ปรัชญาความสุขไม่มีวันหมด จากหมู่บ้านในแอฟริกา ข้อคิดที่ช่วยให้มองเห็นความสุขที่อยู่รอบตัวได้ง่ายขึ้น

Share
Share

ชีวิตของคนสมัยนี้สะดวกสบายมาก จนคนสมัยก่อนจินตนาการไม่ออก เราอยู่ในยุคที่เทคโนโลยีมาทำให้ชีวิตของเราง่ายขึ้น ติดต่อถึงกันได้แบบทันที การคมนาคมสะดวก อาหารการกินหลากหลาย การแพทย์ก้าวหน้า มีคอนเทนต์สนุก ๆ มากมายให้ดูตลอดเวลา และใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปลอดภัย แต่กลายเป็นว่ายุคนี้ความสุขของคนเรากลับลดลง อัตราการฆ่าตัวตายของหลายประเทศพุ่งสูง แล้วพวกเราจะทำยังไงกันดี มีปรัชญาอะไรที่ช่วยแนะนำให้เรามองหาความสุขเล็ก ๆ ในชีวิตได้บ้าง

ไอติมฮีลใจ ep นี้ มาแนะนำเนื้อหาจากหนังสือ ปรัชญาความสุขไม่มีวันหมด จากหมู่บ้านแอฟริกา เล่มนี้มีคนเขียนถึง 2 คนด้วยกันครับคือ โชเก็น และฮิซุย โคทาโร่ ผมเลือกหยิบพาร์ของคุณโชเก็นมาเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังกันครับ

ก่อนอื่นผมแนะนำให้เพื่อน ๆ รู้จักคุณโชเก็นคร่าว ๆ กันก่อน คุณโชเก็นเป็นคนเกียวโต อายุจะ 40 แล้วครับ เขาออกตัวว่าเป็นคนเงียบ ๆ ไม่ชอบสุงสิงกันคนอื่น เป็นคนสไตล์ introvert พ่อของคุณโชเก็นเป็นคุณครูโรงเรียนประถม เป็นคนที่เข้มงวด คุณโชเก็นเรียนจบก็มาเป็นพนักงานบริษัท ใช้ชีวิตแบบไม่หวือหวาอะไร

facebook.com/shogen01

ตอนที่คุณโชเก็นอายุได้ 28 ปี เขาไปเห็นภาพศิลปะของชาวแอฟริกาที่เรียกว่าทิงกาทิงกา เขาเกิดหลงไหล จนตัดสินใจไปลาออกจากงานบริษัทในวันรุ่งขึ้นทันที เพื่อเดินทางไปเรียนการวาดภาพสไตล์ทิงกาทิงกาที่แอฟริกา แน่นอนว่าคุณพ่อของเขาไม่เห็นด้วย เกิดการทะเลาะกันใหญ่โต แต่คุณโชเก็นก็ไม่ยอมเปลี่ยนใจ ดื้อไปแอฟริกาทั้งที่ขัดใจกับคุณพ่อแบบนั้น

ประเทศที่คุณโชเก็นเดินทางมาคือแทนซาเนียในทวีปแอฟริกา สถานที่แรกที่เขาไปเยี่ยมคือหมู่บ้านทิงกาทิงกา ซึ่งเป็นสถานที่รวมศิลปินผู้วาดภาพสไตล์ทิงกาทิงกา ศิลปะทิงกาทิงการิเริ่มขึ้นในปี 1960 โดยเอ็ดเวิร์ด ไซดี ทิงกาทิงกา ศิลปะสไตล์นี้จะใช้สีไม่เกิน 6 สี เทคนิคคือวาดแบบลงสีไปบนผ้าใบเลย โดยไม่ต้องร่างก่อน

nzu-risana.com

คุณโชเก็นใช้เวลาหลายวันอยู่ที่หมู่บ้านทิงกาทิงกาเพื่อหาที่เรียนวาดภาพ วันหนึ่งมีชายชื่อว่าโนเอล แคมบิลีมาทักเขาว่าจะเรียนวาดรูปที่หมู่บ้านทิงกาทิงกาก็ได้ แต่ค่าเรียนที่นี่แพงเพราะเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ถ้าอยากประหยัดให้มาเรียนกับเขาที่หมู่บ้านชื่อว่าบุนจุ คุณโชเก็นรับข้อเสนอนั้น และใช้ชีวิตอยู่ที่หมู่บ้านบุนจุเป็นเวลา 1 ปีครึ่ง

