ชีวิตของคนสมัยนี้สะดวกสบายมาก จนคนสมัยก่อนจินตนาการไม่ออก เราอยู่ในยุคที่เทคโนโลยีมาทำให้ชีวิตของเราง่ายขึ้น ติดต่อถึงกันได้แบบทันที การคมนาคมสะดวก อาหารการกินหลากหลาย การแพทย์ก้าวหน้า มีคอนเทนต์สนุก ๆ มากมายให้ดูตลอดเวลา และใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปลอดภัย แต่กลายเป็นว่ายุคนี้ความสุขของคนเรากลับลดลง อัตราการฆ่าตัวตายของหลายประเทศพุ่งสูง แล้วพวกเราจะทำยังไงกันดี มีปรัชญาอะไรที่ช่วยแนะนำให้เรามองหาความสุขเล็ก ๆ ในชีวิตได้บ้าง
ไอติมฮีลใจ ep นี้ มาแนะนำเนื้อหาจากหนังสือ ปรัชญาความสุขไม่มีวันหมด จากหมู่บ้านแอฟริกา เล่มนี้มีคนเขียนถึง 2 คนด้วยกันครับคือ โชเก็น และฮิซุย โคทาโร่ ผมเลือกหยิบพาร์ของคุณโชเก็นมาเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังกันครับ
ก่อนอื่นผมแนะนำให้เพื่อน ๆ รู้จักคุณโชเก็นคร่าว ๆ กันก่อน คุณโชเก็นเป็นคนเกียวโต อายุจะ 40 แล้วครับ เขาออกตัวว่าเป็นคนเงียบ ๆ ไม่ชอบสุงสิงกันคนอื่น เป็นคนสไตล์ introvert พ่อของคุณโชเก็นเป็นคุณครูโรงเรียนประถม เป็นคนที่เข้มงวด คุณโชเก็นเรียนจบก็มาเป็นพนักงานบริษัท ใช้ชีวิตแบบไม่หวือหวาอะไร

ตอนที่คุณโชเก็นอายุได้ 28 ปี เขาไปเห็นภาพศิลปะของชาวแอฟริกาที่เรียกว่าทิงกาทิงกา เขาเกิดหลงไหล จนตัดสินใจไปลาออกจากงานบริษัทในวันรุ่งขึ้นทันที เพื่อเดินทางไปเรียนการวาดภาพสไตล์ทิงกาทิงกาที่แอฟริกา แน่นอนว่าคุณพ่อของเขาไม่เห็นด้วย เกิดการทะเลาะกันใหญ่โต แต่คุณโชเก็นก็ไม่ยอมเปลี่ยนใจ ดื้อไปแอฟริกาทั้งที่ขัดใจกับคุณพ่อแบบนั้น
ประเทศที่คุณโชเก็นเดินทางมาคือแทนซาเนียในทวีปแอฟริกา สถานที่แรกที่เขาไปเยี่ยมคือหมู่บ้านทิงกาทิงกา ซึ่งเป็นสถานที่รวมศิลปินผู้วาดภาพสไตล์ทิงกาทิงกา ศิลปะทิงกาทิงการิเริ่มขึ้นในปี 1960 โดยเอ็ดเวิร์ด ไซดี ทิงกาทิงกา ศิลปะสไตล์นี้จะใช้สีไม่เกิน 6 สี เทคนิคคือวาดแบบลงสีไปบนผ้าใบเลย โดยไม่ต้องร่างก่อน

คุณโชเก็นใช้เวลาหลายวันอยู่ที่หมู่บ้านทิงกาทิงกาเพื่อหาที่เรียนวาดภาพ วันหนึ่งมีชายชื่อว่าโนเอล แคมบิลีมาทักเขาว่าจะเรียนวาดรูปที่หมู่บ้านทิงกาทิงกาก็ได้ แต่ค่าเรียนที่นี่แพงเพราะเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ถ้าอยากประหยัดให้มาเรียนกับเขาที่หมู่บ้านชื่อว่าบุนจุ คุณโชเก็นรับข้อเสนอนั้น และใช้ชีวิตอยู่ที่หมู่บ้านบุนจุเป็นเวลา 1 ปีครึ่ง
