กิจวัตรยามเช้าที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณ มาใช้เวลา 1 นาทีหลังตื่นนอนสร้างชีวิตที่ยอดเยี่ยมกัน

Share
Share

“อยากให้วันนี้เป็นแบบไหน?” คุณเคยถามแบบนี้กับตัวเองตอนที่เพิ่งตอนนอนไหมครับ บางคนอาจคิดว่าการคุยกับตัวเองแบบนี้มันแปลก ๆ แต่การถามคำถามตัวเองในตอนเช้าเป็นเรื่องง่ายที่ใช้เวลาไม่ถึง 1 นาที แต่มีพลังพลิกชีวิตให้ดีขึ้นได้ครับ เพราะเวลาในยามเช้าถือเป็นจุดเริ่มต้นของวัน เป็นช่วงเวลาที่จะตัดสินว่าในวันนั้น ๆ เราจะมีชีวิตแบบไหน

ไอติมอ่าน ep นี้ มาแนะนำเนื้อหาในหนังสือ “1 นาที ปาฏิหาริย์หลังตื่นนอน” เขียนโดย มัตสึดะ มิฮิโระ หนังสือเล่มนี้นำเสนอ 30 กิจวัตรที่ทำได้ง่าย ๆ ในตอนเช้า และเพิ่มพูนความสุขของวันนั้น ๆ ได้ เมื่อคุณรู้ว่าต้องทำยังไงถึงจะมีความสุข ก็ให้ทำสิ่งนั้นจนเป็นนิสัย และนี่จะเป็นจุดเริ่มต้นในการยกประสิทธิภาพการใช้ชีวิตใน 1 วันของคุณ

30 กิจวัตรที่นำเสนอในหนังสือแบ่งเป็น 3 หมวดหมู่ ได้แก่ Question, Action และ Plan หมวดหมู่ละ 10 กิจวัตร ผู้เขียนบอกว่าไม่จำเป็นต้องทำทั้งหมด จะเริ่มจากกิจวัตรไหนก่อนก็ได้ และไม่จำเป็นต้องทำติดต่อกันทุกวัน แค่ทำด้วยความรู้สึกว่า “วันนี้ลองทำสิ่งนี้ดูหน่อยดีกว่า”

แม้หนังสือจะพูดถึงกิจวัตรหลังตื่นนอน แต่ไม่ได้บอกให้เราต้องตื่นนอนตอนเช้าตรู่ คุณจะตื่นตอนตี 4 หรือตื่น 10 โมงเช้าก็ไม่เป็นปัญหา เพียงแค่ตื่นมาแล้วเลือกทำกิจวัตรในหนังสือสักหนึ่งอย่างก็พอ มาดูกันครับว่าทั้ง 30 กิจวัตรนั้นมีอะไรบ้าง โดยเริ่มจาก 10 กิจวัตรแรกในหมวด Question กันก่อน


กิจวัตรที่ 1: ตั้งคำถามว่าตอนนี้รู้สึกยังไง

คุณเคยถามตัวเองตอนเพิ่งตื่นว่าตอนนี้รู้สึกยังไงบ้างไหมครับ คนส่วนใหญ่มองว่าไม่จำเป็นต้องถามหรอก เพราะเราย่อมรู้ความรู้สึกของตัวเองดี แต่รู้ไหมครับว่าในสมองคนเรามีอารมณ์ความรู้สึกหลากหลายกว่าที่คิด และไม่สามารถพูดออกมาได้ทั้งหมด

เมื่อถามตัวเองว่า “ตอนนี้รู้สึกยังไง?” คำตอบที่ได้นี่แหละคือความรู้สึกโดยรวมของตัวเราในตอนนี้ เมื่อคุณเข้าใจความรู้สึกนั้นก็จะกำหนดงานที่ต้องทำในวันนี้ และจัดลำดับความสำคัญของงานเหล่านั้นตามความรู้สึกของตัวเองได้

เมื่อคุณได้คำตอบแล้ว ให้ตั้งคำถามกับคำตอบนั้นอีกที แล้วคุณจะเจอวิธีแก้ปัญหานั้นได้ครับ เช่น ถ้าคุณตอบว่า “เช้านี้รู้สึกหงุดหงิดยังไงไม่รู้” ก็ให้คุณถามตัวเองต่อไปว่า “ทำไมถึงรู้สึกหงุดหงิด” การรู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไง แล้วตั้งคำถามเกี่ยวกับประเด็นนั้นไปเรื่อย ๆ จะช่วยให้คุณจัดการกับสาเหตุที่ทำให้คุณรู้สึกแบบนั้นได้ครับ


กิจวัตรที่ 2: ตั้งคำถามว่าต้องเป็นวันแบบไหนถึงจะยอดเยี่ยม

การถามตัวเองหลังตื่นนอนว่า “วันนี้ต้องเป็นวันแบบไหนถึงจะยอดเยี่ยม” เป็นการตั้งโปรแกรมให้สมองออกคำสั่งให้คุณทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์นั้นครับ สมองของเรามีกลไกอย่างหนึ่งคือ เมื่อถูกตั้งคำถาม สมองจะพยายามค้นหาสิ่งที่ทำให้ไปสู่คำตอบโดยอัตโนมัติ วิธีใช้กลไกนี้ให้มีประสิทธิภาพคือ ต้องตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน


