บรรยากาศคริสต์มาสแบบนี้ ผมมีหนังสือที่เข้ากับเทศกาลมาเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังกันครับ ไอติมบุ๊คคลิป ep นี้ มาสรุปเรื่องราวจากหนังสือ A Christmas Carol ปาฏิหาริย์วันคริสต์มาส วรรณกรรมคลาสสิกฝีมือการเขียนของ ชาร์ลส์ ดิกเกนส์ เรื่องนี้เป็นนิยายขนาดสั้น เรื่องราวเกิดขึ้นในกรุงลอนดอนยุควิกตอเรีย โดยมีตัวเอกคือนายเอเบเนเซอร์ สครูจ นักธุรกิจที่ขี้เหนียว เห็นแก่ตัว และไม่สนใจใครนอกจากตัวเอง ในคืนก่อนวันคริสต์มาสเขาได้เจอกับวิญญาณ 4 ตน ที่ทำให้เขาเข้าใจถึงความเมตตา และคุณค่าของวันคริสต์มาส
นิยายเรื่องนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1843 เนื้อหาในหนังสือให้คติสอนใจเรื่องของการแบ่งปันความรักให้กับผู้คนรอบข้าง ซึ่งเป็นคำสอนหลักของศาสนาคริสต์ แม้เรื่องนี้จะเก่า เล่าเรื่องเป็นเส้นตรง ไม่มีจุดหักมุม แต่โดยรวมก็ถือว่าสนุก เหมาะกับทุกเพศทุกวัยครับ เรื่องราวในหนังสือเล่มนี้จะเป็นยังไง มาฟังกันเลยครับ
ตอนที่ 1 – ผีมาร์ลีย์
นายเอเบเนเซอร์ สครูจ เป็นนักธุรกิจเจ้าของบริษัทสครูจแอนด์มาร์ลีย์ ที่ตอนนี้เหลือเพียงเขาที่เป็นเจ้าของบริษัทนี้ เพื่อนซี้ผู้ร่วมก่อตั้งธุรกิจมาด้วยกันชื่อว่ามาร์ลีย์ตายไปเมื่อ 7 ปีที่แล้ว ในวันที่ 24 ธันวาคม ซึ่งคือคืนก่อนวันคริสต์มาส มาร์ลีย์เป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของสครูจ
ในสายตาของคนทั่วไปมองว่าสครูจเป็นคนตระหนี่ ขี้เหนียว ละโมบ โลภมาก เป็นตาแก่ใจบาป เย็นชา และแข็งกระด้าง ไม่สุงสิงกับใคร พูดด้วยน้ำเสียงร้ายกาจ เวลาที่สครูจเดินอยู่บนถนน ไม่เคยมีใครเลยที่จะทักทายเขาด้วยคำพูดว่า “สวัสดีคุณสครูจ สบายดีหรือเปล่า” ไม่มีขอทานคนไหนกล้าเข้ามาขอเงินจากเขา ไม่เคยมีใครเข้ามาถามทางจากเขา แม้แต่สุนัขนำทางคนตาบอด เมื่อเห็นสครูจเดินมาก็จะพาเจ้าของเดินหลบไปทางอื่น
ในคืนวันคริสต์มาสอีฟ หรือคืนก่อนวันคริสต์มาส วันนั้นเป็นวันที่หนาวจนเจ็บผิว และหมอกก็ลงจัด วันทั้งวันไม่มีแสงสว่าง วันนั้นสครูจยังคงนั่งทำงานอยู่ในสำนักงาน เขามีลูกจ้างหนึ่งคนชื่อว่า บ็อบ แคร็ทชิท ทำหน้าที่เสมียน ในสำนักงานอากาศหนาวไม่แพ้ข้างนอก เพราะสครูจงก เอาถ่านใส่ในเตาผิงแค่ไม่กี่ก้อน ส่วนเตาผิงในห้องของเสมียนมีถ่านแค่ก้อนเดียว แถมสครูจยังเอาลังใส่ถ่านเก็บไว้ในห้องทำงานของตัวเองอีก
วันนั้น เฟรด หลานชายวัยหนุ่มของสครูจแวะมาหาที่สำนักงาน เขาร่าเริงมากในเทศกาลแห่งความสุขเช่นนี้ พอกล่าวสุขสันต์วันคริสต์มาสให้สครูจ สครูจก็หัวเราะฮึในลำคอ แล้วพูดว่าคริสต์มาสเป็นเรื่องเหลวไหล และถามหลานชายต่อไปว่า “แกมีเหตุผลอะไรที่จะมีความสุข ทั้งที่แกจนซะขนาดนั้น”
เฟรดตอบกลับว่า “แล้วลุงมีเหตุผลอะไรที่จะบึ้งตึง ทั้งที่ลุงรวยออกอย่างนั้น”
“ไอ้หลาน แกสนุกกับคริสต์มาสในแบบของแก และปล่อยให้ฉันมีคริสต์มาสในแบบของฉันเถอะ”
“ลุงครับ คริสต์มาสเป็นช่วงเวลาที่ดี เป็นเวลาแห่งความเมตตา ให้อภัยกัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ให้มิตรไมตรีกัน ถึงแม้คริสต์มาสจะไม่ได้ให้เงินให้ทองผม แต่ผมเชื่อว่ามันให้สิ่งดี ๆ แก่ผม และผมขอพูดว่า ขอให้พระเจ้าอวยพรในวันคริสต์มาส”
เสมียนที่นั่งอยู่ในห้องเล็ก ๆ ปรบมือให้กับคำพูดของเฟรด สครูจรีบหันมาดุทันที “ถ้าผมได้ยินเสียงจากคุณอีก คริสต์มาสนี้คุณได้ตกงานแน่”