หมู่บ้านบุนจุเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่มีคนอาศัยอยู่เพียง 200 คน บ้านแต่ละหลังมีหลังคาเป็นสังกะสี มีร้านชำของคุณลุงคุณป้าแค่ร้านเดียว ไฟฟ้าวันหนึ่งใช้ได้ 3-4 ชั่วโมงแบบติด ๆ ดับ ๆ น้ำใช้ต้องไปตักเอาจากแม่น้ำ ไม่มีแก๊ส ไม่มีแอร์ เรียกว่าต้องใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติให้ได้เท่านั้น ชาวบ้านที่นี่ส่วนใหญ่ทำอาชีพเกษตรกร และเลี้ยงไก่ ขายผักขายไข่เพื่อดำรงชีวิต
คุณโชเก็นมาอาศัยอยู่กับครอบครัวของคุณแคมบิลี ซึ่งประกอบไปด้วยมามาจาเนตตี ภรรยาของคุณแคมบิลี ลูกสาวคนโตชื่อจาเนตตี อายุ 11 ขวบ ลูกสาวคนรองชื่อเอนโจ อายุ 3 ขวบ และลูกชายคนสุดท้องชื่อเกรสัน อายุยังไม่ถึงขวบ

คนในหมู่บ้านบุนจุตื่นกันเช้า พอ 6 โมงเช้าก็จะตื่นมาทำความสะอาดบ้านกัน จาเนตตีและเอนโจจะใช้เวลาประมาณเกือบ ๆ ชั่วโมงเพื่อเดินไปตักน้ำมาใช้ หลังจากนั้นจะมากินมื้อเช้า และแยกย้ายกันไปโรงเรียนหรือไปทำงาน พอ 3 โมงครึ่งทุกคนก็จะกลับบ้านแล้วอาบน้ำ พอ 6 โมงเย็นก็จะมากินมื้อเย็นกันพร้อมหน้าทั้งครอบครัว และพอ 3 ทุ่ม ทุกคนจะมานอนเรียงกัน และเข้านอนอย่างพร้อมเพรียงกัน
เงื่อนไขความสุข 3 ข้อที่ถ่ายทอดกันในหมู่บ้านบุนจุ
คุณแคมบิลีพาคุณโชเก็นมาพบหัวหน้าหมู่บ้าน เพื่อขอเข้าเป็นสมาชิกอีกคนของหมู่บ้านนี้ ผู้ใหญ่บ้านเป็นชายอายุ 70 ปีที่ท่าทางเคร่งขรึม เขาพูดกับคุณโชเก็นด้วยสายตาอ่อนโยนว่า
มีความสุขที่ได้กินข้าวหรือเปล่า? มีคนตอบว่ายินดีต้อนรับเวลาพูดว่ากลับมาแล้วหรือเปล่า? มีหัวใจที่อบอุ่นเวลาถูกกอดหรือเปล่า? ถ้ามี 3 ข้อนี้ก็อยู่ที่หมู่บ้านนี้ได้
นี่คือ “เงื่อนไขความสุข 3 ข้อ” ที่ถ่ายทอดกันในหมู่บ้านบุนจุครับ เงื่อนไขเหล่านี้มีความหมายที่ล้ำลึกครับ สามารถตีความได้ว่า
ข้อ 1 “คุณรู้สึกขอบคุณอาหารหรือเปล่า?” นี่ไม่ใช่การกล่าวขอบคุณเพียงอย่างเดียว แต่เราต้องมีจิตใจที่รู้สึกขอบคุณ และลิ้มลองรสชาติด้วยความใส่ใจด้วย
ข้อ 2 คนที่คอยพูดว่า “ยินดีต้อนรับ” เวลาเรากลับถึงบ้าน ไม่จำเป็นต้องเป็นคนในครอบครัวครับ ที่หมู่บ้านนี้แต่ละครอบครัวต่างก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน โดยไม่ยึดติดว่าครอบครัวต้องมีสายเลือดเดียวกัน