กิจวัตรที่ 3: ตั้งคำถามว่าสิ่งที่ตั้งตารอของวันนี้คืออะไร

ไม่ว่าใครก็คงอารมณ์ดีในวันที่มีแผนการสนุก ๆ แต่ก็ใช่ว่าเราจะมีเรื่องให้สนุกร่าเริงทุกวัน ดังนั้นคุณต้องสร้างความรู้สึกสนุกด้วยตัวเอง โดยการหาสิ่งที่คุณตั้งตารอที่จะทำในวันนี้สัก 1 อย่าง เช่น

  • ดื่มกาแฟลาเต้
  • ดูหนังหรือซีรีส์
  • เล่นกับสัตว์เลี้ยง
  • ร้องเพลง
  • นอนกลางวัน
  • ซื้อของออนไลน์
  • กินขนม

กิจวัตรที่ 4: ตั้งคำถามว่าสิ่งที่ทำได้ในวันนี้ที่จะช่วยให้เข้าใกล้ความฝันคืออะไร

ชีวิตคนเราเกิดจากการสั่งสมเวลาในแต่ละวัน ดังนั้นการตระหนักอยู่เสมอว่า “เวลาของวันนี้จะส่งผลต่อชีวิตของตัวเอง” จึงเป็นสิ่งสำคัญ

หากถามคน 100 คนด้วยคำถามว่า “คุณอยากใช้ชีวิตแบบไหน?” คงได้คำตอบมา 100 แบบ แต่ไม่ว่าคำตอบของคุณจะเป็นแบบไหน หากไม่มุ่งหน้าไปสู่เป้าหมายนั้น คุณก็ไม่มีทางได้ใช้ชีวิตแบบที่ฝัน

เพื่อไม่ให้ลืมเป้าหมาย คุณลองถามตัวเองในตอนตื่นนอนดูนะครับว่า สิ่งที่ทำได้ในวันนี้ที่จะช่วยให้เข้าใกล้ความฝันมากขึ้นคืออะไร การก้าวเดินเล็ก ๆ ในวันนี้จะนำไปสู่ความฝันอันยิ่งใหญ่ ทำให้คุณกลายเป็นคนที่แตกต่างจากเดิมในอีก 1 เดือน, 1 ปี หรืออีก 10 ปีข้างหน้า


กิจวัตรที่ 5: ตั้งคำถามว่าสิ่งที่ต้องทำในวันนี้ให้ได้คืออะไร

การถามตัวเองว่า “สิ่งที่ต้องทำในวันนี้ให้ได้คืออะไร?” จะช่วยให้คุณตระหนักว่าในบรรดาสิ่งที่ต้องทำในวันนี้ อะไรคือสิ่งที่จำเป็นต้องทำมากที่สุด ทำให้คุณสามารถแบ่งสิ่งที่จำเป็นต้องทำกับสิ่งที่ยังไม่จำเป็นต้องทำออกจากกันได้ชัดเจน และทุ่มเทพลังให้กับเรื่องสำคัญได้อย่างเต็มที่


กิจวัตรที่ 6: ตั้งคำถามว่าใครคือคนสำคัญที่สุดสำหรับตัวเอง

เมื่อถูกถามว่า “ใครคือคนสำคัญที่สุดสำหรับตัวเอง?” ส่วนใหญ่อาจตอบว่าลูก, ครอบครัว, พ่อแม่ หรือสัตว์เลี้ยง แต่พอถามซ้ำอีกรอบว่า “ใครคือคนสำคัญที่สุดจริง ๆ สำหรับตัวเอง?” คนส่วนใหญ่อาจตอบว่า “คงเป็นตัวเองละมั้ง”

เมื่อคนตระหนักว่าตัวเองสำคัญที่สุด แต่พอโดนถามว่า “แล้วคุณได้ให้เวลากับตัวเองมากน้อยแค่ไหน?” คนส่วนใหญ่ก็จะตกใจว่า “เอ๊ะ ฉันก็อยู่กับตัวเองตลอดเวลาอยู่แล้วนี่”

การให้เวลากับตัวเอง คือเวลาที่เราจะได้เป็นตัวของตัวเอง ได้ทำอะไรที่ผ่อนคลาย เช่น พาสุนัขออกไปเดินเล่น, เล่นเกม, ไปช้อปปิ้ง หรือเข้าร้านเสริมสวย ให้คุณลงเวลานัดหมายกับตัวเองสำหรับทำสิ่งเหล่านี้ เหมือนกับลงเวลานัดหมายสำหรับเรื่องงานหรือการนัดกับเพื่อน

คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่า “เวลาว่าง = เวลาของตัวเอง” แต่ชีวิตปัจจุบันของพวกเรามีเวลาว่างแบบนั้นด้วยเหรอครับ ผู้เขียนบอกว่าเราจะมีเวลาว่างได้ก็ต่อเมื่อเราสร้างมันขึ้นมา


กิจวัตรที่ 7: ตั้งคำถามว่าวันนี้อยากขอบคุณใคร

สังคมปัจจุบันเต็มไปด้วยความเครียด บางวันเราก็ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึก “หงุดหงิดยังไงบอกไม่ถูก” ผู้เขียนบอกว่าคำถามที่ทำให้อารมณ์หงุดหงิดหายไปโดยรวดเร็วที่สุดคือ “วันนี้อยากขอบคุณใคร?”

