ความสยองกับความสงสัย บางทีอยู่ใกล้กันเพียงแค่นิดเดียว เพื่อน ๆ เคยสงสัยไหมครับว่าทำไมตอนที่คนเราตายแล้วร่างกายถึงเปลี่ยนสี? ถ้าเราตายบนเครื่องบินจะเกิดอะไรขึ้น? หรือมัมมี่ตอนที่เขากำลังพันผ้ามีกลิ่นเหม็นหรือเปล่า?
ไอติมเล่า ep นี้จะพาเพื่อน ๆ ไปไขข้อสงสัยเหล่านั้นครับ โดยผมสรุปเนื้อหาจากหนังสือ “ถ้าฉันตาย น้องแมวจะหม่ำลูกตาฉันไหมนะ” เขียนโดยเคทลิน โดตี้ สัปเหร่อเซเลปริตี้ที่โด่งดังทางอินเตอร์เน็ต เธอได้รับคำถามเกี่ยวกับความตายจากทั่วทุกมุมโลก แต่คำถามที่เธอชอบสุด มักเป็นคำถามจากเด็ก ๆ
ในหนังสือเล่มนี้รวบรวม 34 คำถามเกี่ยวกับความตาย ซึ่งทุกคำถามมาจากเด็ก ๆ ทั้งหมด สาเหตุที่เคทลินชอบตอบคำถามของเด็ก ๆ เพราะเด็กนั้นตั้งคำถามด้วยความใสซื่อบริสุทธิ์ โดยไม่ได้คิดว่าความตายเป็นเรื่องวิปริต และแปลกประหลาดที่ไม่ควรนำมาพูดคุยกัน
จริงอยู่ว่าความตายเป็นเรื่องที่หนักหนา บางทีมันก็มาแบบไม่ทันตั้งตัว สร้างความเศร้าแบบเกินรับไหว แต่ความตายคือความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เราทำให้ความตายเป็นเรื่องสนุกไม่ได้ แต่เราทำให้การเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องความตายเป็นเรื่องสนุกและน่าสนใจได้ ความตายเกี่ยวข้องกับทั้งวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม มีหลายอย่างที่เราสามารถเรียนรู้ได้จากเรื่องเกี่ยวกับความตายครับ
หนังสือมี 34 คำถาม ผมคัดคำถามเด็ด ๆ ที่น่าสนใจ และสรุปมาให้เพื่อน ๆ ฟังกัน 5 คำถาม ซึ่งประกอบไปด้วยคำถามที่ว่า
- ถ้าฉันตาย น้องแมวจะหม่ำลูกตาฉันไหมนะ?
- ตายแล้วทำไมเราถึงเปลี่ยนสี?
- ศพผู้ใหญ่ทั้งคนพอเผาแล้วทำไมถึงเหลือแค่โกศเล็ก ๆ?
- ถ้าฉันตายบนเครื่องบินจะเกิดอะไรขึ้น?
- มัมมี่ตอนห่อผ้ามีกลิ่นเหม็นไหม?
ถ้าฉันตาย น้องแมวจะหม่ำลูกตาฉันไหมนะ?