การที่พูดว่า “กลับมาแล้ว” แล้วมีคนตอบกลับมาว่า “ยินดีต้อนรับ” หมายความว่าเพื่อน ๆ มีคนที่ทักทายอย่างสนิทสนมด้วยได้ การพูดว่า “กลับมาแล้ว” ยังหมายความว่าเพื่อน ๆ มีหัวใจที่ให้ความสำคัญกับคนอื่นด้วย
ส่วนข้อ 3 คือเพื่อน ๆ มีหัวใจที่เข้าใจถึงความอบอุ่นของผู้คนหรือเปล่า ที่หมู่บ้านบุนจุมีแนวคิดว่า หากเราไม่เข้าใจถึงความอบอุ่นของผิวกาย ในยามที่คนเราสัมผัสกัน เราก็ย่อมไม่เข้าใจถึงความอบอุ่นหรือความรู้สึกนึกคิดที่อยู่ในคำพูดของคนอื่นครับ

คำทักทายของคนในหมู่บ้านบุนจุ
ตอนเช้าทั้งผู้ใหญ่ และเด็กในหมู่บ้านบุนจุจะทักทายกันว่า “อรุณสวัสดิ์ ฉันจะใช้ชีวิตเพื่อตัวเอง แล้วเธอล่ะจะใช้ชีวิตเพื่อใคร ไว้เจอกันใหม่ตอนเย็นนะ” และพอตกกลางคืน พวกเขาก็จะทักทายกันว่า “วันนี้ได้ใช้ชีวิตเพื่อตัวเองหรือเปล่า?”
ช่วงแรกที่คุณโชเก็นเพิ่งย้ายมาอยู่ในหมู่บ้าน คนในหมู่บ้านที่ผ่านไปมาทักเขาว่า “โชเก็น มองท้องฟ้าอยู่หรือเปล่า?” ที่ทักแบบนี้เพราะคนที่นี่ให้ความสำคัญกับจิตใจที่ผ่อนปรน จนสามารถเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าได้ ช่วงแรกนั้นคุณโชเก็นดูท่าทางรีบร้อน และไม่สงบนิ่ง แถมเคยถูกทักว่า “กำลังโดนตามทวงหนี้อยู่เหรอ” อีกด้วยครับ
พอคุณโชเก็นผ่อนจังหวะชีวิตของตัวเอง มีความสบายใจจนสามารถเงยหน้ามองท้องฟ้าได้ คนที่หมู่บ้านถึงทักเขาว่า “โชเก็น วันนี้จะใช้ชีวิตอยู่เพื่อใคร”
เหตุผลที่ไม่ทำงานล่วงเวลา
คนในหมู่บ้านบุนจุภาคภูมิใจในงานของตัวเอง แต่พวกเขาจะไม่สละตัวเองเพื่องานนั้นโดยเด็ดขาด พวกเขาให้ความสำคัญกับคนที่อยู่ตรงหน้ามากกว่า อย่างวันหนึ่งระหว่างที่คุณแคมบิลีกำลังวาดภาพ จู่ ๆ เขาก็หยุดวาดเอาดื้อ ๆ คุณโชเก็นเลยถามไปว่า “คุณแคมบิลี วาดขายีราฟอีกข้างหนึ่งก็จะเสร็จแล้วแท้ ๆ ทำไมหยุดวาดแล้วล่ะ”
คุณแคมบิลีตอบมาว่า “ได้เวลาเลิกงานแล้วน่ะ”
จริงอยู่ที่คนในหมู่บ้านบุนจุเลิกงานกันตอนบ่าย 3 โมงครึ่ง แต่ถ้าวาดขายีราฟต่ออีกหน่อย งานชิ้นนั้นของคุณแคมบิลีก็จะเสร็จ แถมเขายังพูดเรื่องที่ทำให้คุณโชเก็นตกใจว่า “ถ้ามีใครมาเห็นว่าฉันต้องเจียดเวลาพักผ่อนมาทำงาน ฉันคงอับอายน่าดู”
คนในหมู่บ้านนี้ไม่มีแนวคิดเรื่องการทำงานล่วงเวลา และมองว่าการให้ความสำคัญกับงาน จนเบียดเบียนเวลาพักผ่อนเป็นเรื่องที่น่าอับอาย แม้คนในหมู่บ้านจะภูมิใจกับงาน แต่ก็รู้ว่าอะไรสำคัญกว่านั้น พวกเขาให้ความสำคัญกับตัวเอง กับคนที่อยู่ตรงหน้า และกับครอบครัวครับ

