การจะทำงานให้เสร็จและออกมาดีได้ ต้องอาศัยการใส่ใจกับงานนั้น คุณต้องโฟกัสกับสิ่งที่ทำอยู่ ลองคิดว่าหากคนเราโฟกัสได้ทีละหลายอย่าง เราคงทำงานหลาย ๆ งานให้เสร็จได้พร้อมกัน แต่น่าเสียดายที่จำนวนสิ่งที่คนเราสามารถโฟกัสได้นั้นมีจำกัด คุณไม่สามารถคุยกับคน 2 คน 2 เรื่องไปพร้อมกับตอบอีเมลไปด้วยได้
โลกแห่งความจริงเราทำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีที่สุดเพียง 1-2 อย่างในเวลาเดียวกัน นั่นเป็นเพราะว่าเมื่อเราโฟกัสอะไรสักอย่าง สมองของเราสามารถจัดเก็บข้อมูลไว้ได้เพียงเล็กน้อยในหน่วยความจำระยะสั้น หรือ Short-Term Memory โดยสมองเราเก็บข้อมูลที่ไม่ซ้ำกันไว้ในความจำระยะสั้นได้มากสุดเพียงแค่ 7 อย่าง
ไอติมอ่าน ep นี้จะมาแนะนำหนังสือ Hyperfocus โฟกัสถูกจุด ปักหมุดผลสำเร็จ หนังสือได้แนะนำวิธีที่จะทำให้คุณโฟกัสได้อย่างสมบูรณ์ กลับมาพูดถึงสมองของเรากันต่อ ในหนังสือผู้เขียนเรียกปริมาณความจุที่สมองมีไว้สำหรับโฟกัสและประมวลผลสิ่งต่าง ๆ ว่า “พื้นที่ความใส่ใจ” โดยพื้นที่ความใส่ใจนี้ช่วยเราเก็บ จัดการ และเชื่อมต่อข้อมูลได้พร้อมกันอย่างรวดเร็ว เมื่อเราเลือกใส่ใจกับอะไร ข้อมูลนั้นจะเข้าไปอยู่ในความจำระยะสั้น
ถ้าสมองของคุณคือคอมพิวเตอร์ พื้นที่ความใส่ใจของคุณก็คือแรม ซึ่งช่วยให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้อย่างรวดเร็วและลื่นไหล แต่หากคุณเปิดหลายโปรแกรมหรือเปิดหน้าเว็บทิ้งไว้หลายหน้า พื้นที่แรมก็จะเต็ม คอมพิวเตอร์ของคุณจะทำงานช้าลง สมองของคุณก็เหมือนกับคอมพิวเตอร์เลยครับ ถ้ามีหลายงานอยู่ในหัวเรามากเกินไป สมองเราก็จะทำงานได้มีประสิทธิภาพน้อยลง ตอนนี้เรารู้แล้วว่าพื้นที่ความใส่ใจของเรามีขนาดเล็กและจำกัดเหลือเกิน ดังนั้นคุณจำเป็นต้องบริหารจัดการมันให้ดี
บทต่อมาผู้เขียนพูดถึง Hyperfocus หรือการโฟกัสอย่างสมบูรณ์ คุณเคยมีช่วงเวลาที่ทำงานได้อย่าง productive สูงสุดไหมครับ วันที่คุณทำงานเสร็จลุล่วงไปได้หลายงาน คุณอาจเสียสมาธิไปบ้าง แต่ก็กลับมาโฟกัสต่อได้อย่างรวดเร็ว คุณไม่มีความตื่นตระหนก ไม่สับเปลี่ยนงานไปมา รู้สึกเพลิดเพลินจนลืมเวลา เมื่อมองดูนาฬิกาก็พบว่าผ่านไปหลายชั่วโมงแล้ว แต่คุณกลับไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย แม้ทำงานมาอย่างต่อเนื่อง ในวันเช่นนี้คุณได้เปิดโหมด “การโฟกัสอย่างสมบูรณ์” แล้ว