หมู่บ้านบุนจุเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่มีคนอาศัยอยู่เพียง 200 คน บ้านแต่ละหลังมีหลังคาเป็นสังกะสี มีร้านชำของคุณลุงคุณป้าแค่ร้านเดียว ไฟฟ้าวันหนึ่งใช้ได้ 3-4 ชั่วโมงแบบติด ๆ ดับ ๆ น้ำใช้ต้องไปตักเอาจากแม่น้ำ ไม่มีแก๊ส ไม่มีแอร์ เรียกว่าต้องใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติให้ได้เท่านั้น ชาวบ้านที่นี่ส่วนใหญ่ทำอาชีพเกษตรกร และเลี้ยงไก่ ขายผักขายไข่เพื่อดำรงชีวิต

คุณโชเก็นมาอาศัยอยู่กับครอบครัวของคุณแคมบิลี ซึ่งประกอบไปด้วยมามาจาเนตตี ภรรยาของคุณแคมบิลี ลูกสาวคนโตชื่อจาเนตตี อายุ 11 ขวบ ลูกสาวคนรองชื่อเอนโจ อายุ 3 ขวบ และลูกชายคนสุดท้องชื่อเกรสัน อายุยังไม่ถึงขวบ

nzu-risana.com

คนในหมู่บ้านบุนจุตื่นกันเช้า พอ 6 โมงเช้าก็จะตื่นมาทำความสะอาดบ้านกัน จาเนตตีและเอนโจจะใช้เวลาประมาณเกือบ ๆ ชั่วโมงเพื่อเดินไปตักน้ำมาใช้ หลังจากนั้นจะมากินมื้อเช้า และแยกย้ายกันไปโรงเรียนหรือไปทำงาน พอ 3 โมงครึ่งทุกคนก็จะกลับบ้านแล้วอาบน้ำ พอ 6 โมงเย็นก็จะมากินมื้อเย็นกันพร้อมหน้าทั้งครอบครัว และพอ 3 ทุ่ม ทุกคนจะมานอนเรียงกัน และเข้านอนอย่างพร้อมเพรียงกัน


เงื่อนไขความสุข 3 ข้อที่ถ่ายทอดกันในหมู่บ้านบุนจุ

คุณแคมบิลีพาคุณโชเก็นมาพบหัวหน้าหมู่บ้าน เพื่อขอเข้าเป็นสมาชิกอีกคนของหมู่บ้านนี้ ผู้ใหญ่บ้านเป็นชายอายุ 70 ปีที่ท่าทางเคร่งขรึม เขาพูดกับคุณโชเก็นด้วยสายตาอ่อนโยนว่า

มีความสุขที่ได้กินข้าวหรือเปล่า? มีคนตอบว่ายินดีต้อนรับเวลาพูดว่ากลับมาแล้วหรือเปล่า? มีหัวใจที่อบอุ่นเวลาถูกกอดหรือเปล่า? ถ้ามี 3 ข้อนี้ก็อยู่ที่หมู่บ้านนี้ได้

นี่คือ “เงื่อนไขความสุข 3 ข้อ” ที่ถ่ายทอดกันในหมู่บ้านบุนจุครับ เงื่อนไขเหล่านี้มีความหมายที่ล้ำลึกครับ สามารถตีความได้ว่า

ข้อ 1 “คุณรู้สึกขอบคุณอาหารหรือเปล่า?” นี่ไม่ใช่การกล่าวขอบคุณเพียงอย่างเดียว แต่เราต้องมีจิตใจที่รู้สึกขอบคุณ และลิ้มลองรสชาติด้วยความใส่ใจด้วย

ข้อ 2 คนที่คอยพูดว่า “ยินดีต้อนรับ” เวลาเรากลับถึงบ้าน ไม่จำเป็นต้องเป็นคนในครอบครัวครับ ที่หมู่บ้านนี้แต่ละครอบครัวต่างก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน โดยไม่ยึดติดว่าครอบครัวต้องมีสายเลือดเดียวกัน