คำตอบสั้น ๆ เลยคือ “หม่ำ” ครับ แต่น้องแมวไม่ได้จะเข้ามาควักลูกตาของคุณแล้วเอาไปหม่ำทันทีที่น้องรู้ว่าคุณตายแล้วหรอกนะครับ สมมุติว่าคุณเกิดหัวใจวายขึ้นมาในห้องนั่งเล่น และไม่มีใครมาเจอเลย น้องแมวจะยังรอให้คุณมาเทอาหารให้อย่างที่คุณเคยทำเป็นประจำ แต่รอไปตั้งไม่รู้กี่ชั่วโมง คุณก็ไม่มีท่าทีที่จะฟื้น ตอนนี้น้องแมวที่หิวโหยจะเริ่มเข้ามาป้วนเปี้ยนบริเวณร่างของคุณ เพื่อดูว่าพอจะมีอะไรที่กินได้บ้างไหม

ต้องเข้าใจก่อนครับว่าบรรพบุรุษของแมวเป็นสัตว์ป่า แมวมีดีเอ็นเอคล้ายกับสิงโตถึง 95.6% พวกมันยังมีสัญชาตญาณของสัตว์นักล่าอยู่ในตัว ข้อมูลทางสถิติบอกเอาไว้ว่าแมวในสหรัฐอเมริกาฆ่านกถึง 3,700 ล้านตัวต่อปี ถ้านับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตัวเล็ก ๆ อย่างหนูหรือกระต่ายเข้าไปด้วย ยอดสัตว์ที่ถูกแมวฆ่าอาจสูงถึง 20,000 ล้านตัวต่อปีเลยทีเดียว
นอกจากน้องแมวแล้ว น้องหมาก็อาจกินศพของเจ้านายด้วยเหมือนกัน เคยมีหลายครั้งที่เจ้าหน้าที่สืบสวนสงสัยว่าเกิดคดีฆาตกรรมที่อุกอาจรุนแรงขึ้น แต่พอฝ่ายนิติวิทยาศาสตร์ได้ค้นหาความจริงอย่างละเอียดก็พบว่าเป็นความเสียหายที่เกิดจากน้องหมาทึ้งศพเจ้าของที่เสียชีวิตไปแล้วต่างหาก
แต่บางครั้งน้องหมาก็ไม่ได้ทึ้งศพเพราะน้องหิวหรอกนะครับ บางครั้งน้องอาจสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้านายของน้อง น้องแค่พยายามจะปลุกคุณให้ตื่น โดยการกัดที่ริมฝีปากคุณเบา ๆ แค่พอให้คุณสะดุ้งตื่น แต่พอน้องเห็นว่าคุณยังไม่ฟื้นสักที น้องก็จะเพิ่มแรงกัดขึ้นเรื่อย ๆ จนบางครั้งเจ้าหน้าที่ไปพบศพในสภาพที่ปาก และจมูกถูกแทะจนแหว่ง
ในฐานะเจ้าของที่เลี้ยงดูน้องหมาและน้องแมวมาเป็นอย่างดี เราย่อมคาดหวังว่าถ้าเราตายไป น้อง ๆ จะโศกเศร้า แต่นั่นอาจเป็นการคาดหวังที่สูงเกินไป น้องหมาน้องแมวก็เป็นสัตว์กินเนื้อเหมือนกับเรานี่แหละ ถ้าน้องจะกินร่างไร้วิญญาณของเราก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
ตายแล้วทำไมเราถึงเปลี่ยนสี
ตอนที่ตายแล้วไม่ได้หมายความว่าชีวิตที่อยู่ใต้ผิวหนังจะหยุดชะงักลงทันที เลือด แบคทีเรีย และของเหลวต่าง ๆ ในร่างกายจะยังคงทำปฏิกิริยา เปลี่ยนแปลง และตอบสนองอยู่ แม้ว่าเจ้าของร่างจะตายไปแล้วก็ตาม การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จึงส่งผลให้ศพสามารถเปลี่ยนสีได้สารพัด

