้ำจังอยู่บนภูเขาหินปูนที่ต้องเดินขึ้นบันได 147 ขั้น ซึ่งเป็นทางชัน ภายในถ้ำมีหินงอกหินย้อย และมีอากาศเย็นสบาย ชื่อถ้ำจังมาจากคำว่า “จัง” ที่แปลว่าเย็นจนตัวแข็ง
หลายคนน่าจะเคยเห็นภาพนักท่องเที่ยวถ่ายรูปคู่กับมอเตอร์ไซค์ โดยมีวิวเป็นยอดภูเขาสูง จุดนี้เรียกว่าผาหนามไซครับ แลนด์มาร์คอีกที่ประจำวังเวียงที่เส้นทางเดินขึ้นมาสุดแสนจะทรหด ทางขึ้นเป็นภูเขาลาดชัน ไม่ได้ทำทางเดินอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว มีเพียงท่อนไม้ไผ่ผูกไว้กับต้นไม้สำหรับเอาไว้เป็นที่จับเท่านั้น
ทางขึ้นผาหนานไซอันตรายมาก ขาต้องค่อย ๆ ก้าว และมือต้องคว้าที่จับเอาไว้ให้แน่น บางจุดก็ลื่น บางจุดก็เป็นหินแหลมคม ใครอยากมาถ่ายรูปที่นี่ต้องมีร่างกายที่ฟิตพอสมควร ใส่รองเท้าผ้าใบหรือรองเท้าหุ้มส้น และพกน้ำดื่มมาด้วยคนละขวด ผมเกือบถอดใจไปหลายครั้ง แต่เพื่อน ๆ ให้กำลังใจและขึ้นมาถึงจุดชมวิวได้ในที่สุด ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง แบบเดิน ๆ หยุดๆ ครับ
ขึ้นภูเขาชมวิวไกลสุดลูกหูลูกตากันไปแล้ว คราวนี้มาปล่อยตัวชิล ๆ ลอยห่วงยางไปตามแม่น้ำซองกันครับ กิจกรรมนี้ผมยกให้เป็นไฮไลท์ของทริปนี้เลย โดยแม่น้ำซองเป็นแม่น้ำสายหลักของวังเวียง เป็นหัวใจที่หล่อเลี้ยงธรรมชาติของที่นี่ ริมสองข้างทางของแม่น้ำซองถูกขนาบข้างด้วยภูเขาหินปูนสูงใหญ่ เกิดเป็นทิวทัศน์ที่สวยงามมาก จนที่นี่ได้รับฉายาว่า “กุ้ยหลินแห่งเมืองลาว
ราคาล่องห่วงยางอยู่ที่คนละ 128,000 กีบ หรือประมาณ 220 บาท ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง สำหรับผมถือเป็น 1 ชั่วโมงครึ่งที่คุ้มค่ากับเวลาและคุ้มเงินมากครับ สำหรับธรรมชาติบำบัดแบบนี้ นอกจากนี้ที่แม่น้ำซองยังมีบริการเรือหางยาวให้นั่ง และมีเรือคายัคให้เช่าไปพายอีกด้วยครับ
การเดินทางมาวังเวียงทำได้เพียงนั่งรถมาเท่านั้นครับ ที่นี่ไม่มีสายการบินมาลง ผมจะยกตัวอย่างวิธีการเดินทางมาวังเวียงของผมให้เพื่อน ๆ ดูเป็นตัวอย่างนะครับ เริ่มต้นตั้งแต่นั่งเครื่องบินจากกรุงเทพฯ มาลงที่สนามบินอุดรธานี จากนั้นเรียกรถแท็กซี่ให้ไปส่งที่คิวรถตู้หน้าเซ็นทรัลอุดร เพื่อนั่งรถตู้ไปยังด่านพรมแดนหนองคาย ใครไม่สะดวกนั่งเครื่องบินสามารถนั่งรถทัวร์หรือรถไฟมายังด่านพรมแดนหนองคายได้เลย อาจใช้เวลานานข้ามคืน แต่ไม่ต้องเปลี่ยนรถหลายต่อครับ
เมื่อมาถึงด่านพรมแดนหนองคายให้นำพาสปอร์ตมาลงตราประทับตราขาออกนอกประเทศ จากนั้นขึ้นรถเมล์ข้ามสะพานมิตรภาพไทยลาว ราคาเที่ยวละ 30-35 บาท ตามแต่บริษัทเดินรถ นั่งรถเมล์แค่แป๊บเดียวก็มาถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองประเทศลาวแล้ว ให้นำพาสปอร์ตมาให้เจ้าหน้าที่ลาวปั๊มตราตรวจคนเข้าเมือง ตรงจุดนี้มีการเรียกเก็บเงินค่าปั๊มด้วย 20 บาท แปลกใจเหมือนกันครับ เพราะผมไม่เคยเห็นประเทศไหนที่ ตม. เรียกเก็บเงินโดยตรงจากนักท่องเที่ยวเลย
ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองมาได้ก็จะมีให้แลกเงินกีบและซื้อซิมอินเตอร์เน็ต เสร็จเรียบร้อยแล้วให้หารถเข้าตัวเมืองเวียงจันทน์ ผมแวะเที่ยวและนอนที่เวียงจันทน์ 1 คืน จากตัวเมืองเวียงจันทน์สามารถนั่งรถตู้ไปวังเวียงได้ ใช้เวลา 3-4 ชม. หรือใครอยากลองนั่งรถไฟลาว-จีนแบบผมก็สามารถทำได้ ใช้เวลาเดินทางไม่ถึง 1 ชม. ก็มาถึงสถานีรถไฟวังเวียง
จากสถานีรถไฟเข้าตัวเมืองวังเวียงได้โดยรถตู้หรือรถเมล์ หลังจากเรานั่งรถหลายต่อมาก ในที่สุดก็มาถึงวังเวียงสักทีครับ การเดินทางกลับไทยก็ใช้วิธีการเดียวกัน โดยย้อนกลับเส้นทางเดิม ทริปนี้ถือเป็นทริปเดินทางที่ทรหดที่สุดในชีวิตของผมแล้ว อาจจะเหนื่อยไปบ้าง แต่ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีครับ
Leave a comment