การที่พูดว่า “กลับมาแล้ว” แล้วมีคนตอบกลับมาว่า “ยินดีต้อนรับ” หมายความว่าเพื่อน ๆ มีคนที่ทักทายอย่างสนิทสนมด้วยได้ การพูดว่า “กลับมาแล้ว” ยังหมายความว่าเพื่อน ๆ มีหัวใจที่ให้ความสำคัญกับคนอื่นด้วย

ส่วนข้อ 3 คือเพื่อน ๆ มีหัวใจที่เข้าใจถึงความอบอุ่นของผู้คนหรือเปล่า ที่หมู่บ้านบุนจุมีแนวคิดว่า หากเราไม่เข้าใจถึงความอบอุ่นของผิวกาย ในยามที่คนเราสัมผัสกัน เราก็ย่อมไม่เข้าใจถึงความอบอุ่นหรือความรู้สึกนึกคิดที่อยู่ในคำพูดของคนอื่นครับ

facebook.com/shogen01

คำทักทายของคนในหมู่บ้านบุนจุ

ตอนเช้าทั้งผู้ใหญ่ และเด็กในหมู่บ้านบุนจุจะทักทายกันว่า “อรุณสวัสดิ์ ฉันจะใช้ชีวิตเพื่อตัวเอง แล้วเธอล่ะจะใช้ชีวิตเพื่อใคร ไว้เจอกันใหม่ตอนเย็นนะ” และพอตกกลางคืน พวกเขาก็จะทักทายกันว่า “วันนี้ได้ใช้ชีวิตเพื่อตัวเองหรือเปล่า?”

ช่วงแรกที่คุณโชเก็นเพิ่งย้ายมาอยู่ในหมู่บ้าน คนในหมู่บ้านที่ผ่านไปมาทักเขาว่า “โชเก็น มองท้องฟ้าอยู่หรือเปล่า?” ที่ทักแบบนี้เพราะคนที่นี่ให้ความสำคัญกับจิตใจที่ผ่อนปรน จนสามารถเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าได้ ช่วงแรกนั้นคุณโชเก็นดูท่าทางรีบร้อน และไม่สงบนิ่ง แถมเคยถูกทักว่า “กำลังโดนตามทวงหนี้อยู่เหรอ” อีกด้วยครับ

พอคุณโชเก็นผ่อนจังหวะชีวิตของตัวเอง มีความสบายใจจนสามารถเงยหน้ามองท้องฟ้าได้ คนที่หมู่บ้านถึงทักเขาว่า “โชเก็น วันนี้จะใช้ชีวิตอยู่เพื่อใคร”


เหตุผลที่ไม่ทำงานล่วงเวลา

คนในหมู่บ้านบุนจุภาคภูมิใจในงานของตัวเอง แต่พวกเขาจะไม่สละตัวเองเพื่องานนั้นโดยเด็ดขาด พวกเขาให้ความสำคัญกับคนที่อยู่ตรงหน้ามากกว่า อย่างวันหนึ่งระหว่างที่คุณแคมบิลีกำลังวาดภาพ จู่ ๆ เขาก็หยุดวาดเอาดื้อ ๆ คุณโชเก็นเลยถามไปว่า “คุณแคมบิลี วาดขายีราฟอีกข้างหนึ่งก็จะเสร็จแล้วแท้ ๆ ทำไมหยุดวาดแล้วล่ะ”

คุณแคมบิลีตอบมาว่า “ได้เวลาเลิกงานแล้วน่ะ”

จริงอยู่ที่คนในหมู่บ้านบุนจุเลิกงานกันตอนบ่าย 3 โมงครึ่ง แต่ถ้าวาดขายีราฟต่ออีกหน่อย งานชิ้นนั้นของคุณแคมบิลีก็จะเสร็จ แถมเขายังพูดเรื่องที่ทำให้คุณโชเก็นตกใจว่า “ถ้ามีใครมาเห็นว่าฉันต้องเจียดเวลาพักผ่อนมาทำงาน ฉันคงอับอายน่าดู”