สีแรก ๆ ที่ปรากฎขึ้นหลังการตายนั้นเกี่ยวข้องกับเลือด ตอนที่เรายังมีชีวิตอยู่ เลือดจะถูกสูบฉีดไปทั่วร่างกาย ลองดูที่เล็บของคุณก็ได้ครับ ถ้ามันยังเป็นสีอมชมพูอยู่ แสดงว่าคุณยังไม่ตาย แต่หากคนที่ตายใหม่ ๆ ในชั่วโมงแรก ๆ ร่างของคนตายจะดูซีดลง โดยเฉพาะตรงริมฝีปาก และเล็บมือ สีชมพูสดใสเหล่านี้จะหายไป เพราะหัวใจไม่เต้นเพื่อสูบฉีดเลือด และไม่มีเลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อด้านนอกแล้วนั่นเอง
ช่วงนี้เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงของสีในลูกตาด้วย ร่างคนตายใหม่ ๆ ภายในครึ่งชั่วโมงแรก ตรงตาดำจะเริ่มเกิดฝ้าสีขาวขยายปกคลุม ตาจะขุ่นเป็นสีน้ำนม เพราะของเหลวใต้กระจกตาหยุดไหลเวียน เป็นภาพที่เห็นแล้วจะนึกถึงตาของซอมบี้ ผู้เขียนแนะนำในฐานะสัปเหร่อว่า ควรปิดเปลือกตาของคนตายเสียตั้งแต่เนิ่น ๆ จะดีกว่า
เลือดของเรามีส่วนประกอบมากมาย ทั้งเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และน้ำเลือด ส่วนประกอบเหล่านี้จะผสมเข้ากันเป็นอย่างดีตอนที่หัวใจยังสูบฉีดเลือด แต่เมื่อตายไปแล้ว และเลือดหยุดเคลื่อนไหว แรงโน้มถ่วงจะทำให้เม็ดเลือดแดงตกตะกอนออกมาจากน้ำเลือด แล้วไปกองอยู่ด้านล่างของศพ สิ่งนี้เป็นสัญญาณหลังความตายที่เห็นได้ชัดเป็นอย่างแรก เรียกว่า ลิเวอร์ มอร์ติส (livor mortis)
ส่วนมากแล้วลิเวอร์ มอร์ติสจะออกเป็นสีม่วง ปรากฏการณ์นี้เห็นได้ชัด และดูน่ากลัวกว่าในคนที่มีผิวสีอ่อน และลิเวอร์ มอร์ติสสามารถบอกนักนิติวิทยาศาสตร์ได้ว่าศพตายในท่าไหน เช่น หากพบลิเวอร์ มอร์ติสบริเวณด้านหน้าของศพก็แสดงว่าศพตายในสภาพคว่ำหน้ามาหลายชั่วโมงแล้ว
นอกจากลิเวอร์ มอร์ติสที่มักเป็นสีออกม่วง ยังมีลิเวอร์ มอร์ติสสีอื่นด้วย ถ้าเกิดลิเวอร์ มอร์ติสเป็นสีแดงสดเหมือนลูกเชอร์รี่ นั่นอาจแปลว่าศพนั้นหนาวตาย หรือตายเพราะสูดเอาก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์เข้าไป ถ้าลิเวอร์ มอร์ติสเป็นสีม่วงเข้มหรือสีชมพู อาจแปลว่าศพตายเพราะขาดอากาศหายใจ หรือตายเพราะหัวใจวาย หากในกรณีที่ผู้ตายเสียเลือดมาก เราอาจจะไม่พบลิเวอร์ มอร์ติสบนศพของเขาเลยก็เป็นได้ครับ