“อย่าโกรธไปเลยครับลุง ไม่เอาน่า พรุ่งนี้มากินอาหารค่ำกับพวกเราสิครับ”
สครูจบอกว่าจะไปเจอหลานชายแน่นอน ไม่ใช่ไปเจอที่บ้าน แต่เป็นในนรก เฟรดรบเร้าอยู่พักหนึ่งก็กลับไป เขากลับไปด้วยอารมณ์ร่าเริงแบบเดียวกับตอนมา จากนั้นแขกคนถัดไปก็เข้ามาในสำนักงาน ครั้งนี้เป็นชายสองคนที่มาพร้อมกับเอกสาร พวกเขามาเรี่ยไรเงินเพื่อการกุศล
“ในเทศกาลเฉลิมฉลองของปีแบบนี้ เราน่าจะมอบอาหารเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับคนยากจนนะครับ พวกเขาทุกข์ยากมาก มีหลายพันคนที่ต้องการสิ่งของจำเป็น พวกเราสองคนพยายามหาทุนมาซื้ออาหารและน้ำ กับที่อยู่อบอุ่นให้แก่คนยากจนครับ”
“แล้วไม่มีสถานสงเคราะห์หรือไง?” สครูจถาม
“มีครับ แต่หลายคนไปที่นั่นไม่ได้ และหลายคนยอมตายดีกว่าที่จะไปอยู่ที่นั่น”
“ถ้าพวกเขายอมตายก็ปล่อยให้ตายไปซะ จะได้ลดประชากรซะบ้าง ผมไม่มีเวลายุ่งเรื่องคนอื่น แค่เรื่องของผมก็ยุ่งพอแล้ว พวกคุณออกไปได้แล้ว”
พอเห็นว่าพูดไปก็ไม่ได้อะไร ชายสองคนนั้นก็เดินออกไป ระหว่างนั้นมีเด็กร้องเพลงเกี่ยวกับคริสต์มาสเดินผ่านหน้าสำนักงาน สครูจก็คว้าไม้บรรทัดขึ้นมาไล่ จนได้เวลาปิดสำนักงาน บ็อบเตรียมตัวกลับบ้าน สครูจเข้ามาพูดกับบ็อบว่า
“พรุ่งนี้คุณคงอยากหยุดทั้งวันล่ะสิ”
“ครับ ถ้าคุณสะดวก”
“ผมไม่สะดวก และก็ไม่ยุติธรรมด้วย ทำไมผมต้องจ่ายค่าจ้าง 2 ชิลลิ่งครึ่งให้คุณ ทั้งที่คุณไม่ได้มาทำงาน นี่เป็นข้ออ้างในการขโมยเงินคนอื่นทุกวันที่ 25 ธันวาคม พรุ่งนี้คุณต้องมาทำงาน และให้มาแต่เช้าด้วย”
บ็อบรับปาก แล้วก็รีบกลับบ้านเพื่อไปฉลองคืนวันคริสต์มาสอีฟกับครอบครัว ทุกคนทั้งเมืองดูจะมีความสุข แต่สครูจนั่งกินมื้อเย็นอยู่คนเดียวในร้านอาหาร พร้อมกับตรวจเงินในบัญชีไปด้วย จากนั้นเขาก็กลับบ้าน บ้านของเขาเป็นห้องชุดที่เคยมีคนอยู่กันหลายห้อง แต่ตอนนี้ทั้งอาคารมีแค่เขาอยู่เพียงคนเดียว
เพราะวันนั้นหมอกลงหนามาก สครูจหาประตูเข้าตึกไม่เจอ ทั้งที่ประตูตึกใหญ่มาก บนบานประตูมีที่เคาะประตูขนาดใหญ่ แวบหนึ่งสครูจเห็นที่เคาะประตูเป็นรูปหน้ามาร์ลีย์ พอเขามองดี ๆ หน้านั้นก็หายไป เขาไม่ใส่ใจแล้วก็เดินขึ้นห้องไป
พอถึงห้องสครูจก็ปิดประตูและล็อกถึงสองชั้น ซึ่งปกติเขาไม่ได้ทำแบบนี้ จากนั้นก็ถอดเนคไท สวมเสื้อคลุม และใส่รองเท้าแตะ แล้วมานั่งกินข้าวโอ๊ตต้มบนโซฟาข้าง ๆ เตาผิง สครูจคิดถึงใบหน้าของมาร์ลีย์บนประตู มาร์ลีย์ตายไปตั้ง 7 ปีแล้ว ทำไมถึงมาให้เห็นเอาป่านนี้ และเขาก็ได้สรุปกับตัวเองว่าสิ่งที่เห็นนั้นเป็นเรื่องเหลวไหล
แต่แล้วสครูจก็ได้ยินเสียงห้องใต้ดินเปิดออก ได้ยินเสียงโลหะกระทบกันดังอยู่ข้างล่าง คล้ายกับมีคนลากโซ่อยู่ เสียงนั้นดังขึ้นมาตามบันได และตรงมาที่ประตูห้องของเขา ทันใดนั้นผีมาร์ลีย์ก็ทะลุประตูเข้ามาในห้อง มายืนตรงหน้าสครูจที่ข้างเตาผิง มาร์ลีย์ดูเหมือนเดิมทุกอย่าง เพียงแต่ที่ข้อเท้าถูกล่ามโซ่เอาไว้กับหีบใส่สมบัติ
“แกเป็นใคร?” สครูจถาม
“ตอนมีชีวิตอยู่ฉันเป็นหุ้นส่วนของนายไง ฉันจาค็อบ มาร์ลีย์”
“แล้วนายมาก่อกวนฉันทำไม ทำไมวิญญาณถึงมาเดินอยู่บนโลกได้” สครูจถาม
“วิญญาณที่มีเคราะห์กรรมต้องเดินเร่ร่อนอยู่บนโลกร่วมกับมนุษย์” มาร์ลีย์ตอบ
“นายถูกล่ามโซ่นี่ บอกหน่อยสิว่าเพราะอะไรเหรอ?”