โหมดนี้อาจเหมือนของล้ำค่าที่หาได้ยาก ในสภาพแวดล้อมอันยุ่งเหยิงที่พวกเราทำงานและใช้ชีวิตอยู่ แต่ก็ไม่ไกลเกินเอื้อม ผู้เขียนได้แนะนำ 4 ขั้นตอนในการโฟกัสอย่างสมบูรณ์ซึ่งมีดังนี้ครับ
- กำหนดความตั้งใจว่าจะโฟกัสเรื่องอะไร
- กำจัดสิ่งรบกวน เช่น ปิดแจ้งเตือนบนมือถือ
- กำหนดระยะเวลาว่าจะโฟกัสเรื่องนี้นานเท่าไหร่
- ดึงความสนใจกลับมาสู่เรื่องเดิม เมื่อเราใจลอย
ซึ่งข้อสุดท้ายนี้ผู้เขียนเน้นย้ำว่าสำคัญที่สุด มีงานวิจัยชี้ว่าคนเราใจลอยถึง 47% ในหนึ่งวัน และเราใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 22 นาทีถึงจะกลับมาใส่ใจกับงานได้อีกครั้ง หลังจากถูกเบี่ยงเบนความสนใจ แนวคิดสำคัญที่สุดในหนังสือเล่มนี้คือ วิธีดึงความสนใจกลับมาเมื่อใจลอยนี่แหละครับ
ทำไมเราถึงใจลอย ทำไมเราถึงชอบสิ่งเบี่ยงเบนความสนใจ?
เมื่อสมองของเราต่อต้านงานที่เรากำลังทำอยู่ แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม สมองจะพยายามมองหาเรื่องล่อใจใหม่ ๆ ผู้เขียนได้แบ่งสิ่งเบี่ยงเบนความสนใจเอาไว้ 4 ประเภท คือ
- สิ่งที่ควบคุมไม่ได้และน่ารำคาญ เช่น เพื่อนร่วมงานส่งเสียงดัง
- สิ่งที่ควบคุมไม่ได้แต่สนุก เช่น คนรักโทรมาหา
- สิ่งที่ควบคุมได้และน่ารำคาญ เช่น เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์มือถือ
- สิ่งที่ควบคุมได้และสนุก เช่น โซเชียลมีเดีย
สำหรับ 2 ข้อแรกเป็นการขัดจังหวะที่เราป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นไม่ได้ แต่เราเลือกการตอบสนองต่อมันได้ ผู้เขียนแชร์ว่าเขาเคยทุ่มเทตั้งใจกับการทำงานให้เสร็จ จนกลายเป็นคนเข้มงวด เขาเคยขี้โมโหเมื่อถูกขัดจังหวะ จนในที่สุดเขาได้เรียนรู้ว่าเรื่องขัดจังหวะแบบนี้ช่วยคลายเครียด การพักคุยกับเพื่อนร่วมงาน หรือรับสายที่คนรักโทรมาช่วยให้สมองผ่อนคลาย เขาอ้าแขนรับความสนุก แม้จะทำให้ productivity ของเขาลดลง ในขณะเดียวกันก็พยายามระลึกถึงความตั้งใจเดิมอยู่เป็นระยะ และหาโอกาสกลับเข้าที่เข้าทางตามเดิม
ส่วน 2 ข้อสุดท้ายเป็นสิ่งที่เราสามารถควบคุมได้ ทั้งเสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์มือถือและโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ผู้เขียนแนะนำให้ตั้งมือถือไว้ในโหมดห้ามรบกวน ติดตั้งแอพที่ช่วยบล็อกสิ่งเบี่ยงเบนความสนใจ เช่น แอพ Forest Stay Focus หรือ Focus Traveller และใส่หูฟังตัดเสียงรบกวนเพื่อไม่ให้ถูกเบี่ยงเบนจากสิ่งแวดล้อมรอบข้าง