การเปลี่ยนสีของศพยังไม่จบแค่ลิเวอร์ มอร์ติส ในช่วงหลังตายไปประมาณหนึ่งวันครึ่ง ศพจะเริ่มเน่าเปื่อย จะเริ่มช้ำเลือดช้ำหนอง เกิดจ้ำสีน้ำตาลอมเขียวทั่วร่าง จ้ำเหล่านี้เป็นฝีมือของแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในร่างกายคนเรา แม้คนจะตายไปแล้ว แต่แบคทีเรียพวกนี้ไม่ได้ตายตามไปด้วย และพวกมันก็จะเริ่มย่อยสลายเครื่องในเรากินเป็นอาหาร
จ้ำสีเขียวจะปรากฏขึ้นที่หน้าท้องส่วนล่างก่อน แบคทีเรียในลำไส้ใหญ่จะย่อยเพื่อกินลำไส้ใหญ่ การย่อยของพวกมันจะปล่อยก๊าซออกมาด้วย ทำให้ท้องของศพบวมเป่ง จากนั้นแบคทีเรียก็จะขยายอาณาเขตไปทั่วร่าง เปลี่ยนศพให้เป็นสีเขียวคล้ำ หรือไม่ก็ดำไปเลย
ถึงตอนนี้เราจะมองเห็นเส้นเลือดดำของศพได้ชัดเจนขึ้น เกิดเป็นเหมือนลายหินอ่อนใต้ผิวหนัง ลวดลายหินอ่อนนี้เป็นสัญญาณว่าเส้นเลือดกำลังเน่าเปื่อย และฮีโมโกลบินกำลังแยกตัวออกจากเลือด ฮีโมโกลบินสามารถย้อมผิวหนังให้เป็นสีได้หลายเฉด มีตั้งแต่สีแดง สีม่วงคล้ำ สีเขียว ไปจนถึงสีดำ
การเน่าเปื่อยนี้จะเกิดขึ้นพร้อมกับปฏิกิริยาอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นแก๊ส และน้ำหนองรั่วออกมาจากศพ เกิดการพุพองหรือผิวหนังหลุดลอก สีของศพจะเปลี่ยนไปแบบสุดขั้ว จนไม่เหลือเค้าเดิม ดูแล้วบอกไม่ได้เลยว่าคนตายมีอายุเท่าไหร่ เคยมีผิวสีอะไรตอนที่ยังมีชีวิตอยู่
การเปลี่ยนสี และการย่อยสลายของศพใช้เวลานานหลายวัน ในยุคปัจจุบันไม่ค่อยมีการปล่อยให้ศพเปลี่ยนแปลงไปถึงจุดนั้น คนทั่วไปจึงไม่มีโอกาสได้เห็นศพย่อยสลายตามระยะเวลาจริง ๆ หลังการเสียชีวิตไม่นาน ศพจะถูกฉีดน้ำยาดองศพ หรือถูกนำไปใส่ในโลงเย็น ซึ่งช่วยชะลอการย่อยสลาย ก่อนจะถูกนำไปฝังหรือเผาภายในระยะเวลารวดเร็ว คนยุคปัจจุบันจึงไม่มีโอกาสเห็นการเปลี่ยนแปลงสีสันของศพ และผู้เขียนแนะนำว่าไม่ต้องเห็นจะดีที่สุดครับ
ศพผู้ใหญ่ทั้งคนพอเผาแล้วทำไมถึงเหลือแค่โกศเล็ก ๆ
ร่างคนเสียชีวิต ไม่ว่าจะเป็นร่างของคนที่อ้วนมาก ๆ หรือร่างของคนตัวเล็ก พอฌาปนกิจเสร็จสิ้นแล้ว คนเราจะลดไซซ์ลงมาเหลือเท่ากัน อัฐิหลังการฌาปนกิจจะมีปริมาณพอ ๆ กัน และนำมาใส่ไว้ในโกศขนาดเดียวกันได้

กระบวนการฌาปนกิจมีขั้นตอนดังต่อไปนี้ครับ เมื่อประตูของเตาเผาเปิดออก ร่างมนุษย์จะถูกเลื่อนเข้าไปด้านในทั้งร่าง ศพอาจอยู่ในตู้แช่มาเป็นเวลา 2-3 วัน หรือหนึ่งสัปดาห์ แต่โดยรวมแล้วจะยังไม่เปลี่ยนแปลงอะไรมาก ศพอาจยังสวมเสื้อผ้าตัวเดิมตอนที่ตาย เมื่อประตูเตาปิดลง และเปลวไฟร้อนกว่า 800 องศาเซลเซียสเริ่มทำงาน ศพก็จะเริ่มเปลี่ยนรูปทันที