คนที่ทำผิดพลาด ดูมีความเป็นมนุษย์ น่าเอ็นดูจัง
สำหรับคนทั่วไปอาจมีแนวคิดว่าต้องพยายามไม่ทำผิดพลาด แต่ที่หมู่บ้านบุนจุกลับมองต่างออกไปครับ ที่นี่มีแนวคิดว่า ถ้าผู้ใหญ่ทำผิดพลาดก็ต้องบอกให้รู้ เด็กที่เห็นก็จะเข้าใจว่าอาจมีบางอย่างที่ทำไม่ได้ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าอาย เด็กจะเติบโตมาเป็นคนที่ไม่กลัวความผิดพลาดครับ
วันหนึ่งผู้ใหญ่บ้านมาที่บ้านของคุณแคมบิลี และถามคุณโชเก็นว่า “ปกติภาพทิงกาทิงกาจะใช้สีดำ ขาว แดง น้ำเงิน เหลือง และเขียว รวมเป็น 6 สี แล้วถ้าวันหนึ่งนายลืมใช้สีเหลืองขึ้นมา เวลาแบบนี้นายคิดว่าควรต้องทำยังไง”
คุณโชเก็นไม่ทันได้ตอบ ผู้ใหญ่บ้านก็บอกว่า
ในเวลาแบบนี้นายต้องบอกทุกคนตรง ๆ ว่าลืมใช้สีเหลือง ทำอย่างนี้แล้วเด็ก ๆ จะได้สบายใจว่าผู้ใหญ่เองก็ทำผิดพลาดได้เหมือนกัน แล้วนายคิดว่าผู้ใหญ่ที่มาเห็นว่านายลืมใช้สีเหลือง ผู้ใหญ่คนนั้นจะพูดกับนายว่ายังไง
คุณโชเก็นไม่ทันได้ตอบอีกเช่นกัน ผู้ใหญ่บ้านพูดต่อไปว่า
ผู้ใหญ่ที่หมู่บ้านนี้ก็จะพูดว่า ‘ดูมีความเป็นมนุษย์ น่าเอ็นดูจัง’ ตราบในที่เรายังมีชีวิตอยู่ สิ่งสำคัญที่สุดคือการมีความเป็นมนุษย์ ใช่ว่ายิ่งอายุมากขึ้นก็จะยิ่งสมบูรณ์แบบมากขึ้นเสียเมื่อไหร่ คนเรายิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งมีความเป็นมนุษย์มากขึ้นต่างหาก
นี่คือแนวคิดที่มีต่อความผิดพลาดของคนในหมู่บ้านบุนจุครับ
สิ่งสำคัญที่สุดคือการให้ความสำคัญกับตัวเองเป็นอันดับแรก
คนที่หมู่บ้านบุนจุมีแนวคิดว่า ในหัวใจคนเรามีแก้วแห่งความสุขอยู่ เราต้องเติมความสุขของตัวเองให้เต็มแก้วก่อน จากนั้นถ้ามันล้นออกมาก็ค่อยนำความสุขหรือความรักที่ล้นออกมาไปมอบให้คนอื่น
นอกจากนี้ผู้ใหญ่บ้านมักพูดกับคุณโชเก็นในทำนองเดียวกันหลายต่อหลายครั้งว่า “คนที่เราต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกก็คือตัวเราเอง โชเก็นมักจะเอาเรื่องของตัวเองไว้ทีหลังเสมอ ทำแบบนั้นแล้วจิตวิญญาณของโชเก็นรู้สึกมีความสุขเหรอ เราต้องไม่ทำเรื่องที่เสียมารยาทต่อจิตวิญญาณของตัวเองนะ”
ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะทุกคนรู้ว่า ตราบใดที่หัวใจของตัวเองยังไม่ได้รับการเติมเต็ม เราก็ไม่อาจช่วยเหลือคนอื่นอย่างจริงจังได้ ที่สำคัญคือเวลาที่หัวใจของเรายังไม่ได้รับการเติมเต็ม หากเราพยายามทำอะไรเพื่อคนอื่น ก็จะต้องเกิดปัญหาอะไรสักอย่างขึ้นแน่นอนครับ

ความสุขในยามที่ต้องตัดใจยอมแพ้
คุณโชเก็นอยากวาดภาพทิงกาทิงกาในแบบของตัวเองให้ได้เร็วขึ้น เขาจึงวาดภาพทุกวัน โดยตั้งเป้าหมายว่าใน 1 วัน ต้องวาดให้ได้ 12 ชั่วโมง ทุกวันเขาจะวาดภาพตั้งแต่เช้าจนถึงกลางคืนโดยไม่หยุดพัก แต่ที่นี่พอถึงเวลา 1 ทุ่ม ฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว
วันหนึ่งผู้ใหญ่บ้านมาเยี่ยมที่บ้านคุณแคมบิลี เมื่อเห็นว่าคุณโชเก็นยังวาดภาพอยู่ ทั้งที่ดวงอาทิตย์ตกดินไปแล้ว ผู้ใหญ่บ้านก็ชวนเขาออกไปนอกบ้าน และเอ่ยถามเขาด้วยความสงบนิ่งว่า
นายเข้าใจถึงความสุข ในยามที่เราต้องตัดใจยอมแพ้หรือเปล่า
คนในหมู่บ้านนี้ให้ความสำคัญกับช่วงเวลาตั้งแต่เลิกงานตอนบ่าย 3 โมงครึ่ง ไปจนถึงเข้านอนตอน 3 ทุ่ม ซึ่งเป็นช่วงเวลาของตัวเอง และครอบครัว เมื่อเห็นว่าคุณโชเก็นหมกมุ่นกับการวาดภาพ โดยไม่ใส่ใจกับช่วงเวลาดังกล่าว ผู้ใหญ่บ้านจึงพูดกับเขาว่า
เมื่อดวงอาทิตย์ตกดินแล้ว แม้จะยังมีแสงสลัวอยู่ แต่ฟ้าก็มืดมากอยู่ดี ฉะนั้นเราต้องตัดใจยอมแพ้โดยการเลิกทำทุกสิ่ง โชเก็นตีความคำว่ายอมแพ้ในแง่ลบอยู่หรือเปล่า แต่หมู่บ้านนี้ตีความในแง่บวกนะ เพราะเมื่อถึงเวลาที่เราต้องตัดใจยอมแพ้ หลังจากนั้นก็จะเป็นเวลาที่เราได้พักผ่อนอย่างแท้จริง
และผู้ใหญ่บ้านยังพูดต่ออีกว่า
โชเก็น การพยายามอย่างสุดชีวิต และการท้าทายตัวเองเป็นเรื่องที่ดีนะ การไม่อยากพ่ายแพ้ก็เป็นความรู้สึกที่สำคัญเหมือนกัน แต่ถ้ามันทำท่าว่าจะทำให้ใจพัง โชเก็นจะยังดึงดันไม่ยอมตัดใจยอมแพ้อยู่อีกเหรอ ผลงานที่ดีน่ะ ถ้าไม่มีความผ่อนปรนในจิตใจ ก็ทำออกมาไม่ได้หรอกนะ

ถ่ายทอดความรู้สึกอย่างชัดเจน
วันหนึ่งคุณโชเก็นกำลังหาลังกระดาษ เพื่อใช้สำหรับส่งภาพที่วาดสะสมไว้ไปญี่ปุ่น แต่ที่แอฟริกาขาดแคลนข้าวของเครื่องใช้ แม้แต่ลังกระดาษยังเป็นของหายาก คุณโชเก็นต้องนั่งรถประจำทางราว 1 ชั่วโมงครึ่ง เพื่อไปที่ร้านค้าเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง เมื่อบอกกับเจ้าของร้านว่าอยากได้ลังกระดาษ อีกฝ่ายก็บอกว่า “อีก 2 สัปดาห์ค่อยมารับนะ เดี๋ยวจะเก็บไว้ให้”
