กลิ่นเป็นสิ่งที่อยู่รอบตัวและเป็นสิ่งที่เราพบเจอในทุก ๆ วัน กลิ่นมีหลายชนิด ทั้งกลิ่นหอม กลิ่นเหม็น มีบางกลิ่นเป็นกลิ่นที่บางคนชอบ แต่บางคนเข้าขั้นเกลียด ยกตัวอย่างกลิ่นทุเรียนเป็นต้น แล้วเพื่อน ๆ เคยสงสัยถึงที่มาของแต่ละกลิ่นบ้างไหมครับว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง อย่างกลิ่นทะเล กลิ่นฝนตก กลิ่นตัว กลิ่นเลือด ไปจนถึงกลิ่นอวกาศว่ามันมีกลิ่นเป็นแบบไหน
ไอติมเล่า ep นี้ มาแนะนำเนื้อหาจากหนังสือ “NOSE NOTE บันทึกเรื่องกลิ่นจากปลายจมูก” เขียนโดยกันต์นที นีระพล หรือคุณน้ำ เธอเคยทำงานเป็นแอร์โอสเตส ชื่นชอบน้ำหอมเป็นการส่วนตัว และมีงานอดิเรกเป็นการสะสมน้ำมันหอมระเหย พอเกิดสถานการณ์โควิดระบาด เธอจำเป็นต้องออกจากงาน และเปลี่ยนงานอดิเรกให้กลายมาเป็นอาชีพ โดยการเปิดคลาสสอนการผสมน้ำหอม หนังสือเล่มนี้เกิดจากการสะสมประสบการณ์เรื่องกลิ่นของเธอและเขียนออกมา ผมสรุปเนื้อหาบางส่วนที่น่าสนใจมาให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกันครับ
กลิ่นทะเล
เรามักได้ยินคนพูดว่า “ไปทะเล ไม่หนีร้อน ก็หนีรัก” หรือได้ยินคนบ่นว่า “เหนื่อย อยากไปนั่งโง่ ๆ ริมทะเล” ความจริงแล้วเนี่ยประโยคเหล่านี้เป็นความจริงครับ เพราะทะเลสามารถช่วยปลอบประโลมจิตใจและช่วยเยียวยาเราได้
อย่างแรกเลยเมื่อเราได้แตะทะเล เราจะรู้สึกชุ่มชื่น ผ่อนคลายและสงบ สมองจะหลั่งสารแห่งความสุขอย่างโดปามีน เซโรโทนินและออกซิโทซินออกมา ซึ่งสารเหล่านี้มีอิทธิพลต่อสมอง ทำให้จิตใจเราสงบ ทั้งยังช่วยลดฮอร์โมนความเครียด
อย่างที่สองคือเสียงคลื่นซัดชายฝั่ง ซึ่งเป็นเสียงที่ไม่มีแบบแผน ไม่มีจังหวะ เบาบ้าง ดังบ้าง มีความหลากหลายเกินกว่าเราจะคาดเดาได้ และเป็นโทนเสียงที่ทุ่มต่ำ ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย ไม่กดดัน ไม่บังคับ หลายคนจึงชอบบอกว่าอยากไปนั่งโง่ ๆ ฟังเสียงคลื่นริมทะเล
อย่างที่สามคือสีฟ้าของน้ำทะเล องค์กรอนามัยโลกเคยทำวิจัยและพบว่าการได้มองเห็นพื้นที่สีฟ้ามากเท่าไหร่ สุขภาพจิตจะดีขึ้นมากเท่านั้น ที่ต่างประเทศมีการทำทะเลบำบัด เพื่อบำบัดทหารผู้มีอาการ PTSD ซึ่งคือสภาวะป่วยทางจิตใจหลังจากเผชิญเหตุการณ์กระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง การทำทะเลบำบัดพบว่าช่วยให้สมองของทหารกว่า 5,000 คน หลั่งสารที่มีฤทธิ์ต้านซึมเศร้า และพวกเขากลับมาพึ่งพาตัวเองได้อีกครั้ง