ในช่วง 10 นาทีแรกของการเผา เปลวไฟจะจัดการเนื้อเยื่ออ่อนของศพก่อน ส่วนที่อวบ ๆ นิ่ม ๆ ทั้งหลายอย่างกล้ามเนื้อ ผิวหนัง อวัยวะ และไขมันฉ่ำ ๆ จะหดตัวลง และไหม้สลายกลายเป็นควัน กระดูกส่วนกะโหลก และซี่โครงจะเริ่มปรากฏให้เห็น กระหม่อมจะระเบิดป๊อก และสมองจะไหม้ดำละลายหายไปในเปลวไฟ
ร่างของมนุษย์ประกอบด้วยน้ำประมาณ 60% พอน้ำโดนความร้อนจะเดือดเป็นไอลอยขึ้นไปตามปล่องควัน หลังเริ่มเผาได้ประมาณชั่วโมงเศษ ๆ บรรดาอินทรียวัตถุในร่างกายมนุษย์ทั้งหมดจะแตกสลาย และกลายเป็นอากาศธาตุ สิ่งที่หลงเหลือหลังการฌาปนกิจคือกระดูกที่กลายสภาพเป็นเถ้า หรือเรียกอีกชื่อว่าอัฐิ
ในเถ้ากระดูกมีส่วนผสมของแคลเซียมฟอสเฟต คาร์บอเนต และแร่ธาตุกับเกลือแร่ ทั้งหมดนี้ผ่านการฆ่าเชื้อมาแล้ว เถ้ากระดูกเป็นอะไรที่สะอาดมาก เพื่อน ๆ สามารถลงไปนอนกลิ้งเกลือกได้ เหมือนเล่นหิมะหรือกองทรายเลยครับ แต่ก็ไม่ควรทำแหละเนาะ ดูเป็นการไม่เคารพผู้ตาย
เถ้ากระดูกที่ผ่านการเผาด้วยความร้อน 800 องศาเซลเซียส มาเป็นเวลาหลายชั่วโมง ในนั้นจึงไม่มีดีเอ็นเอหลงเหลืออยู่ เราจึงเอาเถ้ากระดูกไปตรวจดีเอ็นเอเพื่อหาว่าเป็นเถ้ากระดูกของใครไม่ได้ นี่คือเหตุผลที่คนร้ายมักใช้วิธีเผาในการกลบเกลื่อนอาชญกรรม ซึ่งปัจจุบันหากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการตาย จะไม่สามารถทำการฌาปนกิจร่างนั้นได้ จนกว่าการสอบสวนจะสิ้นสุด
หลังจากเถ้าเย็นลงแล้ว กระดูกที่ยังคงรูปเป็นชิ้นอยู่จะถูกนำไปบดละเอียดให้กลายเป็นเถ้า จากนั้นผู้ทำการฌาปนกิจจะนำเถ้ากระดูกสีเทาอ่อนนี้บรรจุลงในโกศ และส่งคืนให้กับครอบครัว ซึ่งคนในครอบครัวอาจจะนำไปโปรย นำไปฝัง นำไปวางไว้บนหิ้ง ก็แล้วแต่ว่าทางครอบครัวจะจัดการยังไง
บางคนอาจสงสัยว่าถ้าเป็นคนที่หนักสัก 200 กก. อัฐิของเขาต้องหนักกว่าของคนตัวผอมสิ ความจริงคือไม่ใช่ครับ คนที่หนักขนาดนั้น เขาหนักเพราะไขมัน แต่โครงกระดูกไม่ว่าจะเป็นของคนอ้วนหรือคนผอมนั้นค่อนข้างเหมือนกัน คนอ้วนอาจใช้เวลาเผานานกว่า เพราะต้องใช้เวลาในการเผาไขมัน แต่พอกระบวนการสิ้นสุด คุณจะไม่สามารถบอกได้เลยว่า กระดูกที่หลงเหลืออยู่จากการฌาปนกิจเป็นของคนที่หนัก 200 กก. หรือหนัก 50 กก.