“โซ่ตรวนนี้ฉันสร้างขึ้นมาตอนที่ยังมีชีวิต ตอนมีชีวิตฉันไม่เคยเอาเงินพวกนี้ไปแบ่งปันใครเลย เอาล่ะสครูจ เวลาของฉันใกล้หมดลงแล้ว คืนนี้ฉันมาเตือนนายว่านายหนีจากชะตากรรมแบบที่ฉันเจอนี้ได้ หลังจากนี้นายจะเจอวิญญาณอีก 3 ตน ตนแรกจะมาวันพรุ่งนี้ตอนตีหนึ่ง ตนสองจะมาวันมะรืนเวลาเดียวกัน ส่วนตนสามจะมาตอนเที่ยงคืน นายจะไม่ได้เจอฉันแล้ว ฟังนะ เปลี่ยนแปลงตัวเองตอนนี้ยังทัน” พูดจบแล้ว ประตูต่างมิติก็เปิดออกด้านหลังมาร์ลีย์ ในนั้นมีวิญญาณนายทุนขี้เหนียวตนอื่น ๆ ดึงผีมาร์ลีย์หายเข้าไป
สครูจอยากพูดว่าสิ่งที่เห็นเป็นเรื่องเหลวไหล แต่เขาก็พูดแบบนั้นไม่ได้ สิ่งที่พบเจอในวันนี้ทำให้เขาเหนื่อยล้า ตอนนี้เขาอยากพักผ่อน จึงตรงไปนอนที่เตียงทันทีโดยยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า
ตอนที่ 2 – วิญญาณแห่งคริสต์มาสในอดีต
สครูจตื่นขึ้น เขามองออกไปนอกหน้าต่างเห็นว่ายังมืดอยู่ จากนั้นเสียงระฆังจากโบสถ์ก็ดังนั้น ตีเวลา 12 ครั้ง สครูจตกใจมาก ตอนเขาเข้านอนเป็นเวลาตีสามกว่า ตอนนี้เที่ยงคืนแล้ว หมายความว่าเขาหลับข้ามวัน สครูจกลับมานอนลงบนเตียงอีกครั้ง คิดใคร่ครวญซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเหตุการณ์เมื่อคืนก่อนคือเรื่องจริง หรือเพียงแค่ฝันไป ผีมาร์ลีย์ได้มาหาเขาจริง ๆ ไหม แล้วที่ผีมาร์ลีย์บอกว่าวิญญาณตนแรกจะมาหาเขาตอนตีหนึ่งนั้นเรื่องจริงหรือหลอก
หลังจากนั้นระฆังโบสถ์ก็ตีบอกเวลาตีหนึ่ง ทันใดนั้นในห้องของสครูจก็เกิดแสงสว่างวาบขึ้น วิญญาณตนแรกปรากฎตัว เขามีรูปร่างเหมือนเด็ก แต่มีผมยาวถึงคอเป็นสีขาวเหมือนคนแก่ สวมเสื้อคลุมยาวสีขาวที่ประดับตกแต่งด้วยดอกไม้ฤดูร้อน ซึ่งดูขัดแย้งกับตอนนี้ที่กำลังเป็นฤดูหนาว
“คุณคือวิญญาณที่มาหาผมตามที่บอกไว้ใช่ไหม?” สครูจถาม
“ใช่แล้ว” วิญญาณตอบด้วยเสียงนุ่มอ่อนโยน
“คุณคือใคร?”
“ผมคือวิญญาณแห่งคริสต์มาสในอดีต”
“คุณมาหาผมทำไม?”