คนในหมู่บ้านนี้ไม่มีแนวคิดเรื่องการทำงานล่วงเวลา และมองว่าการให้ความสำคัญกับงาน จนเบียดเบียนเวลาพักผ่อนเป็นเรื่องที่น่าอับอาย แม้คนในหมู่บ้านจะภูมิใจกับงาน แต่ก็รู้ว่าอะไรสำคัญกว่านั้น พวกเขาให้ความสำคัญกับตัวเอง กับคนที่อยู่ตรงหน้า และกับครอบครัวครับ

facebook.com/shogen01

คนที่ทำผิดพลาด ดูมีความเป็นมนุษย์ น่าเอ็นดูจัง

สำหรับคนทั่วไปอาจมีแนวคิดว่าต้องพยายามไม่ทำผิดพลาด แต่ที่หมู่บ้านบุนจุกลับมองต่างออกไปครับ ที่นี่มีแนวคิดว่า ถ้าผู้ใหญ่ทำผิดพลาดก็ต้องบอกให้รู้ เด็กที่เห็นก็จะเข้าใจว่าอาจมีบางอย่างที่ทำไม่ได้ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าอาย เด็กจะเติบโตมาเป็นคนที่ไม่กลัวความผิดพลาดครับ

วันหนึ่งผู้ใหญ่บ้านมาที่บ้านของคุณแคมบิลี และถามคุณโชเก็นว่า “ปกติภาพทิงกาทิงกาจะใช้สีดำ ขาว แดง น้ำเงิน เหลือง และเขียว รวมเป็น 6 สี แล้วถ้าวันหนึ่งนายลืมใช้สีเหลืองขึ้นมา เวลาแบบนี้นายคิดว่าควรต้องทำยังไง”

คุณโชเก็นไม่ทันได้ตอบ ผู้ใหญ่บ้านก็บอกว่า

ในเวลาแบบนี้นายต้องบอกทุกคนตรง ๆ ว่าลืมใช้สีเหลือง ทำอย่างนี้แล้วเด็ก ๆ จะได้สบายใจว่าผู้ใหญ่เองก็ทำผิดพลาดได้เหมือนกัน แล้วนายคิดว่าผู้ใหญ่ที่มาเห็นว่านายลืมใช้สีเหลือง ผู้ใหญ่คนนั้นจะพูดกับนายว่ายังไง

คุณโชเก็นไม่ทันได้ตอบอีกเช่นกัน ผู้ใหญ่บ้านพูดต่อไปว่า

ผู้ใหญ่ที่หมู่บ้านนี้ก็จะพูดว่า ‘ดูมีความเป็นมนุษย์ น่าเอ็นดูจัง’ ตราบในที่เรายังมีชีวิตอยู่ สิ่งสำคัญที่สุดคือการมีความเป็นมนุษย์ ใช่ว่ายิ่งอายุมากขึ้นก็จะยิ่งสมบูรณ์แบบมากขึ้นเสียเมื่อไหร่ คนเรายิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งมีความเป็นมนุษย์มากขึ้นต่างหาก

นี่คือแนวคิดที่มีต่อความผิดพลาดของคนในหมู่บ้านบุนจุครับ


สิ่งสำคัญที่สุดคือการให้ความสำคัญกับตัวเองเป็นอันดับแรก

คนที่หมู่บ้านบุนจุมีแนวคิดว่า ในหัวใจคนเรามีแก้วแห่งความสุขอยู่ เราต้องเติมความสุขของตัวเองให้เต็มแก้วก่อน จากนั้นถ้ามันล้นออกมาก็ค่อยนำความสุขหรือความรักที่ล้นออกมาไปมอบให้คนอื่น

นอกจากนี้ผู้ใหญ่บ้านมักพูดกับคุณโชเก็นในทำนองเดียวกันหลายต่อหลายครั้งว่า “คนที่เราต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกก็คือตัวเราเอง โชเก็นมักจะเอาเรื่องของตัวเองไว้ทีหลังเสมอ ทำแบบนั้นแล้วจิตวิญญาณของโชเก็นรู้สึกมีความสุขเหรอ เราต้องไม่ทำเรื่องที่เสียมารยาทต่อจิตวิญญาณของตัวเองนะ”

ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะทุกคนรู้ว่า ตราบใดที่หัวใจของตัวเองยังไม่ได้รับการเติมเต็ม เราก็ไม่อาจช่วยเหลือคนอื่นอย่างจริงจังได้ ที่สำคัญคือเวลาที่หัวใจของเรายังไม่ได้รับการเติมเต็ม หากเราพยายามทำอะไรเพื่อคนอื่น ก็จะต้องเกิดปัญหาอะไรสักอย่างขึ้นแน่นอนครับ

facebook.com/shogen01

ความสุขในยามที่ต้องตัดใจยอมแพ้

คุณโชเก็นอยากวาดภาพทิงกาทิงกาในแบบของตัวเองให้ได้เร็วขึ้น เขาจึงวาดภาพทุกวัน โดยตั้งเป้าหมายว่าใน 1 วัน ต้องวาดให้ได้ 12 ชั่วโมง ทุกวันเขาจะวาดภาพตั้งแต่เช้าจนถึงกลางคืนโดยไม่หยุดพัก แต่ที่นี่พอถึงเวลา 1 ทุ่ม ฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว

วันหนึ่งผู้ใหญ่บ้านมาเยี่ยมที่บ้านคุณแคมบิลี เมื่อเห็นว่าคุณโชเก็นยังวาดภาพอยู่ ทั้งที่ดวงอาทิตย์ตกดินไปแล้ว ผู้ใหญ่บ้านก็ชวนเขาออกไปนอกบ้าน และเอ่ยถามเขาด้วยความสงบนิ่งว่า

นายเข้าใจถึงความสุข ในยามที่เราต้องตัดใจยอมแพ้หรือเปล่า

คนในหมู่บ้านนี้ให้ความสำคัญกับช่วงเวลาตั้งแต่เลิกงานตอนบ่าย 3 โมงครึ่ง ไปจนถึงเข้านอนตอน 3 ทุ่ม ซึ่งเป็นช่วงเวลาของตัวเอง และครอบครัว เมื่อเห็นว่าคุณโชเก็นหมกมุ่นกับการวาดภาพ โดยไม่ใส่ใจกับช่วงเวลาดังกล่าว ผู้ใหญ่บ้านจึงพูดกับเขาว่า

เมื่อดวงอาทิตย์ตกดินแล้ว แม้จะยังมีแสงสลัวอยู่ แต่ฟ้าก็มืดมากอยู่ดี ฉะนั้นเราต้องตัดใจยอมแพ้โดยการเลิกทำทุกสิ่ง โชเก็นตีความคำว่ายอมแพ้ในแง่ลบอยู่หรือเปล่า แต่หมู่บ้านนี้ตีความในแง่บวกนะ เพราะเมื่อถึงเวลาที่เราต้องตัดใจยอมแพ้ หลังจากนั้นก็จะเป็นเวลาที่เราได้พักผ่อนอย่างแท้จริง

และผู้ใหญ่บ้านยังพูดต่ออีกว่า

โชเก็น การพยายามอย่างสุดชีวิต และการท้าทายตัวเองเป็นเรื่องที่ดีนะ การไม่อยากพ่ายแพ้ก็เป็นความรู้สึกที่สำคัญเหมือนกัน แต่ถ้ามันทำท่าว่าจะทำให้ใจพัง โชเก็นจะยังดึงดันไม่ยอมตัดใจยอมแพ้อยู่อีกเหรอ ผลงานที่ดีน่ะ ถ้าไม่มีความผ่อนปรนในจิตใจ ก็ทำออกมาไม่ได้หรอกนะ

nzu-risana.com

ถ่ายทอดความรู้สึกอย่างชัดเจน

วันหนึ่งคุณโชเก็นกำลังหาลังกระดาษ เพื่อใช้สำหรับส่งภาพที่วาดสะสมไว้ไปญี่ปุ่น แต่ที่แอฟริกาขาดแคลนข้าวของเครื่องใช้ แม้แต่ลังกระดาษยังเป็นของหายาก คุณโชเก็นต้องนั่งรถประจำทางราว 1 ชั่วโมงครึ่ง เพื่อไปที่ร้านค้าเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง เมื่อบอกกับเจ้าของร้านว่าอยากได้ลังกระดาษ อีกฝ่ายก็บอกว่า “อีก 2 สัปดาห์ค่อยมารับนะ เดี๋ยวจะเก็บไว้ให้”