สิ่งที่ส่งผลต่อปริมาณของอัฐิคือส่วนสูง โดยทั่วไปผู้หญิงมักเตี้ยกว่าผู้ชาย จึงมีมวลกระดูกน้อยกว่า น้ำหนักอัฐิของผู้หญิงอยู่ที่ประมาณ 2 กก. ส่วนผู้ชายที่มักตัวสูงกว่าจะมีน้ำหนักอัฐิอยู่ที่เกือบ ๆ 3 กก.
ถ้าฉันตายบนเครื่องบินจะเกิดอะไรขึ้น?
ในแต่ละวันมีคนจำนวนมากเดินทางโดยเครื่องบิน จึงแทบเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะมีคนตายระหว่างอยู่บนเครื่อง หากเกิดเหตุฉุกเฉิน เช่น มีผู้โดยสารเกิดอาการหัวใจวาย ลูกเรือบนเครื่องบินจะปฏิบัติตามขั้นตอนต่าง ๆ ที่ถูกฝึกมาแล้ว ถ้าผู้โดยสารคนนั้นยังหายใจอยู่ และดูมีโอกาสรอด ลูกเรือจะเปลี่ยนเส้นทางบิน และลงจอดสนามบินที่ใกล้โรงพยาบาลที่สุด

แต่หากเป็นกรณีที่ผู้โดยสารคนนั้นไม่รอด บังเอิญเสียชีวิตระหว่างเครื่องบินทำการบินอยู่เหนือน่านฟ้า ผู้โดยสารคนนั้นก็จะถูกปล่อยไว้แบบนั้นแหละครับ ซึ่งถ้าบังเอิญคุณนั่งติดกับผู้โดยสารคนนั้นพอดี คุณก็จะต้องนั่งข้างคนตายไปแบบนั้น จนกว่าเครื่องบินจะถึงสนามบินปลายทางครับ
หากย้อนกลับไปสมัยที่การเดินทางโดยเครื่องบินเป็นเรื่องหรูหรา สายการบินสมัยนั้นมักเว้นที่ว่างเอาไว้หลายที่เสมอ ถ้าเกิดกรณีมีคนตายบนเครื่องบิน ร่างคนตายก็จะถูกย้ายให้ไปอยู่ตรงที่นั่งว่างแถวที่ไม่มีคน แต่ปัจจุบันนี้สายการบินเน้นขายตั๋วในราคาถูก และพยายามยัดผู้โดยสารให้เต็มทุกที่นั่ง ดังนั้นหากบังเอิญเพื่อนร่วมทางที่นั่งข้าง ๆ คุณเกิดเสียชีวิตขึ้นมา พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินอาจแค่เอาผ้าห่มมาคลุมร่างคนตายไว้ รัดเข็มขัดล็อกไว้ให้แน่น แล้วปล่อยไว้แบบนั้นจนกว่าเครื่องบินจะแลนด์
คงไม่มีใครอยากนั่งข้างคนตายไปตลอดการเดินทางบนเครื่องบินยาวนานหลายชั่วโมง ขนาดผู้เขียนที่เป็นสัปเหร่อยังบอกว่าเธอก็ไม่โอเคที่จะนั่งติดกับศพแปลกหน้า เพื่อน ๆ อาจรู้สึกว่าตัวเองโชคดีจัง ที่ผ่านมาตอนขึ้นเครื่องบินไม่เคยเจอศพอยู่บนเครื่องบินเลย แต่ผู้เขียนบอกว่าบนเครื่องบินมักจะมีศพร่วมเดินทางไปด้วยอยู่บ่อย ๆ ครับ แต่ศพเหล่านั้นถูกเก็บในห้องเก็บสัมภาระใต้ท้องเครื่อง ที่เดียวกับที่กระเป๋าเดินทางของเราถูกเก็บไว้นั่นแหละครับ
มีศพคนตายถูกขนจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งเสมอ เช่น มีคนไทยไปเที่ยวที่ญี่ปุ่น แล้วเกิดเสียชีวิตที่นั่น ร่างไร้วิญญาณของนักท่องเที่ยวคนนั้นจะถูกส่งกลับบ้านเกิด เพื่อทำพิธีทางศาสนา โดยบรรจุศพลงในกล่องอย่างแน่นหนา แล้วใส่ไว้ใต้ท้องเครื่องบินรวมกับสัมภาระ เพื่อเดินทางกลับสู่ประเทศบ้านเกิด ไม่แน่นะ ไฟลท์หน้าของเพื่อน ๆ อาจมีผู้โดยสารพิเศษร่วมเดินทางไปด้วยก็เป็นได้
มัมมี่ตอนห่อผ้ามีกลิ่นเหม็นไหม?
