แท็กซี่คันนี้รับส่งความหวัง หนังสือที่มอบความหวังให้คุณมีกำลังใจในการใช้ชีวิต

Share
Share

ชูอิจิ เป็นหัวหน้าครอบครัว ทำงานหาเลี้ยงภรรยาและลูกสาว เขาเป็นพนักงานขายประกันชีวิต ที่อยู่มาวันหนึ่งลูกค้าเกิดยกเลิกกรมธรรม์พร้อมกันเป็นสิบ ๆ ราย ทำให้เดือนหน้าเขาต้องโดนลดเงินเดือน และจะโดนลดไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะหาลูกค้าใหม่มีแทนได้

เงินเดือนที่จะได้ไม่พอใช้จ่ายในครอบครัว เขาเก็บความเครียดไว้คนเดียว ไม่กล้าบอกคนที่บ้าน แล้ววันหนึ่งขณะกำลังจะไปธุระและโบกเรียกแท็กซี่ เขาพบแท็กซี่คันหนึ่งที่ให้เขานั่งฟรี และจะพาเขาไปยังที่ที่เขาสมควรไปที่สุด เป็นที่ที่จะพลิกชีวิตเขา

แท็กซี่พาชูอิจิเดินทางไปหลายสถานที่ ระหว่างการเดินทางเขาได้เรียนรู้เคล็บลับการใช้ชีวิตมากมาย แม้จะผิดหวังจากที่ที่หนึ่ง แต่ก็ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง จนสุดท้ายชูอิจิก็ได้พบกับชีวิตที่ตัวเองมีความสุขและตั้งหลักได้อีกครั้ง

หนังสือเรื่องนี้พูดถึงเรื่องโชค ชูอิจิคิดว่าเขาโชคไม่ดีที่จู่ ๆ โดนลูกค้ายกเลิกกรมธรรม์พร้อมกัน คนขับแท็กซี่ก็ให้ความเห็นเรื่องโชคเอาไว้ว่า

คำที่อธิบายภาพของโชคได้อย่างถูกต้อง ไม่ใช่ดีหรือร้าย แต่เป็นใช้กับสะสม หรือก็คือเราต้องสะสมก่อนถึงจะมีโชคให้ใช้ บางคนสะสมไปใช้ไป บางคนสะสมให้ได้เยอะๆ แล้วใช้ทีเดียว ต่างคนต่างก็มีรูปแบบเป็นของตัวเอง

ชีวิตมนุษย์มีจุดที่โชคชะตาพลิกผันอย่างสุดขั้วอยู่ และมนุษย์ก็มีเสารับสัญญาณที่สามารถรับรู้เรื่องนั้นได้ติดตัวกันทุกคน เสารับสัญญาณที่ว่านี้จะทำงานได้ดีที่สุดเวลาเราอารมณ์ดี ในทางตรงกันข้าม เวลาเราอารมณ์เสีย เสารับสัญญาณจะไม่ทำงาน พูดอีกอย่างก็คือ ต่อให้สิ่งดีมหาศาลแค่ไหนมาเยือน ถ้าอารมณ์เสียเราก็จะจับสัญญาณไม่ได้ จนสิ่งดีหลุดมือไป ดังนั้นควรยิ้มรับโชคเข้าไว้

ชูอิจิรู้สึกน้อยใจที่บางคนเหมือนโชคดี ไม่ต้องพยายามมากก็ประสบความสำเร็จ คนขับแท็กซี่ให้ความเห็นเรื่องนี้ไว้ว่า

อย่าเอาชีวิตตัวเองไปเทียบกับใคร ต่อให้คนอื่นได้อะไรมากกว่า ไปได้สวยกว่า ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเรา จดจ่อกับชีวิตของตัวเองพอ

ตอนนี้ชูอิจิรู้แล้วว่าถ้าอยากเปิดให้โชคเข้ามาหาต้องยิ้มแย้มและคิดบวก เขาคิดว่าเขาพยายามปั้นยิ้มออกมาได้ และพยายามคิดบวกว่ากำลังจะไปเจอสิ่งดี ๆ คนขับแท็กซีก็บอกความหมายของการคิดบวกให้ฟังว่า

คิดบวก ไม่ใช่คิดว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต้องเป็นเรื่องที่ดี แต่ให้คิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นประสบการณ์ที่มีค่าและจำเป็นต่อชีวิตเรา

เวลาที่มีอะไรก็ตามเกิดขึ้นในชีวิต ณ ตอนนั้นเราไม่มีทางรู้ได้ว่าจะเป็นเรื่องบวกหรือลบ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ควรคิดว่ามันเป็นประสบการณ์ที่จำเป็นสำหรับตัวเรา นั่นล่ะคือสิ่งที่เรียกว่าการใช้ชีวิต

ถ้าคิดว่า “เป็นแบบนี้ไม่แน่อาจดีแล้วก็ได้” มันจะทำให้เราสนุกกับสิ่งที่เกิดขึ้น

สุดท้ายคนขับแท็กซี่บอกแนวคิดของสังคมมนุษย์ว่าเหมือนพวกเราอยู่กันในนิทานชีวิตที่ดำเนินไปชั่วนิรันดร์ เราอยู่กันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยกันมานาน กว่าบ้านเมืองจะเจริญอย่างทุกวันนี้ เป็นเพราะคนรุ่นก่อนพัฒนาขึ้นมา ในยุคสงครามก็มีคนที่ต่อสู้เสียเลือดเนื้อเพื่อปกป้องลูกหลาน

ความรู้สาขาต่าง ๆ บนโลกก็ถูกค้นพบและเก็บสะสมต่อยอดมาเรื่อย ๆ จนเกิดเทคโนโลยีให้เราใช้ได้อย่างสะดวกสบาย ถนนที่รถกำลังวิ่งก็เกิดจากหลายคนช่วยกันสร้างจนสำเร็จ

เราทุกคนเหมือนมีส่วนร่วมในนิทานชีวิตที่ดำเนินไปชั่วนิรันดร์

คนเราเกิดมามีชีวิตอย่างมาก 100 ปีแล้วตายไป ถ้าตอนที่จากไป คุณได้ทิ้งสิ่งที่มีค่า หรือเป็นประโยชน์ให้นิทานเรื่องนี้มากกว่าตอนที่เกิดมา เท่ากับว่าการที่คุณเคยมีชีวิตอยู่ ถือเป็นเรื่องบวกแล้ว

ฉะนั้นอาจสรุปได้ว่า คนเราเกิดมาเพื่อสร้างสิ่งดี ๆ ส่งต่อให้คนรุ่นหลังสืบต่อไป

คนเขียนบอกว่ากว่าจะได้หนังสือเล่มนี้มา ต้องพบปะคนมากมาย เพื่อพูดคุยเรียนรู้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ ผลงานเล่มนี้เป็นผลมาจากการสะสมสิ่งทั่ได้จากการพบปะเหล่านั้น

สนใจหนังสือ แท็กซี่คันนี้รับส่งความหวัง
สามารถสั่งซื้อได้ที่ Shopee: https://s.shopee.co.th/6KnMD9cDpD
ซื้อผ่านลิงค์เป็นการสนับสนุนช่องครับ

Share

Leave a comment

Leave a Reply

What's New

สรุปเนื้อหาและแนะนำหนังสือที่น่าสนใจ ชวนเพื่อน ๆ มาพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้นในทุก ๆ วันไปด้วยกันครับ

Copyright 2025 Aitim and Co. All rights reserved

error: Content is protected !!