การเปลี่ยนสถานที่ทำงานอาจทำให้คุณพบว่าตัวเองโฟกัสกับการทำงานได้ดีขึ้น คุณอาจลองเปลี่ยนไปนั่งที่ร้านกาแฟ หรือไปนั่งคนเดียวในห้องประชุม
ดนตรีเป็นอีกหนึ่งสภาพแวดล้อมที่ส่งผลต่อการโฟกัส ดนตรีที่ช่วยเพิ่ม productivity ได้ดีที่สุดต้องเป็นแบล็กกราวน์ที่ไม่มีเนื้อร้อง มีทำนองซ้ำ ๆ และเปิดค่อนข้างเบา หากเทียบกันแล้วดนตรีสู้สภาพแวดล้อมที่เงียบเชียบไม่ได้ แต่ดนตรีช่วยกลบบทสนทนารอบตัวคุณได้ มีงานวิจัยพบว่าการแอบได้ยินบทสนทนาทางโทรศัพท์นั้นเบี่ยงเบนความสนใจของเรามากกว่าการได้ยินบทสนทนาของคนสองคนตามปกติ เพราะสมองของคุณต้องทำงานมากขึ้น เพื่อพยายามเติมเต็มบทสนทนาที่ขาดหายไป
แน่นอนว่าสิ่งรบกวนไม่ได้มาจากภายนอกเพียงอย่างเดียว บางครั้งในหัวของเราก็มีเรื่องคาราคาซังให้กังวล เช่น คุณกำลังจดบันทึกการประชุมอยู่ แล้วจู่ ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่าก่อนกลับบ้านต้องแวะซื้อขนมปัง การทำหัวให้โล่งจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
เดวิด อัลเลน กล่าวไว้ว่า “สมองของเรามีไว้ให้คิดไม่ใช่มีไว้เพื่อจำ สมองที่ว่างเปล่าเป็นสมองที่มี productivity สูง” หากคุณต้องแบ่งพื้นที่ในหัวให้กับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นตลอดเวลา แบบนี้คุณจะเครียดมาก ดังนั้นคุณควรเอาสิ่งเหล่านั้นออกมาจากหัว แล้วจดลงในกระดาษ
ผู้เขียนบอกว่าหลังจากเขาทำงานเสร็จและเหน็ดเหนื่อยไปกับโหมด hyperfocus เขาจะให้รางวัลตัวเองเป็นชาเขียวมัตฉะหรือกาแฟสักแก้ว
งานแต่ละอย่างของคุณอาศัยความใส่ใจแตกต่างกันไปตามความซับซ้อนของงาน ผู้เขียนได้เสนอข้อมูลน่าสนใจว่า เรามีแนวโน้มจะเข้าสู่สภาวะลื่นไหล เมื่องานที่กำลังทำมีความท้าทายพอฟัดพอเหวี่ยงกับความสามารถของเรา แต่หากงานใดไม่ท้าทายทักษะของเราเลย เราจะรู้สึกเบื่อ หรือหากงานใดยากเกินทักษะของเรา เราจะวิตก
ลองสังเกตตัวเองว่าคุณเบื่อบ่อย ๆ หรือไม่ ลองพิจารณาดูว่างานที่ทำใช้ประโยชน์จากทักษะของคุณหรือไม่ ถ้าคุณใจลอยบ่อย ๆ ก็ถึงเวลาที่ต้องทำงานที่ยากขึ้นแล้ว หรือถ้าคุณวิตกอยู่ตลอดตอนทำงาน ก็ถึงเวลาพิจารณาแล้วว่าทักษะการทำงานที่คุณมีอยู่ตอนนี้นั้นเหมาะสมกับงานที่ได้รับมอบหมายหรือไม่