เหตุผลที่ทำให้คนเราหงุดหงิดนั้นมีหลากหลาย แต่ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลใดก็ล้วนมีจุดร่วมเดียวกันคือ “ไม่มีความรู้สึกขอบคุณ” ตัวอย่างเช่น ภรรยาหงุดหงิดที่สามีไม่ช่วยทำงานบ้าน บางทีอาจเป็นเพราะภรรยาลืมความรู้สึกขอบคุณที่มีต่อสามี ถ้ามองสามีด้วยมุมมองที่ต่างไป เช่น “เขาตั้งใจทำงานหาเงินเข้าบ้าน เลยไม่เหลือแรงทำงานบ้านสินะ” แบบนี้ภรรยาก็มีโอกาสหายหงุดหงิดสามีได้

เมื่อจดจ่อกับความรู้สึกขอบคุณ คุณก็จะไม่เบนสายตาไปมองเรื่องแย่ ๆ และเริ่มสัมผัสได้ว่าตัวเองมีความรู้สึกที่มั่นคงขึ้น ดังนั้นควรฝึกขอบคุณให้เป็นนิสัย แล้วโลกที่คุณมองเห็นอยู่จะเปลี่ยนไปจากเดิม


กิจวัตรที่ 8: ตั้งคำถามว่าวันนี้อยากทำให้ใครดีใจ

ตอนที่เราทำให้ใครสักคนดีใจ เราจะมีความสุขมากกว่าตอนที่คนอื่นทำให้เราดีใจ ลองนึกถึงความรู้สึกที่คุณสละที่นั่งบนรถไฟให้ใครสักคน คุณรู้สึกยังไงตอนที่อีกฝ่ายยิ้ม แล้วพูดว่า “ขอบคุณ” คุณคงจะมีความสุขและอิ่มเอมใจ มากกว่าตอนที่มีคนสละที่นั่งให้คุณใช่ไหมครับ

ถ้าคุณอยากมีความสุขก็ต้องใจดีกับคนอื่นก่อน ดังนั้นตอนที่เพิ่งตื่นลองตั้งคำถามกับตัวเองดูครับว่า “วันนี้อยากทำให้ใครดีใจ” ทั้งนี้คุณไม่จำเป็นต้องใช้เงินเพื่อทำให้คนอื่นดีใจหรอกนะครับ คุณเพียงแค่ทำเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างการส่งข้อความไปถามไถ่เพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนานแล้ว, ทำเซอร์ไพร์สเล็ก ๆ ให้แฟนโดยไม่ต้องใช้เงินเยอะ เพราะสำหรับอีกฝ่าย การที่คุณใส่ใจและทำให้เขารู้สึกว่าคุณให้ความสำคัญกับเขา แค่นี้ก็เป็นเรื่องน่าดีใจแล้ว


กิจวัตรที่ 9: ตั้งคำถามว่าแบบนี้มันดีแล้วแน่เหรอ

มนุษย์เรามีการเคยชินกับสภาพแวดล้อม ตัวอย่างเช่น ตอนที่เพิ่งเข้าทำงานที่ใหม่ ไม่ว่าใครก็รู้สึกตื่นเต้นกันทั้งนั้น แต่พอทำงานที่เดิมไปได้สักพัก เราจะคุ้นชินและปรับตัวได้ในที่สุด นานวันเข้าก็จะรู้สึกสบายกับสภาพแวดล้อมนั้น

พอเรารู้สึกไม่เครียด เราจะทำสิ่งต่าง ๆ ที่เคยทำโดยไม่จำเป็นต้องใช้ความคิด ไม่ได้ใช้สมองคิดหาไอเดีย งานที่ไม่ต้องใช้ความคิด ในอนาคตจะถูก AI แทนที่ในที่สุดครับ คุณต้องฝึกสงสัยเรื่องที่ทำบ่อยจนกลายเป็นเรื่องปกติ

ทำแต่งานเดิม ๆ น่าเบื่อจังเลยนะ

ไม่มีเรื่องสนุก ๆ บ้างเลยหรือไงนะ

เบื่องานที่ทำอยู่ตอนนี้จัง

หากคุณมีความคิดแบบนี้ ลองถามตัวเองด้วยคำถามว่า “แบบนี้มันดีแล้วแน่เหรอ?” เช่น ตอนที่คุณทำเอกสารเสร็จโดยไม่คิดอะไร ให้ลองหยุดคิดสักนิดว่า “แบบนี้มันดีแล้วแน่เหรอ?” นั่นจะทำให้คุณได้พิจารณาเอกสารจากมุมมองใหม่ ๆ คุณอาจปิ๊งไอเดียใหม่ ๆ ที่ไม่เคยคิดมาก่อน ซึ่งทำให้สามารถทำเอกสารออกมาได้ดีกว่าเดิม