มัมมี่ตัวแรก ๆ ของอียิปต์เกิดขึ้นโดยความไม่ตั้งใจ ภูมิประเทศของอียิปต์เป็นพื้นที่ได้รับน้ำฝนน้อย แห้งแล้ง และมีแดดจัด สภาพอากาศแบบนี้ทำให้เกิดมัมมี่โดยธรรมชาติ ซึ่งเกิดจากร่างกายของคนตายถูกเผาจนน้ำในร่างกายระเหยออกไปหมด เหลือแต่เนื้อหนังแห้ง ๆ หุ้มกระดูก

ส่วนมัมมี่บรรจุโลงศพทองคำที่เราคุ้นตากัน ชาวอียิปต์โบราณจงใจทำขึ้น เมื่อประมาณ 4,600 ปีก่อนหน้านี้ มัมมี่เหล่านี้มีหน้าตาเป็นร่างหงิก ๆ หนังหุ้มกระดูก ด้านนอกพันด้วยผ้าลินินทั้งตัว เก็บรักษาไว้เป็นพัน ๆ ปี ในหีบสีทองตั้งอยู่ในสุสานหน้าตาคล้ายป้อมปราการ
มัมมี่โบราณถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี จนเราสามารถเรียนรู้อะไรได้มากมายเกี่ยวกับวิถีชีวิตของชาวอียิปต์โบราณ ตั้งแต่เรื่องที่ว่าพวกเขาตายได้ยังไง เคยมีหน้าตาเป็นแบบไหน ไปจนถึงว่าสมัยนั้นพวกเขากินอะไร มัมมี่เป็นเหมือนแคปซูลกาลเวลาที่เก็บรักษาวัฒนธรรมจากอดีตเอาไว้
ส่วนคำตอบของคำถามที่ว่า มัมมี่ระหว่างขั้นตอนการห่อผ้ามีกลิ่นเหม็นไหม? คำตอบคือมีครับ ศพส่งกลิ่นเหม็นหลังตาย แต่ถ้าผ่านมาจนถึงขั้นถูกห่อด้วยผ้าลินินยาวเป็นร้อย ๆ เมตรแล้วเนี่ย กลิ่นก็จะจางไปบ้างแล้ว
กระบวนการดองศพสมัยโบราณทำได้ไม่รวดเร็วนัก การทำมัมมี่อาจกินเวลานานเป็นเดือน ๆ เลยทีเดียว ขั้นแรกของการทำมัมมี่คือการนำอวัยวะภายในของร่างกายออกมาก่อน นี่คือขั้นตอนที่น่าจะเหม็นที่สุด ถ้าคน ๆ นั้นเสียชีวิตมาแล้วหนึ่งสัปดาห์หรือนานกว่านั้น อวัยวะจะเน่าอีดได้ที่ และแน่นไปด้วยก๊าซที่ก่อตัวอยู่ภายใน ด้วยสาเหตุนี้การผ่าเปิดช่องท้องออกมา จึงต้องเจอกับกลิ่นที่เหม็นเอามาก ๆ
จากนั้นพวกเขาจะควักตับ กระเพาะ และปอดออกมา แล้วนำไปใส่ในภาชนะพิเศษที่เรียกว่าโถคาโนปิก ที่ฝาปิดเป็นรูปหัวสัตว์ และหัวคน โถนี้จะถูกนำไปฝังรวมกับมัมมี่ที่เสร็จแล้วในภายหลัง อีกอวัยวะสำคัญที่จะถูกควักออกระหว่างทำมัมมี่คือสมอง สัปเหร่อสมัยโบราณจะใช้เครื่องมือปลายตะขอแทงสวนเข้าไปทางรูจมูก แล้วแคะสมองออกมาผ่านทางรูจมูก ซึ่งเป็นกระบวนการที่ยากเอาเรื่องอยู่