และอย่างที่สี่ที่เข้าเรื่องของเราสักทีนั่นคือเรื่องกลิ่นของทะเล สำหรับเพื่อน ๆ กลิ่นของทะเลในความทรงจำเป็นกลิ่นอะไรครับ เชื่อว่าหลายคนน่าจะจดจำกลิ่นเค็มของน้ำทะเล และหลายคนน่าจะคิดว่าไอ้กลิ่นเค็ม ๆ นี้เนี่ย ต้องเค็มจากเกลือแน่นอนเลย บรรดาน้ำหอมยี่ห้อต่าง ๆ ยังออกน้ำหอมกลิ่น sea salt ออกมาเลย
แต่จริง ๆ แล้วกลิ่มเค็มจากทะเลที่ว่านี้เป็นกลิ่นก๊าซในอากาศตัวหนึ่งที่ลอยมาจากทะเลครับ ก๊าซนั้นชื่อว่าไดเมทิลซัลไฟล์ (Dimethyl sulfide) ซึ่งเกิดขึ้นจากการรวมตัวกันเยอะ ๆ ของแพลงก์ตอนทะเล ผสมรวมกับสาหร่ายที่กำลังใกล้เน่า จนเกิดก๊าซที่มีกลิ่นเค็ม ๆ คล้ายกลิ่นเกลือหรือกลิ่นปลาเค็มครับ
พอพูดถึงทะเลในหนังสือที่พูดถึงน้ำหอม สิ่งที่ผู้เขียนจะข้ามไปไม่ได้คือการพูดถึงอ้วกวาฬ หรือแอมเบอร์กริส (Ambergris) แอมเบอร์กริสนี้เนี่ยคือก้อนอึหรือก้อนอ้วกของวาฬหัวทุยหรือเรียกอีกชื่อว่าวาฬสเปิร์มครับ

เจ้าแอมเบอร์กริสเนี่ยเกิดขึ้นโดยเริ่มจากการที่วาฬหัวทุยเขมือบปลาหมึกที่มีกระดองหรือปากแข็ง ๆ ซึ่งเข้าไปทิ่มในหลอดอาหารของวาฬหัวทุย มันเลยสร้างเมือกสีขาวขุ่นมาเคลือบไว้ บางทีก็อ้วกก้อนนั้นออกมา บางทีก็ปล่อยไหลจนออกมาเป็นอึ ในตอนแรกเจ้าก้อนแอมเบอร์กริสจะนิ่มและมีกลิ่นเหม็นมาก จากนั้นมันก็จะลอยอยู่กลางทะเล โดนแดดเผาอยู่นาน จนเริ่มแข็งขึ้นและคล้ำขึ้นแล้วเปลี่ยนกลายเป็นสีดำ
ถึงตอนนั้นแอมเบอร์กริสได้กลายเป็นก้อนที่มีกลิ่นหอมยั่วยวนใจไปแล้ว โดยแอมเบอร์กริสหรืออ้วกวาฬก้อนหนึ่งราคาแพงมาก ก้อนที่หนัก 1 กิโลกรัม มีราคาตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึงหลักล้านบาท จนมันได้รับการขนานนามว่าเป็นทองคำแห่งท้องทะเล
กลิ่นฝน
เชื่อว่าหลายคนน่าจะชอบกลิ่นฝน ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบกลิ่นฝน เพราะมันให้ความรู้สึกสงบ เหมาะแก่การห่มผ้าอ่านหนังสือ แล้วกลิ่นฝนเนี่ยมันคือกลิ่นของอะไร จริง ๆ แล้วไอ้กลิ่นที่เราคิดกันว่าคือกลิ่นของฝน มันคือกลิ่นของดินที่โดนฝนกระทบต่างหากครับ
ตามหลักวิทยาศาสตร์ ช่วงเวลาของกลิ่นฝนมีตั้งแต่ช่วงก่อนฝนตก ระหว่างฝนตกและหลังฝนตก ทั้ง 3 ช่วงเวลานี้มีกระบวนการและกลิ่นที่แตกต่างกันออกไป โดยกลิ่นก่อนฝนตกจะเป็นกลิ่นเย็น ๆ จาง ๆ พอได้กลิ่นนี้แล้วหลายคนต้องรีบไปเก็บผ้า กลิ่นนี้เป็นกลิ่นของโอโซนในชั้นผิวโลก ที่เกิดขึ้นเพราะฟ้าแลบหรือฟ้าผ่าไปทำให้โมเลกุลของอากาศแตกตัวเป็นอะตอมเดี่ยว และไปรวมกับโมเลกุลอื่นจนเกิดเป็นโอโซน กลายเป็นกลิ่นแรกที่เราจะได้กลิ่นก่อนที่ฝนจะตกนั่นเองครับ