คุณสามารถนำวิธีการนี้มาใช้กับชีวิตประจำวันได้ อย่างการมองทิวทัศน์ที่ผ่านตาระหว่างเดินทางไปทำงานทุกวัน ถ้าคุณตั้งข้อสงสัยว่า ถนนเส้นนี้เชื่อมไปที่ไหนนะ?, ร้านนี้เห็นบ่อย เขาขายอะไรนะ?, ต้นไม้ต้นนี้ชื่ออะไรนะ? การสงสัยเรื่องต่าง ๆ จะทำให้ความรู้ของคุณเพิ่มพูนขึ้น ช่วยขยายความเป็นไปได้ของคุณให้มากขึ้นตามไปด้วย


กิจวัตรที่ 10: ตั้งคำถามว่าถ้าวันนี้คือวันสุดท้ายจะทำอะไร

การถามตัวเองว่า “ถ้าวันนี้คือวันสุดท้ายจะทำอะไร?” ไม่ใช่คำถามที่ทำให้คุณเกิดความรู้สึกในแง่ลบนะครับ แต่มันช่วยให้คุณระลึกถึงความรู้สึกต่อเรื่องราวและผู้คนที่อยู่รอบตัวคุณในตอนนี้

ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว, เพื่อน หรือคนในที่ทำงานที่เจอกันเป็นเรื่องปกติ ลองคิดว่า “ถ้าเราเจอกับคนคนนี้เป็นครั้งสุดท้ายจะทำอะไร?” จะช่วยให้คุณรู้สึกแตกต่างไปจากเดิม และตระหนักว่าตัวเองรู้สึกขอบคุณอีกฝ่าย

ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของมนุษยชาติ คุณจะคิดถึงใครครับ คนที่สำคัญสำหรับคุณคือใคร? ใครที่คอยช่วยเหลือค้ำจุนคุณอยู่เสมอ? เมื่อหาคำตอบได้ คุณจะอยากอยู่กับคนเหล่านั้นแน่นอน


ต่อไปเป็นกิจวัตรที่ 11-20 ซึ่งผู้เขียนจัดให้อยู่หมวด Action การลงมือปฏิบัติเล็ก ๆ น้อย ๆ สามารถยกระดับความพึงพอใจในแต่ละวันได้อย่างน่าทึ่ง

กิจวัตรที่ 11: ลองอินพุตข้อมูลในตอนเช้าสัก 1 นาที

เวลาที่สมองว่างเปล่าผู้เขียนจะอ่านหนังสือ โดยเริ่มอ่านจากบทนำและสารบัญ จากนั้นก็พลิกดูเนื้อหาแบบผ่าน ๆ เพื่อหาคำสำคัญ เขาบอกว่าการทำแบบนี้ช่วยให้เข้าใจประเด็นที่หนังสือต้องการจะสื่อได้

หนังสือที่ผู้เขียนเลือกอ่าน มักเป็นหมวดหมู่ที่เขาไม่ได้สนใจเป็นพิเศษ ทำให้เขาค้นพบสิ่งที่คาดไม่ถึง ช่วยจุดประกายความคิดใหม่ ๆ คุณเองก็ลองอ่านหนังสือตอนตื่นนอนสัก 1 นาที เพื่ออินพุตข้อมูลดูนะครับ


กิจวัตรที่ 12: เขียนความรู้สึกของตัวเองออกมาแล้วอ่านออกเสียง

คนส่วนใหญ่มักเริ่มต้นวันใหม่โดยที่ไม่ตระหนักรู้ว่าอารมณ์ของตัวเองเป็นอย่างไร เราจะแค่รู้สึกว่า “วันนี้รู้สึกไม่ค่อยอยากทำอะไรเลย” หรือ “รู้สึกเบื่อยังไงไม่รู้” โดยที่ไม่ได้พยายามค้นหาสาเหตุที่ทำให้รู้สึกแบบนั้น

การทำความเข้าใจความรู้สึกของตัวเอง ไม่ใช่สิ่งที่ทำแค่ในหัวอย่างเดียวได้ เนื่องจากความคิดเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตา คุณควรเริ่มเขียนสิ่งที่ตัวเองคิดอยู่ตอนนี้ลงในสมุดหรือแอพบนมือถือ นั่นจะทำให้คุณพิจารณาความคิดของตัวเองด้วยสายตาที่เป็นกลางได้

นอกจากนี้คุณควรถามตอบกับตัวเองถึงความรู้สึกนั้นแบบออกเสียงด้วย เมื่อทำแบบนี้แล้วคุณจะค้นพบวิธีคิดใหม่ ๆ เช่น

ตอนนี้รู้สึกยังไง?