“ผมมาเพื่อประโยชน์ต่อตัวคุณเอง ลุกขึ้น แล้วเดินมากับผม”
วิญญาณพาสครูจมาอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง ที่นั่นสครูจเห็นตัวเองตอนเด็กกำลังนั่งอ่านหนังสือ และเล่นกับเพื่อนในจินตนาการ สครูจวัยเด็กดูสดใสเหมือนเด็กทั่วไป พอสครูจได้เห็นตัวเองในวัยเด็กเขาก็ร้องไห้ออกมา เพราะสงสารชีวิตก่อนหน้านี้ของตัวเอง
จากนั้นภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนไป ห้อง ๆ นั้นดูมืดลง และสกปรกขึ้น สครูจวัยเด็กดูโตขึ้น เขายังคงอยู่ตามลำพังเช่นเคย ขณะที่เด็กคนอื่น ๆ กลับบ้านไปฉลองคริสต์มาสกับครอบครัวกันทุกคน ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก เด็กผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งเข้ามาในห้อง
“หนูมารับพี่กลับบ้านค่ะ หนูขอพ่ออีกครั้งว่าให้พี่กลับมาบ้านได้ไหม และครั้งนี้พ่ออนุญาต พี่คะ พี่ไม่ต้องกลับมาที่นี่อีกแล้ว และพวกเราจะได้อยู่ด้วยกันตลอดช่วงคริสต์มาส”
จากนั้นสครูจในวัยเด็กก็นั่งรถม้าออกจากโรงเรียนไปกับน้องสาว
“เธอตายตอนที่ยังเป็นสาว และผมคิดว่าเธอมีลูกด้วยใช่ไหม?” วิญญาณพูด
“ใช่ เธอมีลูกชายหนึ่งคน คือเฟรดหลานชายของผม” สครูจตอบ
จากนั้นวิญญาณก็พาสครูจมาอยู่บนถนนที่แสนวุ่นวาย มีคนสัญจรไปมามากมาย วิญญาณพาสครูจมาหยุดอยู่หน้าร้าน ๆ หนึ่ง แล้วถามขึ้นว่า “คุณจำที่นี่ได้ไหม?”
“ผมฝึกงานที่นี่นี่นา”
จากนั้นวิญญาณก็พาสครูจเข้าไปในร้าน พวกเขาเห็นชายชราสวมหมวกขนสัตว์นั่งอยู่หลังโต๊ะสูง สครูจอุทานขึ้นว่า “นั่นตาเฒ่าเฟซซิวิกนี่นา”
เฒ่าเฟซซิวิกวางปากกาลงแล้วมองดูนาฬิกา ตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งทุ่ม เฒ่าเฟซซิวิกดูตื่นเต้น จากนั้นก็ร้องออกไปว่า “สครูจ ดิ๊ก คืนนี้พวกเธอไม่ต้องทำงานแล้ว คืนนี้เป็นคืนคริสต์มาสอีฟ เรามาปิดร้านแล้วฉลองกันเถอะ”
จากนั้นภาพร้านขายของของเฒ่าเฟซซิวิกก็กลายเป็นฟลอร์เต้นรำ มีนักไวโอลีนเข้ามาเล่นเพลง ภรรยาของเฒ่าเฟซซิวิกเข้ามา คนหนุ่มสาวที่ทำงานในร้านนี้ก็เข้ามา คนทำขนมปัง คนส่งนม เจ้าของร้านคนอื่น ๆ ลูกจ้างร้านอื่น ๆ เข้ามาร่วมสนุกด้วยกันในคืนก่อนวันคริสต์มาส งานเลี้ยงเริ่มตั้งแต่หนึ่งทุ่ม ยาวไปจนห้าทุ่ม บรรดาแขกถึงจะเริ่มทยอยกันกลับบ้าน สครูจในอดีตที่ตอนนี้อยู่ในวัยหนุ่มกับดิ๊กเพื่อนสนิทสมัยที่ฝึกงานพูดชื่นชมเฒ่าเฟซซิวิกจากใจจริงที่มีน้ำใจสละเงินจัดงานเลี้ยงให้ทุกคนมีความสุข
สครูจในปัจจุบันได้ยินตัวเองพูดแบบนั้นก็ตระหนักได้ว่า เฒ่าเฟซซิวิกเป็นคนร่ำรวย เงินค่าจัดงานเลี้ยงสำหรับเขานับว่าเป็นเงินที่ไม่มากเลย เฒ่าเฟซซิวิกยอมสละเงินเพื่อให้ผู้อื่นมีความสุข การกระทำของเขานั้นยิ่งใหญ่มาก
จากนั้นภาพก็เปลี่ยนไป สครูจเห็นตัวเองกำลังทะเลาะกับภรรยา ภรรยาของเขาพูดด้วยเสียน้อยเนื้อต่ำใจว่า “สำหรับคุณ ตอนนี้มีสิ่งอื่นเข้ามาแทนที่ฉันแล้ว ถ้าสิ่งนั้นทำให้คุณมีความสุขเหมือนที่ฉันกำลังพยายามทำอยู่ ฉันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องเสียใจค่ะ”
“อะไรมาแทนที่คุณงั้นหรือ?”