ต่อมาเป็นกลิ่นฝนกำลังตก กลิ่นนี้เป็นกลิ่นของน้ำมันที่อยู่ในพืชบางชนิด และกลิ่นของแบคทีเรียชื่อว่าจีออสมิน (Geosmin) เจ้าจีออสมินนี้อาศัยอยู่ในดินที่ชื้นและอุ่น สามารถทนความร้อนและความแล้งได้ดี เมื่อฝนตกลงมากระทบดินก็กระทบโดนจีออสมินด้วย ทำให้สปอร์ของมันฟุ้งไปในอากาศ ลอยเข้ามาในจมูกทำให้เราได้กลิ่นฝนตกนั่นเองครับ
แล้วทำไมคนเราถึงชอบกลิ่นตอนฝนตกล่ะ? หนังสือเล่มนี้ได้อธิบายเอาไว้ว่ากลิ่นของแบคทีเรียจีออสมินมีผลต่อระบบการบำบัดของสมองโดยตรง วงการน้ำหอมเรียกกลิ่นฝน กลิ่นดืน กลิ่นผืนป่าว่าเป็นกลิ่นในตระกูล Earthy ซึ่งเป็นกลิ่นที่มีคาแรกเตอร์นิ่ง ๆ เหมือนธรรมชาติที่ไม่มีการปรุงแต่ง ช่วยทำให้อารมณ์ของเรามั่นคง ช่วยสร้างสมาธิให้เราได้เป็นอย่างดี
กลิ่นที่โดดเด่นในตระกูล Earthy ได้แก่ กลิ่นเวติเวอร์ (Vetiver) ซึ่งเป็นรากของหญ้าแฝก มีกลิ่นเหมือนเราดึงหญ้าขึ้นมาจากดินแล้วดมเข้าไปแบบนั้นเลย กลิ่นซีดาร์วูด (Cedar wood) เป็นน้ำมันหอมระเหยตัวแรกของโลกที่ถูกบันทึกโดยชาวอียิปต์ กลิ่นมันเหมือนต้นไม้ในถ้ำที่ชื้น ๆ เปียก ๆ และกลิ่นโอ๊กมอสส์ (Oak moss) ซึ่งเป็นกลิ่นมอสส์ของต้นไม้ในเมืองหนาว กลิ่นนี้คนดมแล้วตีความไปหลายทางมาก บางคนบอกว่ากลิ่นเหมือนผู้ชายใส่สูท เหมือนเบาะหนังรถแลมโบกินี หรือเหมือนกลิ่นผู้ชายที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จใหม่ ๆ

กลิ่นตัว
กลิ่นตัวของคนเราเกิดขึ้นจากแบคทีเรียบนผิวหนัง และระบบร่างกายภายในที่ขับออกมาในรูปแบบของลมหายใจ เหงื่อและปัสสาวะ ใครจะมีกลิ่นตัวมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับยีนของแต่ละคน ซึ่งยีนที่ทำให้รักแร้ของเราเกิดกลิ่นมีชื่อว่า ABCC11
นอกจากนี้อาหารที่กินเข้าไปก็ทำให้แต่ละคนมีกลิ่นตัวที่แตกต่างกันออกไป เช่นชาวตะวันออกกลางกินอาหารที่ปรุงด้วยสารพัดเครื่องเทศ หรือชาวจีนที่กินอาหารรสชาติเผ็ดร้อน ทำให้คนแต่ละชนชาติมีกลิ่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ผู้เขียนเคยถามเพื่อนแอร์โอสเตสที่เป็นชาวต่างชาติว่าเธอคนนั้นได้กลิ่นตัวคนไทยเป็นกลิ่นอะไร เพื่อนคนนั้นตอบว่ากลิ่นตัวคนไทยมีกลิ่นเหมือนน้ำปลา และผมไปค้นกูเกิ้ลเพิ่มเติมมา ชาวต่างชาติหลายคนได้กลิ่นคนไทยเป็นกลิ่นกระเทียมที่มีความหืน ๆ อึน ๆ