– รู้สึกสับสนวุ่นวายยังไงไม่รู้

แล้วคิดว่าต้องทำยังไงถึงจะใจเย็นขึ้น

– ถ้าสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก็น่าจะใจเย็นลงได้นะ

ในช่วงแรกอาจทำได้ยากพอสมควร แต่เมื่อคุณพูดคุยโต้ตอบกับตัวเองซ้ำไปซ้ำมา คุณจะสัมผัสได้ว่าตัวเองตั้งคำถามได้เก่งขึ้น และหาคำตอบได้ง่ายขึ้น


กิจวัตรที่ 13: มองใบหน้าของตัวเอง

ลองตั้งใจมองใบหน้าของตัวเองดูนะครับ แล้วคุณจะรู้ระดับพลังงานของตัวเองในวันนั้น ๆ หากคุณมองใบหน้าของตัวเองจนเป็นนิสัย คุณจะสามารถเทียบใบหน้าของตัวเองในเมื่อวานกับวันนี้ได้ ตัวอย่างเช่น “วันนี้หน้าบวมจัง สงสัยเมื่อวานคงดื่มหนักเกินไป” สีหน้าในตอนเช้าเป็นสิ่งที่บ่งบอกสภาพร่างกายของเราอย่างตรงไปตรงมา ดังนั้นมามองใบหน้าของตัวเองอย่างพินิจพิเคราะห์ให้มากขึ้น เพื่อหาคำตอบกันครับ


กิจวัตรที่ 14: เปิดผ้าม่านเพื่ออาบแดดตอนเช้า

แสงแดดยามเช้าช่วยปรับสมดุลของนาฬิกาชีวิต ช่วยให้สารเซโรโทนินซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความสุขหลั่งออกมามากขึ้น ทำให้คุณเริ่มต้นวันใหม่ได้อย่างมีความสุข นี่คือวิธีที่ทำให้ตัวเองอารมณ์ดีแบบง่าย ๆ แต่ได้ผลดีเยี่ยมครับ


กิจวัตรที่ 15: ทำบอดี้สแกน

การทำบอดี้สแกนในความหมายของผู้เขียนคือ เมื่อลืมตาตื่นแล้วจะยังคงนอนราบอยู่บนเตียง จากนั้นค่อย ๆ เพ่งความสนใจไปยังร่างกายทีละส่วน โดยเริ่มจากปลายเท้าไปถึงศีรษะ เพื่อดูว่าส่วนไหนมีปัญหาอะไรหรือเปล่า เช่น “วันนี้ปวดหัวเข่าแฮะ” หรือ “รู้สึกว่าคอตึง ๆ”

พอรู้อย่างนี้คุณจะสามารถวางแผนและรับมือกับปัญหาเหล่านั้นได้ ถ้าวันนี้ปวดเข่าก็ไม่ต้องใส่รองเท้าหนัง แต่ใส่รองเท้าผ้าใบที่ช่วยซับแรงกระแทกแทน ถ้าวันนี้คอตึง ๆ ก็จะได้นัดหมอนวดหลังเลิกงาน

การไม่สนใจกับความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ ของร่างกายในตอนเช้าแล้วใช้ชีวิตตามปกติ อาจส่งผลให้อาการเจ็บป่วยเลวร้ายลง ดังนั้นหลังตื่นนอนลองทำบอดี้สแกนดูนะครับ


กิจวัตรที่ 16: จดจ่อ 1 นาที

การจดจ่อสามารถทำได้หลายวิธี ที่เห็นบ่อยคือการหลับตาแล้วทำสมองให้ว่าง พยายามหายใจเข้าออกช้า ๆ ไปด้วย การจดจ่อเพียง 1 นาทีจะทำให้คุณรู้สึกว่าช่วงเวลาที่เร่งรีบกลับผ่อนคลายและช้าลง


กิจวัตรที่ 17: ทำการยืนยันกับตัวเอง

คนญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับถ้อยคำมาก มีคนจำนวนไม่น้อยชอบเขียนเป้าหมายหรือความปรารถนาลงในกระดาษแล้วพกติดตัว  เพื่อให้สามารถหยิบออกมาอ่านได้ตลอดเวลา ช่วยให้คำนั้นประทับและตราตรึงอยู่ในจิตใต้สำนึก วิธีการนี้มีชื่อเรียกว่า “การยืนยันกับตัวเอง” หรือ Affirmation ครับ


กิจวัตรที่ 18: อย่าเปิดโทรทัศน์แบบไร้จุดหมาย

ในโทรทัศน์มีบางข้อมูลที่ทำให้รู้สึกแย่ เช่น ข่าวอาชญากรรม หรือบางข้อมูลก็ดึงให้เราไปหมกมุ่นกับมัน แถมข้อมูลจากโทรทัศน์มาจากฝั่งเดียว ไม่รอบด้าน ถ้าคุณเปิดโทรทัศน์แบบไร้จุดหมาย นั่นแปลว่าคุณกำลังรับเอาข้อมูลที่ไม่มีประโยชน์เข้ามาในหัว