ถึงตอนนี้ศพอยู่ในสภาพไร้อวัยวะภายในแล้ว ขั้นตอนถัดมาศพจะถูกทำให้แห้งสนิท โดยการพอกทั้งข้างใน และข้างนอกด้วยนาตรอน (natron) ซึ่งเป็นส่วนผสมของเกลือที่ชาวอียิปต์เก็บมาจากพื้นทะเลสาบที่แห้งแล้ว โซเดียมคาร์บอเนต และโซเดียมไบคาร์บอเนตในนาตรอนจะดูดซึมน้ำ และทำให้ศพแห้งสนิทในเวลา 30-70วัน ถึงตอนนั้นศพจะอยู่ในสภาพที่แห้งเหมือนเนื้อเค็ม
ขั้นตอนถัดมานักดองศพจะแกะเกลือนาตรอนที่พอกไว้ออก และยัดไส้ศพด้วยส่วนผสมของขี้เลื่อย ผ้าลินิน และเครื่องหอมหลากหลาย เช่น อบเชย และกำยาน ขั้นตอนนี้ศพอาจจะหอมก็ได้นะครับ จากนั้นนักดองศพจะชโลมศพด้วยน้ำมันหรือยางสน แล้วนำแถบผ้าลินินมาพันวนไปเรื่อย ๆ โดยเริ่มจากรอบนิ้วมือ และนิ้วเท้าของศพ จากนั้นก็พันเข้ามาถึงมือ และเท้า ไล่เข้ามาเรื่อย ๆ
ขั้นตอนการทำมัมมี่ยุ่งยาก ทำให้มีราคาแพง และคนที่จะได้รับการดูแลศพอย่างพิถีพิถันเช่นนี้ก็ต้องเป็นกษัตริย์ คนในวัง หรือคนรวย จากนั้นมัมมี่ที่ทำเสร็จแล้วจะถูกนำไปบรรจุในโลงหิน พร้อมกับโถคาโนปิก เพื่อให้อยู่ต่อไปได้อีกหลายพันปี แล้วถ้าเราลองแกะมัมมี่ดูล่ะ กลิ่นของมันจะเป็นยังไง? มีคนเคยเปรียบเทียบไว้ว่าเหมือนกลิ่นหนังสือเก่า เครื่องหนังเก่า หรือไม่ก็ชีสแห้ง ซึ่งฟังดูก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นว่าไหมครับ
นี่คือ 5 คำถามจากทั้งหมด 34 คำถามในหนังสือ “ถ้าฉันตาย น้องแมวจะหม่ำลูกตาฉันไหมนะ” หนังสือเล่มนี้อ่านง่ายมากครับ สำนวนไม่วิชาการ ผู้เขียนอธิบายได้เข้าใจง่าย และแทรกมุกตลกตลอดทั้งเล่ม ทำให้ความตายและศพดูน่ากลัวน้อยลง ใครสนใจสามารถหาซื้อมาอ่านกันได้ครับ ตีพิมพ์เป็นภาษาไทยโดยสำนักพิมพ์กาลาปากอส สำนักพิมพ์น้องใหม่ที่เพิ่งออกเล่มนี้เป็นเล่มแรก ราคา 300 บาท
สนใจหนังสือ ถ้าฉันตาย น้องแมวจะหม่ำลูกตาฉันไหมนะ
สามารถสั่งซื้อได้ที่ Shopee: https://s.shopee.co.th/6V7860PgQQ
ซื้อผ่านลิงค์เป็นการสนับสนุนช่องครับ
Leave a comment