เรื่องกลิ่นตัวถ้าดูแลดี ๆ อาบน้ำให้สะอาดและใช้สเปรย์ดับกลิ่นกายก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล แต่มีชนชาติหนึ่งครับที่สเปรย์ดับกลิ่นกายไม่มีความจำเป็นสำหรับพวกเขาเลย พวกเขาเป็นชนชาติที่ร่างกายไม่ผลิตกลิ่นตัว ชนชาตินั้นคือชาวเกาหลี พวกเขามียีน ABCC11 ในอัตราที่ต่ำมาก ๆ พอมียีนนี้น้อยก็ทำให้ต่อมเหงื่อมีขนาดเล็ก ส่งผลให้คนเกาหลีไม่มีกลิ่นตัว
มีบริษัทเครื่องสำอางแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่นทำการทดลองในผู้หญิงจำนวน 500 คน ช่วงอายุตั้งแต่วัยรุ่นไปจนถึงอายุ 50 ปี โดยให้ผู้เข้าร่วมทดลองใส่เสื้อผ้าตัวเดิมเป็นเวลา 24 ชั่วโมง จากนั้นทำการวิเคราะห์ว่ากลิ่นของผู้หญิงแต่ละวัยแตกต่างกันไหม
ผลการทดลองพบว่าผู้หญิงทุกวัยมีกลิ่นความเปรี้ยวนิด ๆ หวานหน่อย ๆ แต่กลิ่นหวานจะชัดเจนกว่าในเสื้อผ้าของเด็กสาววัยรุ่น ผลการวิเคราะห์พบว่าสารที่ให้กลิ่นหอมหวานนั้นมีชื่อว่า แลคโทน (Lactone) C10 และ C11 ซึ่งมีกลิ่นคล้ายลูกพีชและมะพร้าวที่มีความหอม ๆ หวาน ๆ ซ่อนเปรี้ยวเบา ๆ

บริษัทที่ทำการทดลองจึงออกครีมอาบน้ำและผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายซึ่งตั้งชื่อตรงตัวว่า “กลิ่นเด็กสาววัยแรกแย้ม” พอวางขายก็ขายดีอย่างถล่มทลายในผู้หญิงวัย 30 ขึ้นไป ด้วยเหตุผลว่าพวกเธออยากปลุกความสาวและสดใสในตัวเองออกมาให้มากที่สุด
แต่ยอดขายก็มาจากผู้ชายเยอะเหมือนกันครับ ชายหนุ่มที่ซื้อสินค้านี้ไปให้เหตุผลว่า เมื่อใช้ครีมอาบน้ำกลิ่นนี้แล้วให้ความรู้สึกเหมือนกับว่ามีสาวน้อยอยู่ข้างกายตลอดเวลา
กลิ่นความกลัว
ความกลัวมีกลิ่นด้วยเหรอ? หลายคนอาจจะเคยเห็นคำว่า “กลิ่นของความกลัว” ผ่านสายตามาบ้างในหนังสือนิยาย แต่ความจริงมันจะไปมีกลิ่นแบบนั้นได้ยังไง คงเป็นเรื่องที่คิดกันไปเองมากกว่า และมีคนจริงจังในการหาความจริงเรื่องนี้ จนถึงขั้นทดลองทางวิทยาศาสตร์กันเลยทีเดียวครับ
นักวิจัยจาก Stony Brook University ในนิวยอร์กได้ทำการทดลองโดยนำเอาแผ่นประจุขั้วไฟฟ้าไปซุกไว้ใต้รักแร้ของอาสาสมัครจำนวน 20 คน ในการกระโดดร่มดิ่งพสุธาครั้งแรกในชีวิต จากนั้นนำเหงื่อที่ได้ในครั้งนี้ไปเทียบกับเหงื่อจากการออกกำลังกายของอาสาสมัครคนเดิม