แต่ไม่ได้หมายความว่าโทรทัศน์จะไม่มีอะไรดีเลย หากคุณตั้งใจอยากดูรายการตลกเพื่อคลายเครียดก็สามารถเปิดดูได้ หรือถ้าศิลปินที่คุณติดตามมาออกรายการ คุณก็สามารถเปิดดูได้


กิจวัตรที่ 19: หาวิธีผ่อนคลายง่าย ๆ ในแบบของตัวเอง

หากอยากมีช่วงเวลาดี ๆ ในตอนเช้า ต้องหาวิธีผ่อนคลายที่ช่วยให้คุณแยกตัวเองเมื่อวานกับตัวเองในวันนี้ออกจากกัน ผู้เขียนใช้วิธีเผาใบเสจทุกเช้าหลังตื่นนอน ทำให้สมองของเขาจดจำไปแล้วว่ากลิ่นใบเสจ = วันใหม่

อีกตัวอย่างของวิธีผ่อนคลายง่าย ๆ คือการเปิดเพลงคลาสสิกฟัง มีงานวิจัยมากมายบอกว่าเพลงคลาสสิกช่วยให้ผ่อนคลายและมีสมาธิ หลายคนเลือกฟังเพลงคลาสสิกให้ตรงกับอารมณ์ความรู้สึกของวันนั้น ถ้าวันไหนอยากคึกคักให้ฟังเพลงของเบโธเฟน ถ้าอยากสงบจิตสงบใจให้ฟังเพลงของโมสาร์ท


กิจวัตรที่ 20: ลงมือทำโดยมองไปที่วันพรุ่งนี้

หากเราไม่ตรวจตารางงานของตัวเองล่วงหน้า แล้วมาทำในตอนเช้า อาจเกิดเหตุการณ์ทำนองว่า “แย่ละ อีก 5 นาทีมีนัดประชุม” เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องแบบนั้น การเตรียมตัวให้พร้อมตั้งแต่คืนก่อนหน้าจึงเป็นเรื่องสำคัญ

ช่วงเวลาก่อนนอนให้คิดว่า “พรุ่งนี้ต้องเป็นแบบไหนถึงจะยอดเยี่ยม” หรือ “พรุ่งนี้ตื่นมาแล้วอยากรู้สึกแบบไหน” ผู้เขียนพบว่าการใช้เวลาก่อนนอนอย่างเหมาะสม ทำให้ประสิทธิภาพของเวลาในตอนเช้าดีขึ้น


ต่อไปเป็นกิจวัตรที่ 21-30 ซึ่งอยู่ในหมวด Plan การร่างแผนสร้างอนาคต

กิจวัตรที่ 21: ทำรายชื่อติดต่อ

หลัก ๆ งานที่เราทำแบ่งเป็นงานที่ต้องลงมือทำและงานที่ต้องติดต่อสื่อสารกับคนอื่น ผู้เขียนแนะนำว่าอย่าเอางานที่ต้องติดต่อสื่อสารไปปนกับตารางงานที่ต้องลงมือทำ แต่ให้เขียนแยกออกมาเป็นอีกหนึ่งรายการ

แม้งานติดต่อสื่อสารจะใช้เวลาไม่นาน แต่หากเอามารวมกันก็ทำให้งานอื่นไม่คืบหน้าได้ การแยกงานเหล่านี้ออกมาเป็นรายชื่อที่ต้องติดต่อทำให้ช่วยลดความสับสน ทำให้เราจดจ่อกับงานที่มีความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ ได้อย่างเต็มที่


กิจวัตรที่ 22: ตัดสินใจว่าอะไรคือสิ่งที่ไม่ต้องทำก็ได้

บางคนแพ้ให้กับคำขอของคนอื่น เช่น “ช่วยทำเอกสารให้เสร็จภายในวันนี้หน่อยนะ” ถ้าเป็นอย่างนั้นคุณก็ไม่สามารถใช้ชีวิตในแบบของตัวเองได้ คุณต้องฝึกจิตใจให้เข้มแข็ง โดยถามกับตัวเองว่า “มันเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องทำตอนนี้เลยหรือเปล่า” ถ้าไม่เร่งด่วนก็ให้คุณจดลงไปในรายการสิ่งที่ยังไม่ต้องทำครับ โดยจดลงกระดาษหรือโพสต์อิท แล้วนำไปแปะไว้ในที่ที่มองเห็นได้ง่าย


กิจวัตรที่ 23: รู้ว่าช่วงเวลาที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพคือช่วงไหน

มีคำกล่าวว่า “มนุษย์ทำงานได้มีประสิทธิภาพในช่วงเช้า” แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะเป็นแบบนั้น บางคนหัวแล่นตอนกลางคืน คุณควรรู้ว่าตัวเองมีประสิทธิภาพสูงสุดช่วงไหน เมื่อรู้แล้วให้กำหนดงานสำคัญไปทำในเวลานั้น