2 สัปดาห์หลังจากนั้น เขานั่งรถประจำทาง 1 ชั่วโมงครึ่งเพื่อไปยังร้านนั้นอีกครั้ง แต่เจ้าของร้านกลับบอกว่ายกลังกระดาษให้คนอื่นไปแล้ว คุณโชเก็นโกรธเพราะต้องนั่งรถนาน 1 ชั่วโมงครึ่ง ถึง 2 รอบ และรอมาแล้วตั้ง 2 สัปดาห์

เขากลับมาที่หมู่บ้านบุนจุ บังเอิญเจอกับผู้ใหญ่บ้าน และได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ผู้ใหญ่บ้านฟัง พอได้ฟังจนจบผู้ใหญ่บ้านก็บอกกับคุณโชเก็นว่า “ลังกระดาษไปอยู่กับคนที่มีความรู้สึกแรงกล้ากว่าโชเก็นแล้วล่ะ นายได้ถ่ายทอดความรู้สึกอยากได้ลังกระดาษนั้นอย่างชัดเจนหรือยัง เรื่องสำคัญจะพูดแบบรวบรัดไม่ได้นะ”

ผู้ใหญ่บ้านบอกให้คุณโชเก็นเดินทางไปที่ร้านนั้นอีกครั้ง เมื่อไปถึงเขาก็พูดกับเจ้าของร้านที่ตัวเองเพิ่งโมโหใส่ไปว่า

ขอโทษที่โมโหใส่อยู่ฝ่ายเดียวนะครับ ผมอยากจะถ่ายทอดความอบอุ่นที่สัมผัสได้ในหมู่บ้านบุนจุผ่านภาพวาด แล้วก็ตั้งใจว่าจะนำจิตใจที่มีความสุข และวิถีดั้งเดิมของคนญี่ปุ่นกลับคืนมาด้วยการวาดภาพที่แฝงไว้ด้วยความยินดีเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวันของคนที่นี่ เพราะอย่างนี้ผมเลยต้องการลังกระดาษจริง ๆ เพื่อจะได้ส่งภาพวาดกลับไปญี่ปุ่นครับ

เมื่อได้ฟังแบบนั้น เจ้าของร้านก็พูดขึ้นว่า “อย่างนั้นเองเหรอ เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงอยากได้ลังกระดาษ ไว้อีก 2 สัปดาห์ค่อยมารับอีกทีแล้วกัน”

หลังผ่านไป 2 สัปดาห์ คุณโชเก็นนั่งรถประจำทางมาที่ร้านนี้อีกครั้ง คราวนี้เจ้าของร้านเก็บลังกระดาษไว้ให้จริง ๆ ผู้ใหญ่บ้านได้สอนเขาว่า ถ้าเรามีความรู้สึกที่แน่วแน่ ก็ต้องเชื่อว่าจะสามารถถ่ายทอดความรู้สึกของตัวเองออกไปได้แน่นอน เราต้องร่ายเวทมนตร์ให้ตัวเองคิดอย่างนั้น


ปี 2015 คุณโชเก็นเดินทางกลับมายังประเทศญี่ปุ่น ได้งานแรกในฐานะจิตรกรเป็นงานเพนท์ผนังสวนสัตว์ความยาว 80 เมตร พอวาดเสร็จคุณโชเก็นรู้สึกประทับใจผลงานมาก เพราะมันเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตที่สดใสร่าเริง ชวนให้นึกถึงแอฟริกาอย่างมาก เขาประทับใจสีที่ใช้วาดท้องฟ้าที่ออกมาดูใสแจ๋ว พอก้มไปมองถังสีที่ใช้ถึงรู้ว่าเป็นสีของบริษัทนิปปอนเพนท์

ตอนนั้นคุณโชเก็นนึกถึงคำที่คุณแคมบิลีเคยพูดไว้ว่า “สิ่งสำคัญคือการถ่ายทอดความรู้สึกออกมา” คุณโชเก็นจึงเดินทางไปยังสำนักงานใหญ่ของบริษัทนิปปอนเพนท์ และได้เจอกับคนของบริษัท เขาได้พูดออกไปว่า

ผมมาเพื่อถ่ายทอดความรู้สึกขอบคุณน่ะครับ ผมคิดว่าบริษัทที่สามารถสร้างสีท้องฟ้าได้สดใสขนาดนี้จะต้องสร้างอนาคตที่สดใสได้แน่ ดังนั้นผมจึงอยากจะร่วมงานด้วยครับ