ถึงตรงนี้เพื่อน ๆ น่าจะเข้าใจคอนเซปต์ของ hyperfocus หรือการโฟกัสอย่างสมบูรณ์ กันแล้วนะครับ นอกจากนี้ผู้เขียนยังได้นำเสนอเนื้อหาที่เป็นด้านตรงข้ามกับ hyperfocus ด้วย เขาเรียกมันว่า scatterfocus ซึ่งเป็นภาวะที่ความใส่ใจของเรากระจายไปโดยไม่ได้มุ่งไปที่อะไรเป็นพิเศษ ซึ่งตรงข้ามกับ hyperfocus ที่เราทุ่มความใส่ใจให้กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นพิเศษ
หลายคนอาจมองว่า scatterfocus เป็นผู้ร้ายที่ขโมยช่วงเวลา productive ของคุณไป แต่ผู้เขียนอยากให้คุณกำจัดความคิดแบบนั้น เพราะการที่เราใจลอยหรือฝันกลางวันก็มีพลังมหาศาลเมื่อเราอยากคิดอย่างสร้างสรรค์ หรืออยากได้ไอเดียใหม่ ๆ
ลองคิดย้อนไปถึงครั้งล่าสุดที่คุณเกิดไอเดียเยี่ยม ๆ เป็นไปได้ว่าตอนนั้นคุณไม่ได้จดจ่อกับสิ่งใดเลย คุณไม่ได้โฟกัสอยู่ด้วยซ้ำ ตอนนั้นคุณอาจกำลังอาบน้ำเพลิน ๆ กำลังเดินเล่น หรือนั่งพักผ่อน แล้วจู่ ๆ ความคิดดี ๆ ก็แล่นเข้ามาในหัว เป็นไอเดียบรรเจิดที่มาจากไหนก็ไม่รู้
ขณะที่คุณกำลังพักและเติมพลัง สมองได้เลือกจังหวะนั้นในการปะติดปะต่อไอเดียหรือข้อมูลหลาย ๆ ชิ้นที่วนเวียนอยู่ในหัวของคุณ ผู้เขียนกล่าวว่า hyperfocus เป็นโหมดสำหรับทำงานที่สร้าง productivity ส่วน scatterfocus เป็นโหมดสำหรับไอเดียสร้างสรรค์
เมื่อเราใจลอย ใจของเราจะเดินทางไป 3 สถานที่ด้วยกัน นั่นคือ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต สมองของคุณจะเชื่อมโยงสิ่งที่ได้เรียนรู้เข้ากับสิ่งที่คุณกำลังทำ หรือสิ่งที่คุณกำลังจะทำในอนาคต
ผู้เขียนบอกว่าในชีวิตประจำวันเรามีโอกาสมากมายที่จะได้ scatterfocus ตัวอย่างเช่น
- ตัดขาดจากอินเตอร์เน็ตตั้งแต่ 2 ทุ่ม ถึง 8 โมงเช้า
- ใช้เวลาอาบน้ำให้นานกว่าเดิม
- หาเรื่องให้ตัวเองเบื่อสัก 5 นาที และสังเกตว่ามีอะไรแวบเข้ามาในหัวบ้าง
- ทำอาหารไปพร้อมกับเสียงเพลง
- ไปเดินเล่นท่ามกลางธรรมชาติ
- ไปเยี่ยมชมแกลเลอรีงานศิลป์
- ออกกำลังกายโดยไม่ฟังเพลงหรือพอดแคสต์
คุณควรสลับใช้ทั้งสองโหมด ทั้ง hyperfocus และ scatterfocus คุณควรพักสมองทุกๆ 90 นาที ออกไปเดินเล่นบ้าง พักฟังเพลงบ้าง อย่าใช้พื้นที่สมาธิจนเต็ม เหลือพื้นที่ให้สมองได้แล่นไปที่อื่นได้บ้าง และ scatterfocus ยังเป็นการชาร์จพลังให้สมองที่เหน็ดเหนื่อย ช่วยให้คุณกลับมา hyperfocus อีกครั้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นี่คือเนื้อหาหลัก ๆ ของหนังสือ Hyperfocus โฟกัสถูกจุด ปักหมุดผลสำเร็จ ใครที่ฟังแล้วสนใจอยากรู้รายละเอียด สามารถหาหนังสือมาอ่านได้ครับ แปลไทยโดยสำนักพิมพ์เชนจ์พลัส ราคา 250 บาท
Leave a comment