กิจวัตรที่ 24: ใส่ช่วงนั่งเหม่อลงในตารางงานด้วย

เวลาไม่ได้คิดอะไรอย่างช่วงที่นั่งเหม่อ สมองจะเข้าสู่โหมด DMN หรือ Default Mode Network ซึ่งว่ากันว่าโหมดนี้สมองจะทำงานมากกว่าปกติถึง 15 เท่า นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงเกิดไอเดียดี ๆ ตอนที่นั่งเหม่อ

แน่นอนว่าคนที่งานยุ่งย่อมไม่อยากเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ แต่ตารางงานที่แน่นจนเกินไปจะทำให้สมองจดจ่อกับอะไรได้ไม่นานและมีประสิทธิภาพลดลง ด้วยเหตุนี้เราจึงควรมีเวลาที่ได้เอาตัวออกจากงานเพื่อนั่งอยู่เฉย ๆ บ้าง


กิจวัตรที่ 25: รักษา “เวลาของฉัน” ที่เอาไว้ใช้ทำเรื่องที่รู้สึกดี

สำหรับคนที่ตารางงานแน่นตั้งแต่ 9 โมงเช้า ไปจนถึง 6 โมงเย็น การจะจดจ่อกับทุกงานเป็นเวลาติดต่อกันหลายชั่วโมงไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้เขียนได้แนะนำวิธีจัดการกับเวลาที่เรียกว่า “เทคนิคโพโมโดโร” ที่จะแบ่งเวลาออกเป็น ทำงาน 25 นาที สลับกับหยุดพัก 5 นาที

การแบ่งเวลาออกเป็นช่วง ๆ โดยใช้นาฬิกาจับเวลา จะกระตุ้นให้เราพยายามทำงานให้เสร็จ ส่งผลให้จดจ่อได้ดีขึ้นโดยอัตโนมัติ ช่วยให้เราประเมินเวลาที่จะใช้ทำงานได้ง่าย จัดตางรางงานได้ง่าย ลดเวลาการนั่งแช่อยู่ที่โต๊ะอย่างไม่มีจุดหมาย ช่วงเวลาพัก 5 นาทีที่เป็นช่วงเวลาของฉัน คุณจะใช้เพื่อเล่นเกมสัก 1 ด่าน หรืออ่านการ์ตูนสัก 1 ตอนก็ได้ครับ


กิจวัตรที่ 26: ประเมินว่าต้องใช้เวลามากแค่ไหนในการทำงานสำคัญอันดับหนึ่งของวัน

หากมีงานมากมาย แต่ไม่รู้ว่างานที่สำคัญที่สุดคืออะไร ผลสุดท้ายทุกงานจะเสร็จแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ การฝึกตัดสินใจว่าอะไรสำคัญเป็นอันดับหนึ่งให้เป็นนิสัยจะช่วยขัดเกลาทักษะการเลือก, ทักษะการตัดสินใจ และทักษะการลงมือทำให้มีประสิทธิภาพยิ่งกว่าเดิมได้

เมื่อตัดสินใจแล้วว่างานไหนสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง ให้พิจารณาต่อไปว่างานนั้นต้องใช้เวลามากแค่ไหนและจดบันทึกเอาไว้ เมื่อทำงานเสร็จให้เอาเวลาที่ใช้ทำจริงมาเทียบกับเวลาที่ประเมินว่าต่างกันมากน้อยแค่ไหน เช่น “คิดไว้ว่าจะเสร็จภายใน 2 ชม. แต่ทำจริงใช้เวลาตั้ง 3 ชม.” การรู้ระดับความเร็วในการทำงานของตัวเองจะช่วยให้จัดตารางงานได้ง่ายขึ้น และกระตุ้นให้คุณพยายามทำให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนด จนมีสมาธิจดจ่อโดยไม่รู้ตัวครับ


กิจวัตรที่ 27: จดบันทึก

ผู้เขียนแนะนำให้จดบันทึกสิ่งต่าง ๆ ที่เราทำในชีวิตประจำวัน เช่น ดื่มกาแฟไปกี่แก้ว, ใช้เวลากินข้าวนานเท่าไหร่ การจดบันทึกแบบนี้ช่วยให้เรารู้เกี่ยวกับนิสัยของตัวเองอย่างเป็นรูปธรรม

หากคุณมีความคิดอยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง สิ่งที่ควรรู้เป็นอย่างแรกคือนิสัยในปัจจุบันของตัวเอง เพราะไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าควรเปลี่ยนแปลงอะไร การจดบันทึกเป็นทางลัดที่จะช่วยให้คุณรู้จักตัวเองมากขึ้นครับ


กิจวัตรที่ 28: กำหนดธีมของวันนี้

การกำหนดธีมจะช่วยให้คุณเห็นภาพตัวเองในหนึ่งวันได้ชัดเจนขึ้น ธีมของแต่ละวันจะเป็นอะไรก็ได้ อาจจะเกี่ยวข้องกับงาน, ชีวิตส่วนตัว หรืองานอดิเรกก็ได้ ตัวอย่างธีมที่ผู้เขียนยกตัวอย่างเช่น วันนี้จะให้ความสำคัญกับครอบครัว, วันนี้จะทำตัวสบาย ๆ, วันนี้จะอยู่เฉย ๆ

