หลายคนน่าจะพอรู้จักหมอไท หรือ นายแพทย์กฤตไท ธนสมบัติกุล ผ่านโซเชียลตามเพจสำนักข่าวต่าง ๆ ที่ช่วง 1-2 ปีมานี้เขาได้รับความสนใจจากการออกมาแชร์เรื่องราวการต่อสู้กับมะเร็งระยะสุดท้าย อะไรเป็นแรงใจให้หมอหนุ่มอนาคตไกลมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อสู้กับโรคร้ายได้ มีอะไรที่เขาได้เรียนรู้จากโรคมะเร็งนี้บ้าง หลายอย่างที่หมอไทได้เขียนไว้ในหนังสือ สู้ดิวะ มีประโยชน์มาก ในไอติมฮีลใจ ep นี้ ผมจะมาแนะนำให้เพื่อน ๆ ได้รู้จักเรื่องราวของหมอไทกันครับ
หมอไทเล่าว่าเขามั่นใจในสุขภาพตัวเองมาก เข้ายิมสม่ำเสมอ เป็นถึงนักกีฬาบาสตัวแทนคณะแพทย์แข่งระดับประเทศ กินอาหารคลีน ไม่สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์น้อยมาก ไม่เครียดกับงานที่ทำ นอนสี่ทุ่ม ตื่นหกโมงเช้า แล้ววันหนึ่งเขาก็มีอาการไอ มีเสมหะบ้าง ไอแห้งบ้าง เป็นอยู่ประมาณสองเดือนไม่หายสักที พอมีเวลาว่างเลยไปตรวจอย่างจริงจัง
วันที่ 3 ตุลาคม 2565 เป็นวันที่หมอไทไม่มีตารางงาน จึงไปเอกซเรย์ปอด ผลออกมาปรากฎว่าปอดข้างขวาของเขาเหลืออยู่ครึ่งเดียว มีก้อนและน้ำอยู่ในปอดด้านขวา ปอดซ้ายมีก้อนเนื้อเล็ก ๆ เต็มไปหมด จากนั้นคุณหมอได้ตรวจร่างกายอย่างละเอียด จนวินิจฉัยได้ว่าเขาเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย มีเนื้อร้ายหลักขนาดเกือบ 9 ซม. ที่ปอดด้านขวา ขนาดของมันใหญ่พอ ๆ กับหัวใจ นอกจากนี้มะเร็งยังกระจายไปที่เยื่อหุ้มปอดและปอดซ้ายอีกหลายจุด แถมกระจายไปที่สมองอีก 13 ก้อน

ตลอดชีวิตหมอไทใช้ชีวิตมาอย่างดี เขาวางแผนทุกอย่างอย่างรอบคอบ วางเป้าหมายให้ชีวิต พยายามและทุ่มเทตามแผนที่วางไว้ หลังจากเรียนคณะแพทย์จบใน 6 ปี เขาได้เรียนแพทย์เฉพาะทางต่ออีก 3 ปีทันที โดยเลือกเรียนสาขาเวชศาสตร์ครอบครัว พร้อม ๆ กับทำงานเป็นแพทย์ใช้ทุนไปด้วยที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ นอกจากนี้ยังลงเรียนแพทย์เฉพาะทางอีกหนึ่งสาขาคือ ระบาดวิทยาคลินิก และเรียนปริญญาโทด้าน data science คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ไปด้วยอีกหนึ่งใบ เพราะมองว่าอนาคตการรู้วิธีจัดการกับข้อมูลจะช่วยเป็นแต้มต่อในการทำธุรกิจ
หมอไททำทุกอย่างออกมาสำเร็จใน 3 ปี เขาจบแพทย์เฉพาะทางทั้ง 2 ใบ และจบ ป.โท จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ หลังจากนั้นเขาได้รับการบรรจุเป็นอาจารย์ประจำศูนย์ระบาดวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้เป็นอาจารย์หมอสมที่ตั้งใจไว้
ชีวิตในวัย 28 ของหมอไทผ่านการลงทุนในตัวเองมาอย่างหนักหน่วง เขาเพิ่งได้เก็บเกี่ยวดอกผลจากการลงทุนนั้น เขารักงานที่ตัวเองทำ มีหัวหน้าที่อยากเห็นเขาเติบโต มีเพื่อนร่วมงานที่พร้อมสนับสนุน มีคนรักที่พร้อมจะสร้างครอบครัวไปด้วยกัน แต่ดันมาเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้ายเสียก่อน