“เงินทองไงคะ”
“มันก็เรื่องธรรมดานี่ ไม่มีอะไรลำบากเท่ากับความจนแล้ว คนที่พยายามสร้างตัวไม่สมควรถูกต่อว่าแบบนี้นะ”
“คุณเปลี่ยนไปแล้วค่ะ คุณกลายเป็นอีกคนไปแล้ว ไม่เหมือนที่คุณเป็นตอนที่เราสองคนยังจนอยู่ ตอนนี้เรามีหัวใจกันคนละดวง และนั่นทำให้ฉันทุกข์มาก ฉันคิดว่าฉันปล่อยคุณไปดีกว่า”
สครูจไม่สามารถทนเห็นภาพตัวเองกับภรรยาแตกหักกันได้ จึงขอให้วิญญาณพาเขากลับไปปัจจุบัน พอกลับมาได้สครูจก็รู้สึกหมดแรง เขารู้สึกง่วงมาก จึงเดินโซเซไปที่เตียงแล้วล้มลงนอน จากนั้นก็จมสู่การหลับลึก
ตอนที่ 3 – วิญญาณแห่งคริสต์มาสปัจจุบัน
สครูจตกใจสะดุ้งตื่น และลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียง เขาได้ยินเสียงระฆังจากโบสถ์บอกเวลาตีหนึ่ง แล้วเขาก็ได้เจอวิญญาณตนที่สอง วิญญาณตนนั้นเป็นยักษ์ตัวสูงใหญ่ สวมเสื้อคลุมเรียบ ๆ สีเขียวเข้ม ขอบเป็นขนสัตว์สีขาว ไม่สวมรองเท้า บนหัวสวมพวงมาลัยที่ทำจากกิ่งฮอลลี่ มีผมสีน้ำตาลยาวหยิกเป็นลอน ท่าทางสบาย ๆ พูดน้ำเสียงร่าเริงว่า “ผมคือวิญญาณแห่งคริสต์มาสปัจจุบัน”
สครูจตอบว่า “วิญญาณ พาผมไปตามที่คุณอยากพาไปเถอะ เมื่อคืนผมถูกบังคับให้ไป แต่ผมกลับได้บทเรียน คืนนี้ถ้าคุณมีอะไรจะสอนผม ผมก็ขอรับประโยชน์จากสิ่งนั้น”
“จับเสื้อคลุมผมสิ”
สครูจยื่นมือไปจับเสื้อคลุมสีเขียวเข้มของวิญญาณ แล้วพวกเขาก็วาร์ปไปยืนอยู่บนถนนในเมืองในเช้าวันคริสต์มาส ผู้คนกำลังตักหิมะออกจากทางเท้าหน้าบ้าน และจากบนหลังคา วิญญาณพาสครูจเดินมาถึงบ้านของบ็อบ แคร็ทชิท เสมียนผู้เป็นลูกจ้างของสครูจ ภรรยาของบ็อบกำลังแต่งบ้านด้วยริบบิ้น และปูโต๊ะสำหรับรอกินอาหารพร้อมหน้ากันทั้งครอบครัว
ลูกสาว และลูกชายครอบครัวแคร็ทชิททยอยมาถึงบ้านพ่อแม่ จากนั้นบ็อบก็เข้ามาพร้อมกับทิมน้อย ลูกชายที่พิการ ต้องใช้ไม้พยุงเดิน และมีแท่งเหล็กดามที่ขา ซึ่งตอนนี้กำลังป่วย เมื่อทุกคนมากันพร้อมหน้า พวกเขาก็นั่งล้อมวงบนโต๊ะอาหาร กินเนื้อห่านอบราดซอสแอปเปิ้ล คู่กับมันฝรั่งบด จากนั้นก็กินพุดดิ้งเป็นของหวานปิดท้าย
บรรยากาศของครอบครัวแคร็ทชิทในวันคริสต์มาสดูอบอุ่น แต่ก็มีแววกังวลอยู่ในใจของทุกคน พวกเขาเป็นห่วงทิมน้อยที่ตอนนี้ป่วย ขนาดคนนอกอย่างสครูจก็ยังดูออกว่าทิมน้อยดูแย่มาก ดูเหมือนเหลือชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกไม่นานนัก สครูจรู้สึกเป็นห่วงจึงถามวิญญาณไปว่า
“บอกผมหน่อยสิว่าทิมน้อยยังจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไหม?”