2 สัปดาห์หลังจากนั้น เขานั่งรถประจำทาง 1 ชั่วโมงครึ่งเพื่อไปยังร้านนั้นอีกครั้ง แต่เจ้าของร้านกลับบอกว่ายกลังกระดาษให้คนอื่นไปแล้ว คุณโชเก็นโกรธเพราะต้องนั่งรถนาน 1 ชั่วโมงครึ่ง ถึง 2 รอบ และรอมาแล้วตั้ง 2 สัปดาห์
เขากลับมาที่หมู่บ้านบุนจุ บังเอิญเจอกับผู้ใหญ่บ้าน และได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ผู้ใหญ่บ้านฟัง พอได้ฟังจนจบผู้ใหญ่บ้านก็บอกกับคุณโชเก็นว่า “ลังกระดาษไปอยู่กับคนที่มีความรู้สึกแรงกล้ากว่าโชเก็นแล้วล่ะ นายได้ถ่ายทอดความรู้สึกอยากได้ลังกระดาษนั้นอย่างชัดเจนหรือยัง เรื่องสำคัญจะพูดแบบรวบรัดไม่ได้นะ”
ผู้ใหญ่บ้านบอกให้คุณโชเก็นเดินทางไปที่ร้านนั้นอีกครั้ง เมื่อไปถึงเขาก็พูดกับเจ้าของร้านที่ตัวเองเพิ่งโมโหใส่ไปว่า
ขอโทษที่โมโหใส่อยู่ฝ่ายเดียวนะครับ ผมอยากจะถ่ายทอดความอบอุ่นที่สัมผัสได้ในหมู่บ้านบุนจุผ่านภาพวาด แล้วก็ตั้งใจว่าจะนำจิตใจที่มีความสุข และวิถีดั้งเดิมของคนญี่ปุ่นกลับคืนมาด้วยการวาดภาพที่แฝงไว้ด้วยความยินดีเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวันของคนที่นี่ เพราะอย่างนี้ผมเลยต้องการลังกระดาษจริง ๆ เพื่อจะได้ส่งภาพวาดกลับไปญี่ปุ่นครับ
เมื่อได้ฟังแบบนั้น เจ้าของร้านก็พูดขึ้นว่า “อย่างนั้นเองเหรอ เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงอยากได้ลังกระดาษ ไว้อีก 2 สัปดาห์ค่อยมารับอีกทีแล้วกัน”
หลังผ่านไป 2 สัปดาห์ คุณโชเก็นนั่งรถประจำทางมาที่ร้านนี้อีกครั้ง คราวนี้เจ้าของร้านเก็บลังกระดาษไว้ให้จริง ๆ ผู้ใหญ่บ้านได้สอนเขาว่า ถ้าเรามีความรู้สึกที่แน่วแน่ ก็ต้องเชื่อว่าจะสามารถถ่ายทอดความรู้สึกของตัวเองออกไปได้แน่นอน เราต้องร่ายเวทมนตร์ให้ตัวเองคิดอย่างนั้น
ปี 2015 คุณโชเก็นเดินทางกลับมายังประเทศญี่ปุ่น ได้งานแรกในฐานะจิตรกรเป็นงานเพนท์ผนังสวนสัตว์ความยาว 80 เมตร พอวาดเสร็จคุณโชเก็นรู้สึกประทับใจผลงานมาก เพราะมันเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตที่สดใสร่าเริง ชวนให้นึกถึงแอฟริกาอย่างมาก เขาประทับใจสีที่ใช้วาดท้องฟ้าที่ออกมาดูใสแจ๋ว พอก้มไปมองถังสีที่ใช้ถึงรู้ว่าเป็นสีของบริษัทนิปปอนเพนท์
ตอนนั้นคุณโชเก็นนึกถึงคำที่คุณแคมบิลีเคยพูดไว้ว่า “สิ่งสำคัญคือการถ่ายทอดความรู้สึกออกมา” คุณโชเก็นจึงเดินทางไปยังสำนักงานใหญ่ของบริษัทนิปปอนเพนท์ และได้เจอกับคนของบริษัท เขาได้พูดออกไปว่า