หมอไทได้เล่าชีวิตของเขาว่า วัยเด็กเขาเติบโตมาในครอบครัวใหญ่เชื้อสายจีนที่ อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี วัยเรียนเข้ามาอยู่ในกรุงเทพ เพราะตามพ่อแม่ที่มารับราชการในกรุงเทพ แล้วช่วงที่หมอไทอยู่ ม.ต้น พ่อแม่ของเขาก็แยกทางกัน หมอไทอยู่กับแม่และน้องสาว จังหวะนั้นเขาคิดว่าตัวเองต้องเป็นผู้ใหญ่ทันที เพื่อดูแลแม่กับน้องสาว เขาพยายามพัฒนาตัวเองโดยการอ่านหนังสือ
หมอไทเรียนที่โรงเรียนสวนกุหลาบ ตอนอยู่ชั้น ม.5 เขายังไม่รู้ว่าจะเรียนต่อคณะไหนดี จนอากงของเขาเข้าโรงพยาบาล ต้องนอนในห้องไอซียู ตอนนั้นหมอไทรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าที่ไม่สามารถช่วยอะไรคนที่ตัวเองรักได้ แล้วเขาก็เกิดความคิดว่าอยากเป็นหมอเพื่อจะได้รักษาคนที่ตัวเองรัก

ตอนนั้นเหลือเวลาอีกไม่ถึงหนึ่งปีก่อนสอบเข้ามหาลัย แต่หมอไทเห็นเป้าหมายของตัวเองชัดเจนมาก และรู้ว่าตัวเองกำลังอยู่ในจุดไหน เขาใช้ทั้งแรงกายและแรงใจเอาชนะเป้าหมายที่ตั้งไว้ จนสอบติดคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ การจากบ้านมาอยู่เชียงใหม่ตัวคนเดียว ทำให้เขาเติบโตขึ้นอีกขั้น
หมอไทบอกว่าการเรียนหมอไม่มีอะไรซับซ้อน เขามีเวลาไปเข้าชมรมบาส ได้เป็นเดือนคณะ หมอไทพยายามทำทุกอย่างให้ออกมาดี อยากเอาผลการเรียนดี ๆ ไปให้อากงอาม่าได้ภูมิใจ ระหว่างที่เรียนอยู่เชียงใหม่ เขาแทบไม่ได้กลับบ้าน จนอาม่าของเขาเสีย เขาก็ได้บทเรียนว่าควรหันมาใช้ชีวิตในแต่ละวันให้สมดุล ไม่ว่าจะยุ่งแค่ไหน เขาจะหาเวลามาให้ครอบครัว คนสำคัญ และคนรอบข้าง สร้างช่วงเวลาดี ๆ ที่ได้อยู่ด้วยกัน เพราะไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เหมือนคำกล่าว “ความสุขไม่ได้อยู่ที่ปลายทาง ทว่าเกิดขึ้นระหว่างทางที่เราเดินไป”
ไม่ว่าใครหากตรวจพบว่าตัวเองป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ย่อมคิดว่าตัวเองโชคร้าย ทำไมต้องเป็นตัวเองที่ป่วยโรคนี้ด้วย แน่นอนว่าหมอไทก็มีความรู้สึกแบบนี้ในตอนแรก เขาคิดว่าทำไมเรื่องนี้ต้องเกิดขึ้นกับเขา ทำไมคนอื่นถึงได้มีชีวิตที่โชคดีนัก ทำไมเรื่องนี้ไม่เกิดขึ้นกับคนที่สูบบุหรี่จนปากดำ หมอไทบอกว่าชุดความคิดแบบนี้ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น และเป็นการปฏิเสธความจริงตรงหน้า
หมอไทกลับมาถามตัวเองว่า ทำไมต้องเป็นผม? มันต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่าง ต้องมีอะไรให้เขาเรียนรู้ หรือเพราะโลกต้องการให้เขาทำอะไรบางอย่าง ความเจ็บป่วยนี้สามารถสร้างประโยชน์ให้คนอื่นได้ยังไงบ้างนะ?