จากนั้นให้อาสาสมัครอีกชุดหนึ่งมาดมกลิ่นเหงื่อของอาสาสมัครชุดแรก และใช้เครื่องสแกนสมองอ่านค่าที่ได้ นักวิจัยพบว่าสมองส่วนอะมิกดาลา (Amygdala) และไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) ซึ่งทำหน้าที่ตรวจจับและตอบสนองต่อความกลัว ทำงานชัดเจนกว่าเมื่อได้ดมกลิ่นเหงื่อที่มาจากการกระโดดร่ม หากเทียบกับกลิ่นเหงื่อที่มาจากการออกกำลังกาย
งานวิจัยนี้ไม่ได้ทำกันเล่น ๆ ขำ ๆ เพื่อล่ารางวัลอิกโนเบลนะครับ แต่เป็นงานวิจัยที่ได้รับทุนสนับสนุนจากกระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกา โดยมีเป้าหมายว่าอยากสกัดสารแห่งความกลัวออกมา เพื่อใช้งานในด้านสงคราม สำหรับลดกำลังใจของทหารฝ่ายตรงข้าม แต่สุดท้ายทางกระทรวงออกมาปฏิเสธว่าเรื่องนี้ไม่จริ๊ง! ไม่จริง!
กลิ่นอวกาศ
บนพื้นโลกของเราใบนี้มีกลิ่นอยู่มากมาย แล้วเพื่อน ๆ เคยสงสัยไหมครับว่าบนอวกาศอันเวิ้งว้างมีกลิ่นแบบไหน? ก่อนหน้านี้ NASA ทำกลิ่นของอวกาศออกมาอยู่ตลอด เพื่อให้นักบินอวกาศคุ้นเคยกับกลิ่นของอวกาศ และในปี 2020 ทาง NASA ก็ได้ออกน้ำหอมกลิ่นอวกาศออกมาตัวหนึ่งชื่อว่า Eau de Space
หลายคนได้ดมน้ำหอมกลิ่นอวกาศตัวนี้ก็ตีความกันไปต่าง ๆ นานาว่ามันกลิ่นเหมือนอะไร บางคนบอกว่ากลิ่นเหมือนเหล้ารัม บ้างว่าเหมือนราสป์เบอร์รี่ เหมือนดินปืน เหมือนบาร์บีคิว หรือเหมือนคุกกี้ไหม้บ้าง

นักบินอวกาศตัวจริงออกมาบอกว่ากลิ่นอวกาศจริง ๆ เป็นกลิ่นที่โดดเด่นและอธิบายยาก มันเหมือนกลิ่นเหล็กร้อน ๆ เหมือนกลิ่นเนื้อที่กำลังย่าง เหมือนกลิ่นกำมะถัน เหมือนกลิ่นควันจากการเชื่อมเหล็ก
แล้วนักบินอวกาศเขาดมกลิ่นอวกาศกันยังไง แน่นอนว่าถ้าพวกเขาลอยอยู่นอกยานแล้วเปิดหน้ากากชุดนักบินอวกาศออกเพื่อดมกลิ่น พวกเขาจะตายทันทีแบบฉับพลันโดยไม่ทันจะได้ทรมาน แต่ความจริงคือพวกเขาได้กลิ่นอวกาศหลังจากกลับเข้ายานเมื่อปฏิบัติภารกิจเสร็จแล้ว กลิ่นอวกาศติดมากับชุดนักบินนั่นเองครับ
กลิ่นกาแฟ
เราดื่มกาแฟเพื่อให้ร่างกายตื่นตัว ให้สมองพร้อมทำงาน กาแฟเป็นตัวช่วยสำหรับเริ่มต้นวันใหม่ที่ขาดไม่ได้ของใครหลายคน แต่รู้ไหมครับว่าเราได้ประโยชน์จากกาแฟ ตั้งแต่ตอนที่ได้กลิ่นโดยที่ยังไม่ทันได้ดื่มเลยด้วยซ้ำ