ผมมาเพื่อถ่ายทอดความรู้สึกขอบคุณน่ะครับ ผมคิดว่าบริษัทที่สามารถสร้างสีท้องฟ้าได้สดใสขนาดนี้จะต้องสร้างอนาคตที่สดใสได้แน่ ดังนั้นผมจึงอยากจะร่วมงานด้วยครับ
พอพูดแบบนั้นออกไปอย่างจริงใจแล้ว ปรากฏว่าภายหลังบริษัทนิปปอนเพนท์ตกลงทำสัญญาเป็นสปอนเซอร์ให้กับคุณโชเก็น เขาถือว่าเป็นคนแรกที่บริษัทสีอันดับ 1 ของเอเชียเป็นสปอนเซอร์ให้ หลังจากนั้นคุณโชเก็นก็ออกเดินสายบรรยายเรื่องศิลปะและความสุข นับจนถึงตอนที่เขากำลังเขียนหนังสือเล่มนี้ เขาบรรยายทั่วประเทศญี่ปุ่นไปแล้วกว่า 11,938 ครั้ง

หลายปีผ่านไปหลังจากคุณโชเก็นกลับมาญี่ปุ่น ในงานประชุมวิชาการที่จัดขึ้นปีละครั้ง โดยมีผู้อำนวยการโรงเรียนประถมมาเป็นผู้ร่วมงาน เขาได้รับเลือกให้ไปบรรยายในงาน พอเขามองไปยังที่นั่งของผู้ร่วมงานก็พบพ่อของตัวเองซึ่งเคยเป็นครูนั่งฟังบรรยายอยู่ด้วย ทั้งที่แต่ก่อนพ่อคัดค้านไม่ให้เขาไปแอฟริกา แต่ตอนนี้มานั่งฟังเขาเล่าถึงประสบการณ์ในแอฟริกา
คุณโชเก็นบอกว่าพอได้เห็นพ่อนั่งฟังเรื่องราวของเขาด้วยท่าทางดีใจ เขาก็คิดว่าบางทีพ่ออาจจะเชื่อในตัวเขามาตลอดก็ได้ แต่เพราะเมื่อก่อนเขาไม่ได้ส่งความรู้สึกของตัวเองไปให้ถึงพ่อ ถ้าตอนนั้นเขาถ่ายทอดความอยากไปเรียนศิลปะทิงกาทิงกาให้พ่อได้รู้สึก วันนั้นทั้งสองคนอาจไม่ทะเลาะกันใหญ่โตก็เป็นได้
ทุกวันนี้คุณโชเก็นนำปรัชญาความสุขจากหมู่บ้านบุนจุมาปรับใช้กับตัวเอง และถ่ายทอดให้คนอื่นได้รับรู้ แต่เขาบอกว่าถึงยังไงเขาก็ยังทำพลาดอยู่บ้าง มีส่วนที่ยังทำได้ไม่ดีพออยู่เยอะ แต่ถึงยังไงเขาก็เชื่อมั่นในตัวเอง และเชื่อมั่นในธรรมชาติข้างในตัวเองที่สักวันจะปรับให้เขาเข้าใจความสุขของการใช้ชีวิตครับ
หนังสือเล่มนี้อ่านง่ายครับ เหมือนอ่านไดอารี แต่ละบทสั้น ๆ ถ่ายทอดวิถีชีวิตเรียบง่ายเหมือนกำลังอ่านหนังสือแนว slice of life ข้างในเล่มมีผลงานสไตล์ทิงกาทิงกาฝีมือของคุณโชเก็นอยู่หลายภาพเลยครับ ใครสนใจสามารถหามาอ่านเพื่อฮีลใจได้กับหนังสือ ปรัชญาความสุขไม่มีวันหมด จากหมู่บ้านแอฟริกา ตีพิมพ์เป็นภาษาไทยโดยสำนักพิมพ์วีเลิร์น ราคา 235 บาทครับ
สนใจหนังสือ ปรัชญาความสุขไม่มีวันหมดจากหมู่บ้านแอฟริกา
สามารถสั่งซื้อได้ที่ Shopee: https://s.shopee.co.th/LaEAUnDoO
ซื้อผ่านลิงค์เป็นการสนับสนุนช่องครับ
Leave a comment