พอพูดแบบนั้นออกไปอย่างจริงใจแล้ว ปรากฏว่าภายหลังบริษัทนิปปอนเพนท์ตกลงทำสัญญาเป็นสปอนเซอร์ให้กับคุณโชเก็น เขาถือว่าเป็นคนแรกที่บริษัทสีอันดับ 1 ของเอเชียเป็นสปอนเซอร์ให้ หลังจากนั้นคุณโชเก็นก็ออกเดินสายบรรยายเรื่องศิลปะและความสุข นับจนถึงตอนที่เขากำลังเขียนหนังสือเล่มนี้ เขาบรรยายทั่วประเทศญี่ปุ่นไปแล้วกว่า 11,938 ครั้ง

facebook.com/shogen01

หลายปีผ่านไปหลังจากคุณโชเก็นกลับมาญี่ปุ่น ในงานประชุมวิชาการที่จัดขึ้นปีละครั้ง โดยมีผู้อำนวยการโรงเรียนประถมมาเป็นผู้ร่วมงาน เขาได้รับเลือกให้ไปบรรยายในงาน พอเขามองไปยังที่นั่งของผู้ร่วมงานก็พบพ่อของตัวเองซึ่งเคยเป็นครูนั่งฟังบรรยายอยู่ด้วย ทั้งที่แต่ก่อนพ่อคัดค้านไม่ให้เขาไปแอฟริกา แต่ตอนนี้มานั่งฟังเขาเล่าถึงประสบการณ์ในแอฟริกา

คุณโชเก็นบอกว่าพอได้เห็นพ่อนั่งฟังเรื่องราวของเขาด้วยท่าทางดีใจ เขาก็คิดว่าบางทีพ่ออาจจะเชื่อในตัวเขามาตลอดก็ได้ แต่เพราะเมื่อก่อนเขาไม่ได้ส่งความรู้สึกของตัวเองไปให้ถึงพ่อ ถ้าตอนนั้นเขาถ่ายทอดความอยากไปเรียนศิลปะทิงกาทิงกาให้พ่อได้รู้สึก วันนั้นทั้งสองคนอาจไม่ทะเลาะกันใหญ่โตก็เป็นได้

ทุกวันนี้คุณโชเก็นนำปรัชญาความสุขจากหมู่บ้านบุนจุมาปรับใช้กับตัวเอง และถ่ายทอดให้คนอื่นได้รับรู้ แต่เขาบอกว่าถึงยังไงเขาก็ยังทำพลาดอยู่บ้าง มีส่วนที่ยังทำได้ไม่ดีพออยู่เยอะ แต่ถึงยังไงเขาก็เชื่อมั่นในตัวเอง และเชื่อมั่นในธรรมชาติข้างในตัวเองที่สักวันจะปรับให้เขาเข้าใจความสุขของการใช้ชีวิตครับ

หนังสือเล่มนี้อ่านง่ายครับ เหมือนอ่านไดอารี แต่ละบทสั้น ๆ ถ่ายทอดวิถีชีวิตเรียบง่ายเหมือนกำลังอ่านหนังสือแนว slice of life ข้างในเล่มมีผลงานสไตล์ทิงกาทิงกาฝีมือของคุณโชเก็นอยู่หลายภาพเลยครับ ใครสนใจสามารถหามาอ่านเพื่อฮีลใจได้กับหนังสือ ปรัชญาความสุขไม่มีวันหมด จากหมู่บ้านแอฟริกา ตีพิมพ์เป็นภาษาไทยโดยสำนักพิมพ์วีเลิร์น ราคา 235 บาทครับ

สนใจหนังสือ ปรัชญาความสุขไม่มีวันหมดจากหมู่บ้านแอฟริกา
สามารถสั่งซื้อได้ที่ Shopee: https://s.shopee.co.th/LaEAUnDoO
ซื้อผ่านลิงค์เป็นการสนับสนุนช่องครับ

Share

Leave a comment

Leave a Reply

What's New

สรุปเนื้อหาและแนะนำหนังสือที่น่าสนใจ ชวนเพื่อน ๆ มาพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้นในทุก ๆ วันไปด้วยกันครับ

Copyright 2025 Aitim and Co. All rights reserved

error: Content is protected !!