เมื่อกำหนดธีมได้แล้ว คุณจะพบว่าตัวเองมีพฤติกรรมสอดคล้องกับธีมนั้นไปเองโดยอัตโนมัติ คุณจะรู้ว่าสิ่งที่จำเป็นหรือไม่จำเป็นต้องทำสำหรับวันนี้คืออะไร


กิจวัตรที่ 29: แบ่งประเภทเรื่องที่ให้ความสำคัญออกเป็น 5 ด้าน

การแบ่งประเภทจะทำให้คุณเห็นตัวตนในอุดมคติของตัวเองได้ชัดเจนขึ้น โดย 5 ด้านที่ว่านั้นได้แก่

  1. Wellness (ความอยู่ดีมีสุข) เรื่องที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ
  2. Relationship (ความสัมพันธ์) เรื่องของครอบครัว, คู่ชีวิต, เพื่อนในที่ทำงาน
  3. Finance (การเงิน) ทัศนคติเกี่ยวกับเรื่องเงินและวิธีใช้เงิน
  4. Pleasure (ความรู้สึกยินดี) เรื่องที่ทำให้รู้สึกยินดี หรือมีความสุข
  5. Growth (การเติบโต) เรื่องที่ทำให้เราเติบโตขึ้น

ทุกวันนี้เราได้ยินคำว่า “ใช้ชีวิตให้สมกับเป็นตัวเอง” หรือ “ใช้ชีวิตอย่างที่ตัวเองต้องการ” แต่หลายคนไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่สมกับเป็นตัวเอง หรือไม่รู้ว่าตัวเองต้องการชีวิตแบบไหน การแบ่งประเภทเรื่องที่ให้ความสำคัญออกเป็น 5 ด้านจะช่วยนำทางไปสู่ชีวิตที่สมกับเป็นตัวเองครับ


กิจวัตรที่ 30: ทำรายการความหวัง

สิ่งสำคัญสำหรับชีวิตที่มีความสุขคือ “ความยินดี” และ “ความหวัง” ไม่ว่าจะมีเงินมากหรือประสบความสำเร็จมาก แต่หากไม่รู้สึกยินดีก็ไม่อาจเรียกชีวิตแบบนั้นว่าเป็นชีวิตที่มีความสุขได้ นอกจากนี้ อีกสิ่งที่จะเป็นพลังในการมีชีวิตอยู่คือความหวัง

หากมีความหวัง แม้จะเกิดเรื่องแย่ ๆ คุณก็ยังอยากใช้ชีวิตอยู่ต่อไป ลองเขียนรายการความหวังที่เป็นสิ่งที่คุณอยากได้หรืออยากเป็นในสักวัน เช่น

  • อยากใช้ชีวิตในบ้านที่มีสวนใหญ่ ๆ ใกล้ชิดธรรมชาติ
  • อยากมีเพื่อนจากทั่วโลก
  • อยากใช้ชีวิตที่ได้เดินทางท่องโลกบ่อย ๆ
  • อยากอยู่อย่างแข็งแรงไปจนอายุ 100 ปี

ไม่จำเป็นต้องเขียนแต่เรื่องที่มีโอกาสเป็นจริงได้ในตอนนี้ หากมีเรื่องที่อยากได้หรืออยากเป็นในสักวันหนึ่งก็เขียนออกมาได้เลยครับ การกลับมาทบทวนรายการความหวังจะช่วยให้เรารู้ว่าชีวิตกำลังเดินทางไปทิศใด และเราความปรับทิศทางยังไง

ทั้งหมดนี้คือ 30 กิจวัตรที่ทำได้ง่าย ๆ ในตอนเช้า โดยใช้เวลาเพียงแค่ 1 นาที เพื่อใช้สำหรับวางแผนของแต่วันให้คุณได้ใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการ “วันนี้” ที่คุณสร้างขึ้นจะสะสมจนกลายเป็น 1 สัปดาห์, 1 เดือน, 1 ปี และสุดท้ายจะกลายเป็นชีวิตที่คุณต้องการ ใครสนใจอยากอ่านเนื้อหาเพิ่มเติม สามารถหาซื้อมาได้ครับกับหนังสือ “1 นาที ปาฏิหาริย์หลังตื่นนอน” เขียนโดย มัตสึดะ มิฮิโระ ตีพิมพ์เป็นภาษาไทยโดยสำนักพิมพ์ WeLearn ราคา 220 บาทครับ

สนใจหนังสือ 1 นาทีปาฏิหาริย์หลังตื่นนอน
สามารถสั่งซื้อได้ที่ Shopee: https://s.shopee.co.th/9UhO7rOLiP
ซื้อผ่านลิงค์เป็นการสนับสนุนช่องครับ

Share

Leave a comment

Leave a Reply

What's New

สรุปเนื้อหาและแนะนำหนังสือที่น่าสนใจ ชวนเพื่อน ๆ มาพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้นในทุก ๆ วันไปด้วยกันครับ

Copyright 2025 Aitim and Co. All rights reserved

error: Content is protected !!