“เด็กคนนั้นจะตาย”
“ไม่นะ วิญญาณผู้มีเมตตา บอกผมสิว่าเขาจะรอด”
“ไม่มีใครในหมู่วิญญาณอย่างพวกผมจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แล้วยังไงล่ะ ถ้าเขาต้องตายก็จะได้เป็นการลดประชากรส่วนเกินอย่างที่คุณเคยพูดไง”
สครูจหน้าชา เพราะถูกวิญญาณตอกกลับด้วยคำพูดร้าย ๆ ที่เขาเคยพูด สครูจรู้สึกสำนึกผิด และเสียใจอย่างมาก จากนั้นวิญญาณก็สั่งสอนเขาว่า
“ถ้าคุณมีหัวใจเป็นมนุษย์ คุณจะไม่พูดความคิดร้ายกาจแบบนั้นออกมา ส่วนเกินคืออะไร วัดยังไง คุณเอาอะไรไปตัดสินว่าใครควรจะมีชีวิตอยู่ ใครควรจะตาย ในสายตาของสวรรค์ คุณอาจไม่เหมาะจะมีชีวิตอยู่ยิ่งกว่าลูกของชายที่น่าสงสารคนนี้ก็ได้”
สครูจก้มหน้ารับคำตำหนิของวิญญาณ จากนั้นเขาก็ได้ยินคนพูดชื่อของเขา เป็นบ็อบนั่นเอง บ็อบพูดว่า
“มื้อนี้เราฉลองกันได้เพราะเงินของคุณสครูจ”
บ็อบดูท่าจะสำนึกบุญคุณของสครูจในฐานะนายจ้างที่ทำให้เขามีงานทำ และมีเงินมาเลี้ยงดูครอบครัว แต่คนอื่น ๆ ไม่ได้คิดแบบนั้น โดยเฉพาะภรรยาของบ็อบ
“งั้นวันนี้เรามาดื่มให้แก่คนน่ารังเกียจ ขี้เหนียว แข็งกระด้าง และไร้หัวใจอย่างคุณสครูจกันค่ะ”
บ็อบพูดเสียงอ่อนโยนว่า “ที่รัก นี่วันคริสต์มาสนะ”
“ฉันจะดื่มอวยพรสุขภาพให้แก่เขา เพราะเห็นแก่คุณ และเห็นแก่วันคริสต์มาส ฉันขอให้เขาอายุยืน เขาคงจะมีความสุขมากแน่ ๆ เรื่องนั้นฉันไม่สงสัยเลยค่ะ”
ครอบครัวแคร็ทชิทไม่ได้ฐานะร่ำรวย ไม่ได้แต่งตัวดี แต่พวกเขาก็มีความสุขกันมาก มีความขอบคุณ ชื่นชมยินดีให้แก่กันและกัน จากนั้นวิญญาณก็พาสครูจมาที่บ้านของเฟรด ผู้เป็นหลานชายของสครูจ เฟรดเป็นคนที่อารมณ์ดีมาก ทุกคนเมื่อเห็นเขาหัวเราะก็จะหัวเราะตามไปด้วย ตอนนี้ที่บ้านของเฟรดกำลังจัดปาร์ตี้กับเพื่อน ๆ
“ลุงพูดว่าวันคริสต์มาสเป็นเรื่องเหลวไหล” เฟรดพูดติดตลก
“เขาช่างเป็นคนที่น่าละอายมากจริง ๆ” แฟนสาวของเฟรดพูด
“ลุงเขาเป็นตาแก่ที่ตลกดี เขาน่าจะมีความสุข แต่ก็ไม่มี ความมั่งคั่งที่เขามี ไม่มีประโยชน์อะไรต่อเขาเลย เขาไม่ได้ใช้มันทำอะไรดี ๆ เลย ไม่เอามาใช้ให้ตัวเองสะดวกสบายขึ้น ผมสงสารเขานะ ผมโกรธเขาไม่ได้หรอก ที่เขาต้องทนทุกข์ก็เพราะความรู้สึกที่ย่ำแย่ของตัวเอง”
จากนั้นเฟรดกับเพื่อน ๆ ก็เล่นเกมด้วยกัน อย่างเกมปิดตาไล่จับ เกมทายคำ สครูจดูหนุ่มสาวมีความสุขในวันคริสต์มาส เขาก็พลอยสนุกไปด้วย วิญญาณชวนสครูจกลับ แต่เขาก็ไม่ยอม และต่อรองเหมือนกับเป็นเด็ก ๆ
“พวกเขากำลังจะเริ่มเล่นเกมใหม่แล้ว ขอผมอยู่ดูต่ออีกครึ่งชั่วโมงนะวิญญาณ”
กว่าจะรู้ตัวเวลาก็ล่วงเลยมาถึงเที่ยงคืนแล้ว เวลาของวิญญาณตนที่สองซึ่งเป็นวิญญาณแห่งคริสต์มาสปัจจุบันหมดลงแล้ว ตอนนี้ได้เวลาของวิญญาณตนที่สามซึ่งเป็นวิญญาณแห่งคริสต์มาสในอนาคต
ตอนที่ 4 – วิญญาณแห่งคริสต์มาสในอนาคต
วิญญาณตัวที่สามซึ่งเป็นตัวสุดท้ายที่จะมาหาสครูจ คือวิญญาณแห่งคริสต์มาสในอนาคต วิญญาณตนนี้มีเสื้อผ้าสีดำสนิทปกคลุมร่างกาย ปิดใบหน้ามิด จนมองไม่เห็นอะไรนอกจากมือสองข้างที่ยื่นออกมา วิญญาณตนนี้ไม่พูดอะไร ทำให้สครูจรู้สึกหวาดหวั่นกับบุคลิกดูลึกลับของวิญญาณ
วิญญาณยกสครูจเหาะขึ้นไปในความมืด แล้วพาลงมาอยู่ใจกลางเมืองในตอนกลางวัน ตรงที่เป็นตลาดหุ้น มีนักธุรกิจเดินไปมา บางส่วนก็จับกลุ่มพูดคุยกัน มือของวิญญาณชี้ไปที่คนกลุ่มหนึ่ง สครูจเลยตั้งใจฟังว่าคนพวกนั้นคุยอะไรกัน
“เขาตายเมื่อไหร่นะ?”
“คิดว่าตายเมื่อคืนนะ”
“เกิดอะไรขึ้นกับเขาหรือ?”
“พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงทราบ”
“แล้วเขาทำยังไงกับเงินของเขา?”
“ไม่รู้สิ เขาคงทิ้งไว้ให้บริษัทของเขาละมั้ง”
“ใครจะจัดงานศพให้เขา เพราะผมไม่เห็นว่าจะมีใครอยากไปร่วมงานศพของเขาเลย คงต้องขอให้กลุ่มอาสาสมัครจัดงานศพให้”
“ผมไปได้นะ ถ้าที่งานศพเขาเลี้ยงอาหารกลางวัน” พูดแล้วคนทั้งกลุ่มก็หัวเราะชอบใจ ไม่มีใครเป็นเดือดเป็นร้อน หรือตกใจกับการตายของสครูจเลย
จากนั้นวิญญาณก็พาสครูจมายังร้านขายของเก่า มีคนกลุ่มหนึ่งหอบผ้าห่อใหญ่เข้ามาในร้าน ข้างในนั้นเป็นสมบัติที่ขโมยมาจากบ้านของสครูจ มีทั้งเสื้อผ้า รองเท้า เครื่องเงิน หรือแม้กระทั่งผ้าปูเตียง และผ้าม่าน เอามาให้เจ้าของร้านขายของเก่าตีราคา
สครูจมองดูคนเหล่านั้นด้วยความชิงชัง และรังเกียจ เขาสั่นไปทั้งตัว และพูดกับวิญญาณว่า “วิญญาณ ผมเห็นแล้ว ตอนนี้ชีวิตผมอาจได้ลงเอยแบบนี้จริง ๆ คุณช่วยให้ความมั่นใจกับผมหน่อย ว่าผมยังเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยการเปลี่ยนชีวิตตัวเองเสียใหม่ ผมจะยกย่องวันคริสต์มาส ผมจะไม่ลืมบทเรียนจากเหล่าวิญญาณทั้งสาม”
สครูจอ้อนวอน และจับมือของวิญญาณเอาไว้แน่น แต่วิญญาณผลักไสเขาออกไป สครูจยกมือทั้งสองข้างขึ้นอ้อนวอนขอให้ชะตากรรมของเขาพลิกเปลี่ยน จากนั้นเขาก็วาร์ปมาอยู่บนเตียงในห้องของตัวเอง
สครูจลุกขึ้นมาสำรวจห้องของตัวเอง ข้าวของสมบัติของเขายังอยู่ครบ ไม่ได้ถูกโจรขโมยไป ภาพที่วิญญาณตนสุดท้ายพาไปดูยังไม่ได้เกิดขึ้น สครูจคร่ำครวญกับตัวเองว่า
“ฉันจะมีชีวิตอยู่ วิญญาณทั้งสามจะสถิตอยู่ในตัวฉัน ฉันจะยกย่องช่วงเวลาแห่งคริสต์มาส” สครูจทั้งร้องไห้ ทั้งหัวเราะ ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนตัวเองได้เกิดใหม่ “ฉันรู้สึกเบาเหมือนขนนก มีความสุขเหมือนเทวดา สุขสันต์วันคริสต์มาสแด่ทุกคน”
สครูจเพิ่งตระหนักได้ว่าตอนนี้เขาไม่รู้วันรู้คืน หลังจากออกไปท่องประสบการณ์กับวิญญาณทั้งสามตน เขารีบออกมาจากบ้าน ได้เจอกับเด็กชายคนหนึ่ง จึงถามเด็กชายคนนั้นไปว่า
“วันนี้เป็นวันอะไรหรือพ่อหนูน้อย?”
“วันนี้ก็วันคริสต์มาสไงครับ”
“วันคริสต์มาส! ฉันยังไม่ได้พลาดอะไรไป วิญญาณทำทั้งหมดนั่นในเวลาแค่คืนเดียว เอ่อ พ่อหนู เธอรู้จักร้านขายเนื้อไก่ที่อยู่ตรงมุมถนนไหม พวกเขาขายไก่งวงที่ราคาแพงที่สุดไปรึยัง?”
“ตอนนี้มันยังแขวนอยู่ที่ร้านครับ”
“งั้นหรือ หนูช่วยไปซื้อมาหน่อยสิ แล้วให้เขาเอามาส่งที่นี่ ฉันจะให้ค่าจ้างหนูหนึ่งชิลลิ่ง แต่ถ้าหนูมาภายใน 5 นาที ฉันจะให้ค่าจ้างหนูเพิ่มเป็นสองชิลลิ่ง”
ได้ยินแล้วเด็กชายก็รีบวิ่งออกไปเร็วยังกับยิงปืน สครูจตั้งใจว่าจะมอบไก่งวงตัวนั้นให้ครอบครัวของบ็อบเพื่อเป็นของขวัญวันคริสต์มาส โดยไม่ให้ร้านบอกว่าส่งมาจากสครูจ หลังจากจัดการเรื่องไก่งวงเสร็จ สครูจก็ตรงไปที่บ้านของเฟรดผู้เป็นหลานชาย เขาตั้งใจมากินมื้อค่ำตามคำชวนของเฟรดเมื่อวานนี้ สครูจได้อยู่ในบรรยากาศงานเลี้ยงที่แสนวิเศษ ได้อยู่เล่นเกมกับหนุ่มสาววัยหลาน สครูจรู้สึกถึงความสุขที่แสนวิเศษ
วันรุ่งขึ้นสครูจรีบไปที่สำนักงานตั้งแต่เช้าตรู่ แต่พอถึงเวลาเข้างานแล้วบ็อบยังไม่ปรากฏตัว บ็อบมาสาย 18 นาที พอมาถึงบ็อบก็รีบแขวนหมวก และเสื้อคลุม จากนั้นนั่งลงที่โต๊ะแล้วรีบทำงานทันที
สครูจแกล้งถามบ็อบว่า “หมายความว่ายังไงถึงมาเอาป่านนี้?”