มีการศึกษาในประเทศออสเตรเลีย พบว่าการได้กลิ่นกาแฟโดยไม่ต้องดื่ม สามารถกระตุ้นการเต้นของหัวใจ ทำให้มีสมาธิจดจ่อกับกิจกรรมที่อยู่ตรงหน้าได้ ที่ประเทศญี่ปุ่นก็มีการทดลองและพบว่ากลิ่นกาแฟเข้ม ๆ ช่วยเพิ่มคลื่นอัลฟาในสมอง แบบเดียวกับตอนที่เรารู้สึกผ่อนคลาย และยิ่งเป็นกลิ่นของกาแฟที่คั่วเข้ม ผลลัพธ์ก็ยิ่งอยู่ติดทนนานมากกว่ากาแฟที่คั่วปกติ
ประเทศเกาหลีก็มีการทดลองและพบว่ากลิ่นของกาแฟไปทำปฏิกิริยากับโปรตีนในสมองตัวที่เกี่ยวข้องกับความเครียด โดยเฉพาะความเครียดที่เกิดจากการนอนไม่หลับ ประเทศแคนาดาได้ทำการวิจัยในนักเรียนสองกลุ่ม โดยให้กลุ่มแรกทำข้อสอบในห้องที่มีกลิ่นกาแฟ ส่วนอีกกลุ่มทำข้อสอบในห้องที่ไม่มีกลิ่นอะไร ผลปรากฏว่านักเรียนกลุ่มแรกทำคะแนนได้ดีกว่าอีกกลุ่ม พวกเขาบอกว่ากลิ่นกาแฟทำให้มีสมาธิและตื่นตัว

หากเพื่อน ๆ เคยไปเดินโซนขายน้ำหอมในห้างฯ จะเห็นว่าบนเคาน์เตอร์น้ำหอมมีกระปุกบรรจุเม็ดกาแฟวางเอาไว้ พนักงานจะส่งกระปุกนี้ให้เราดม หลังจากที่เราทดลองดมน้ำหอมไปหลายตัวแล้ว
เวลาทดลองดมน้ำหอมไปเรื่อย ๆ เราจะพบกับอาการจมูกล้า จนไม่สามารถแยกกลิ่นต่อไปได้อีก เพราะประสาทรับกลิ่นในโพรงจมูกที่เรียกกันว่า Olfactory receptor cell เกิดเหนื่อยล้า มันจึงแปรผลและส่งไปไม่ถึงสมองส่วน Olfactory bulb ทำให้เราไม่ได้กลิ่นหรือได้กลิ่นไม่ชัด อาการแบบนี้เรียกว่า Odor fatigue ครับ
นักประสาทวิทยาจาก University of California, Berkeley พบว่ากาแฟมีส่วนในการเคลียร์ทางให้รับกลิ่นเข้าไปใหม่ได้ กาแฟมีกลิ่นที่ค่อนข้างชัดเจน และไม่ติดอยู่ที่จมูก เมื่อเราดมแล้วเราจะไม่จดจำมันเอาไว้
กลิ่นเลือด
เลือดมีกลิ่นเหมือนเหล็ก นั่นเพราะว่าในเลือดของเรามีธาตุเหล็กอยู่ เมื่อเลือดเราออก ธาตุเหล็กในเลือดจะทำปฏิกิริยาออกซิเดชันกับน้ำมันบนผิวหนัง ทำให้เกิดกลิ่นคล้ายโลหะ โดยเฉพาะเมื่อเป็นเลือดสด ๆ จะมีกลิ่นเหมือนกับโลหะใหม่ ๆ ที่สนิมยังไม่ขึ้น
แล้วกลิ่นเลือดดึงดูดอะไรบ้าง จากที่พวกเราได้ยินกันมาคือ
- แดรกคูลา
- ยุง
- ฉลาม
แครกคูลาขอตัดออกไปก่อน เราข้ามมาเริ่มต้นที่เรื่องยุงกันดีกว่าครับ ยุงที่ออกหากินโดยการดูดเลือดของเราเป็นยุงเพศเมียเท่านั้นครับ โดยยุงเพศเมียต้องการโปรตีนจากเลือดไปใช้สร้างไข่สำหรับแพร่พันธุ์ ส่วนยุงเพศผู้หากินเหมือนแมลงทั่วไป นั่นคือดูดน้ำหวานจากดอกไม้