หมอไทได้เปลี่ยนความคิดมามองในมุมผู้ชนะ แม้เขาจะสูญเสียอะไรไปมากมาย แต่เขาก็ยังเหลืออะไรอีกตั้งมากมายเหมือนกัน เขามีเพื่อน ๆ หลายคนที่บอกว่าอยากป่วนแทนถ้าทำได้ เขายังสามารถกินข้าวได้อร่อยเหมือนเดิม ยังได้เขียนเรื่องราวแบ่งปันให้คนมากมายได้อ่านบนอินเตอร์เน็ต ได้รับคำขอบคุณจากคนบนโลกออนไลน์ว่าการได้เห็นเขามีแรงใช้ชีวิต ทำให้คนอ่านหันไปสู้กับชีวิตตัวเองบ้าง
แทนที่จะมองสิ่งที่ขาด แต่เราเลือกจะมองสิ่งที่มีอยู่แล้วเอ็นจอยไปกับมันได้ หมอไทบอกว่าเขาไม่สามารถรอให้ต้องหยุดยา รอให้เส้นผมขึ้นเต็มหัว รอให้ร่างกายหายปวด หรือรอให้ภูมิคุ้มกันกลับมาเป็นปกติ แล้วถึงค่อยกลับไปใช้ชีวิตได้ เขาไม่รอให้เนื้อทุกก้อน ทุกแผลหายไปก่อน แล้วค่อยมีความสุข ทุกช่วงเวลาล้วนสำคัญ ทุกวันมีความหมาย ทุกนาทีคือโอกาส เราสามารถมีความสุขได้เลยในตอนนี้

จากที่ผมได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ผมคิดว่าหมอไทน่าจะเป็น perfectionism คนหนึ่ง เขาวางแผนชีวิตและทำตามแผนที่วางไว้ จนทุกอย่างออกมาตามที่ต้องการ แน่นอนว่าคนที่ลงทุนลงแรงและเวลามากขนาดนี้ ย่อมหวังว่าอนาคตจะต้องสวยงาม แต่พอพบว่าทุกอย่างกำลังจะจบสิ้น เพราะป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ซึ่งก็เป็นธรรมดาหากเขาจะรู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรง
หมอไทกลับมายืนหยัดได้อีกครั้งด้วยความคิดที่ว่า เขาไม่ใช่คนหนุ่มคนแรกที่ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ตัวเราล้วนเป็นคนธรรมดาที่อาจแค่เกิดมาแล้วตายไปแบบไม่มีใครจำได้ สิ่งที่เราพยายามทำอาจไม่ได้ยิ่งใหญ่อย่างที่เราคิด ชีวิตนี้อาจจะไม่ได้สนุกมาก แต่ก็เป็นชีวิตที่โอเค
ชีวิตคนเราก็เหมือนคลื่นทะเลที่วิ่งซัดเข้ากับโขดหิน แล้วก็แตกสลายกลับไปเป็นน้ำทะเล ทะเลยังคงเป็นทะเลเหมือนเดิม แล้วจะมีคลื่นลูกใหม่วิ่งเข้ามาซัดโขดหิน แตกสลายหลายเป็นน้ำ แล้ววนแบบนี้ไม่รู้จบ เราล้วนเป็นคลื่นลูกหนึ่ง เราเกิดมาแล้วสักวันก็ต้องตายไป
เมื่อรู้แล้วว่าเราเป็นคนธรรมดาที่มีเวลาจำกัด เราก็จะใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น สะดวกแบบไหนก็ใช้ชีวิตแบบนั้น เรามีเวลาน้อยเกินกว่าจะทำตัวไม่น่ารักกับใคร ความสุขกับความสำเร็จ บางทีเราก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก่อนกัน แค่การได้นอนเต็มอิ่ม แล้วตื่นมาได้กินของอร่อย ได้สร้างเสียงหัวเราะกับคนที่รัก แค่นี้ก็เป็นชีวิตธรรมดาที่แสนมีความสุขแล้ว
ในบทท้าย ๆ ของหนังสือเล่มนี้ หมอไทชวนให้เราลองถามกับตัวเองว่า “ทำไมเราถึงยังตายไม่ได้?” อะไรเป็นเหตุผลที่เรายังต้องอดทนมีชีวิตอยู่ต่อไป บางครั้งถึงกับต้องดิ้นรนด้วยซ้ำ ชีวิตของเราเป็นสิ่งที่แสนเปราะบาง และควบคุมอะไรไม่ได้เท่าไหร่ ชีวิตที่บางครั้งก็ตอบแทนเราด้วยความผิดหวังอย่างซ้ำ ๆ
บางครั้งเราอาจให้กำลังใจตัวเอง หรือมีคนอื่นมาพูดกับเราว่า “สู้ดิวะ” แต่คำถามคือเราจะสู้ไปทำไม จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องธรรมดาที่เข้าใจง่ายมาก หากมีใครคนหนึ่งที่สู้กับอะไรสักอย่างมาสักพัก แล้วจะรู้สึกท้อหรืออ่อนแอ รู้สึกอยากยอมแพ้ให้มันจบ ๆ
หมอไทบอกว่าเขาไม่ได้รับมือกับทุกอย่างได้ด้วยดีอยู่ตลอด ไม่ได้มีแรงใจเปี่ยมพลัง ไม่ได้ยิ้มสู้ให้กับทุกอย่าง ระหว่างกำลังต่อสู้กับมะเร็ง หมอไทได้พยายามหาคำตอบว่า “ทำไมเรายังตายไม่ได้” เพราะเรายังไม่ได้ตำแหน่งทางวิชาการหรือ? เพราะเรายังไม่ได้ไปเที่ยวต่างประเทศหรือ? สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้หมอไทมีแรงสู้ต่อ
เหตุผลสำคัญที่หมอไทรู้สึกว่าชีวิตนี้ยังมีอะไรนั่นคือ เขายังมีบุคคลผู้เป็นที่รัก มีคนที่ตื่นมาเพื่อใช้ชีวิตไปด้วยกัน หมอไทพูดถึงแฟนของเขาซึ่งเป็นทันตแพทย์ ผู้หญิงที่ทำให้เขารู้สึกว่าโลกนี้ยังยุติธรรม ผู้หญิงที่ร่วมสร้างความทรงจำไปกับเขา ผู้หญิงที่เป็นความอบอุ่นให้แก่เขา เขาบอกว่านี่คือคำตอบของเขาสำหรับคำถามที่ว่า สู้ไปทำไมวะ?