“ขอโทษครับ วันนี้ผมมาสาย”
“งั้นคุณช่วยมาตรงนี้หน่อย”
บ็อบลุกขึ้นมาหาสครูจ “ปีนี้ผมมาสายแค่ครั้งเดียวเองครับ มันจะไม่เกิดขึ้นอีก เมื่อวานผมสนุกมากน่ะครับ”
“ผมจะบอกอะไรให้นะ ผมจะไม่ทนเรื่องแบบนี้แล้ว เพราะฉะนั้นผมจะขึ้นเงินเดือนให้คุณ สุขสันต์วันคริสต์มาสนะบ็อบ เพื่อนที่แสนดีของผม คุณทำดีให้ผมมากกว่าที่ผมทำให้คุณเสียอีก ผมจะขึ้นเงินเดือนให้คุณ และช่วยดูแลครอบครัวที่ลำบากของคุณ เรื่องนั้นเราเอาไว้คุยกันหลังบ่าย ตอนนี้เรามาดื่มไวน์ และจุดเตาผิงให้อุ่นกันก่อน”
ด้วยความช่วยเหลือจากสครูจ ทำให้ทิมน้อยรอดชีวิตจากอาการป่วย ทิมน้อยรักสครูจราวกับเป็นพ่อคนที่สองของเขา ตอนนี้สครูจกลายเป็นเพื่อนที่ดี เป็นเจ้านายที่ดี เป็นคนดี จนคนในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้สังเกตเห็น หลังจากนั้นสครูจไม่ได้เจอวิญญาณตนใดอีกเลย เขาใช้ชีวิตต่อด้วยความสมถะ
เรื่องราวในหนังสือ A Christmas Carol ปาฏิหาริย์วันคริสต์มาส จบลงเพียงเท่านี้ครับ ฟังจบแล้วหลายคนอาจรู้สึกว่าสครูจเป็นนายทุนที่ไร้หัวใจ แต่มีคนวิเคราะห์ไว้ครับว่าหากมองข้ามเรื่องนิสัยส่วนตัวแล้ว สครูจก็ไม่ใช่คนเลวร้าย เขาคือนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ เขาสะสมความมั่งคั่งมาอย่างถูกกฏหมาย ตอนที่เขาถูกชักชวนให้บริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือคนยากไร้ สครูจก็มีเหตุผลที่ฟังขึ้นว่าทำไมเขาถึงไม่ยอมบริจาคเงิน เขามองว่าตัวเขาเสียภาษีอย่างถูกต้อง และภาษีนั้นถูกรัฐนำไปจัดสรร แบ่งงบประมาณไปช่วยคนยากไร้ผ่านสถานสงเคราะห์ ทุกอย่างมีระบบของมันอยู่แล้ว เขาไม่เห็นสมควรที่ต้องสละเงินของตัวเองอีก
แนวคิดนี้ของสครูจไม่ได้ผิดเลย เพียงแต่ดูไม่น่ารัก ดูไม่โอบอ้อมอารีย์ ตามบรรทัดฐานที่สังคมมองว่าคนที่มีมากก็ควรสละให้แก่คนที่ขาดแคลนบ้าง
นอกจากนี้มีคนวิเคราะห์ว่าผู้เขียนอย่างชาร์ลส์ ดิกเกนส์ ตั้งใจเขียนให้สครูจเป็นตัวแทนของนายทุนในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ที่ใครปรับตัวไปตามกระแสได้ก็จะสามารถกอบโกยจนรวยล้นฟ้า ขณะที่คนจำนวนมากวิ่งตามไม่ทัน และหลุดออกจากระบบ เพราะรัฐจัดสรรโอกาส และสวัสดิการได้ไม่ทั่วถึง จนกลายเป็นคนทุกข์ยาก ต้องทำงานหนักหลายชั่วโมง เพื่อแลกกับค่าแรงที่ต่ำ แม้ในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมจะมีหลายประเทศที่ร่ำรวยขึ้น แต่ความเจริญนี้ก็ไม่ได้เผื่อแผ่ไปถึงทุกคน ซึ่งเป็นการตั้งคำถามถึงผู้อ่านว่าระบบสังคมแบบนี้ คือโลกที่น่าปรารถนาสำหรับมนุษย์หรือเปล่า
สนใจหนังสือ A Christmas Carol: ปาฏิหาริย์วันคริสต์มาส
สามารถสั่งซื้อได้ที่ Shopee: https://s.shopee.co.th/VqB63xqrR
ซื้อผ่านลิงค์เป็นการสนับสนุนช่องครับ
Leave a comment