ทุกคนมีเลือดเหมือนกัน แต่ทำไมบางคนถึงเป็นที่โปรดปรานของยุงมากกว่า แม้จะนั่งอยู่ด้วยกัน คนหนึ่งโดนยุงรุมกัด แต่อีกคนกลับไม่โดนยุงกัดเลย กรุ๊ปเลือดเป็นเหตุผลหนึ่งของเรื่องนี้ครับ สถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาเคยทำวิจัย พบว่าคนเลือดกรุ๊ปโอจะดึงดูดให้ยุงเข้ามาหามากที่สุด มากกว่าคนกรุ๊ปเลือดอื่นถึง 2 เท่า
นอกจากนี้ยุงยังสามารถตรวจจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากที่ไกลมาก ๆ ได้ ในลมหายใจของเรา นอกจากมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แล้ว ยังมีกลิ่นของกรดแลคติกและยูเรียปนออกมาเรียกยุงด้วย ซึ่งเราจะพบสองกลิ่นนี้ได้มากเป็นพิเศษในคนที่ออกกำลังการและผู้หญิงที่กำลังตั้งท้อง
เมื่อยุงเข้ามาใกล้มากขึ้น มันจะจับอุณหภูมิ ยิ่งใครตัวอุ่นก็ยิ่งเรียกให้ยุงเข้ามาหาได้เยอะ และก่อนที่ยุงจะเลือกปักปากแหลม ๆ เพื่อดูดเลือด มันจะหามุมที่อับแสงเพื่อลอบเข้ามากัด ดังนั้นใครที่ใส่เสื้อผ้าสีเข้มจะถูกยุงจู่โจมได้มากกว่าคนที่ใส่เสื้อผ้าสีอ่อนครับ
เราอาจเคยเห็นจากในหนังว่าฉลามรับกลิ่นเลือดได้ดีมาก ๆ ซึ่งฉลามได้กลิ่นเลือดจากระยะไกลได้จริง ๆ แม้เลือดเพียงแค่หยดเดียวในสระว่ายน้ำขนาดโอลิมปิกมันก็สามารถได้กลิ่น สาเหตุเพราะฉลามมี Olfactory system ที่ว่องไวเอามาก ๆ และสมองส่วน Olfactory bulb ก็ไม่ได้ซับซ้อน มันจึงได้รับกลิ่นแล้วส่งสัญญาณไปถึงสมองได้อย่างรวดเร็ว
มียูทูบเบอร์สองคนจากช่อง The body of Coppens ได้ทำการทดลองเพื่อพิสูจน์ว่าฉลามสนใจเลือดมนุษย์หรือเลือดปลามากกว่ากัน ผลการทดลองพบว่าฉลามสนใจเลือดปลามากกว่า เพราะมันคุ้นเคยกับกลิ่นอาหารของมันนั่นเองครับ

นี่คือเนื้อหาบางส่วนจากหนังสือ “NOSE NOTE บันทึกเรื่องกลิ่นจากปลายจมูก” ผลงานการเขียนเล่มแรกของคุณน้ำที่เขียนออกมาได้ดีมาก หนังสืออ่านง่าย ให้ความรู้แบบไม่วิชาการจ๋า สอดแทรกประสบการณ์ของผู้เขียนเข้ามาบางส่วน ทำให้การอ่านหนังสือเล่มนี้สนุกเหมือนอ่านไดอารีของเพื่อน
ใครสนใจสามารถหามาอ่านกันได้ครับ หนังสือตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์อะโวคาโดบุ๊ค ราคา 350 บาท อาจดูเหมือนราคาแพง แต่เล่มนี้พิมพ์ 4 สี่ทั้งเล่ม และออกแบบภาพประกอบได้สวยงาม เล่มนี้เหมือนผลงานศิลปะชิ้นหนึ่งเลยครับ
สนใจหนังสือ NOSE NOTE บันทึกเรื่องกลิ่นจากปลายจมูกฯ
สามารถสั่งซื้อได้ที่ Shopee: https://s.shopee.co.th/2B0U1BHxpt
ซื้อผ่านลิงค์เป็นการสนับสนุนช่องครับ
Leave a comment