เหตุผลในการมีชีวิตอยู่ของแต่ละคนก็ต่างกันไป หมอไทเคยตั้งคำถามบนเฟซบุ๊คของเขา และได้คำตอบหลากหลาย มีคนมาตอบว่ายังตายไม่ได้เพราะกลัวไม่มีคนคอยให้อาหารแมวที่เลี้ยงไว้ ยังตายไม่ได้เพราะอนิเมะที่ติดตามยังไม่ถึงตอนจบ ทุกเหตุผลล้วนเป็นไปได้หมด อาจจะไม่ยิ่งใหญ่ แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้บางคนอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป

สุดท้ายหมอไทได้สรุปบทเรียนที่ได้เรียนรู้ระหว่างที่ได้รู้จักกับมะเร็งว่า
“ชีวิตไม่แน่นอน สุดท้ายเราทุกคนจะต้องตาย จงอยู่กับปัจจุบัน ใช้ชีวิตแต่ละวันให้เหมือนกับวันสุดท้าย ถ้ามีอะไรทำเพื่อคนอื่นได้ ก็แบ่งปันความโชคดีให้กับพวกเขาบ้าง และไม่ว่าชีวิตจะเลวร้ายแค่ไหน อย่าหมดหวังกับชีวิตเด็ดขาด”
การอ่านหนังสือเล่มนี้ทำให้ผมตระหนักถึงความสำคัญของประกันสุขภาพ หมอไทได้ทำประกันสุขภาพโรคร้ายแรงเอาไว้ ทำให้เขาไม่ต้องกังวลกับค่ารักษาพยาบาล ซึ่งค่ารักษาของเขามีค่าใช้จ่ายสูงมาก ต้องฉีดยาราคาเข็มละ 200,000 บาท ทุก 3 สัปดาห์ตลอดการรักษานานนับปี พออ่านเรื่องราวของหมอไทจบ ทำให้ผมอยากมีประกันสุขภาพเอาไว้บ้าง เผื่อเกิดเหตุไม่คาดคิดกับตัวเองจะได้ไม่เดือดร้อนเงินเก็บ หรือรบกวนคนในครอบครัว
หนังสือเล่มนี้ถือว่าเป็นบันทึกประสบการณ์ชีวิตที่มีประโยชน์มาก ให้บทเรียนหลาย ๆ เรื่อง ให้กำลังใจสำหรับต่อสู้กับชีวิตที่เหลือต่อไป แม้หมอไทจะจากโลกนี้ไปแล้ว แต่เชื่อว่าเขาจะยังคงอยู่ในความทรงจำของครอบครัวและเพื่อน ๆ ผู้เป็นที่รัก และหนังสือที่เขาเขียนจะยังคงสร้างกำลังใจให้คนได้อีกนับไม่ถ้วน
ใครสนใจอยากอ่านเรื่องราวของหมอไท หรือใครกำลังรู้สึกเหนื่อยล้ากับชีวิต ผมแนะนำหนังสือเล่มนี้ครับ บางประโยคในเล่มน่าจะช่วยเยียวยาคุณได้บ้าง หนังสือสู้ดิวะ ของคุณหมอกฤตไท ธนสมบัติกุล ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ KOOB ราคา 195 บาท
สนใจหนังสือ สู้ดิวะ
สามารถสั่งซื้อได้ที่ Shopee: https://s.shopee.co.th/4ffCZL22m4
ซื้อผ่านลิงค์เป็นการสนับสนุนช่องครับ
Leave a comment