โลกหมุนด้วยความหวัง เรื่องราวการต่อสู้ของคนที่ไม่ยอมแพ้และไม่เคยหมดหวัง

Share
Share

ในประวัติศาสตร์มีหลายเหตุการณ์ที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมาน และความโหดร้าย แต่ช่วงเวลามืดมนเหล่านี้ก็ยังมีแสงสว่างเล็ก ๆ ที่เรียกว่าความหวังส่องประกายอยู่ ความหวังเป็นแรงขับเคลื่อนให้มนุษย์ยังคงยืนหยัด และก้าวเดินต่อไปได้

ไอติมฮีลใจ ep นี้ จะมาแนะนำเนื้อหาจากหนังสือ When Hope Becomes History โลกหมุนด้วยความหวัง เขียนโดยพรพล สุวรรณทัต เจ้าของเพจเฟซบุ๊ก I’m from Andromeda เพจที่เล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 200,000 คน หนังสือเล่มนี้เล่า 14 เรื่องราวของผู้คนในอดีตที่แม้จะพบเหตุการณ์ที่เป็นเหมือนฝันร้าย แต่พวกเขาก็ไม่เคยหมดหวังในชีวิต บางเรื่องยิ่งใหญ่ระดับส่งผลต่อคนทั้งโลก บางเรื่องเราสามารถนำมาเป็นแรงบันดาลใจได้ ผมหยิบมาเล่าให้เพื่อน ๆ ฟัง 5 เรื่อง ไปเริ่มที่เรื่องแรกกันเลยครับ


ความหวังถึงอิสรภาพ

หลบหนีจากการกดขี่ สู่อิสรภาพด้วยบอลลูนที่สร้างขึ้นเอง

หลังจบสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศเยอรมนีสูญเสียประชากรไปมากถึง 8 ล้านคน คนที่รอดชีวิตก็ต้องพบเจอความอดอยาก แถมประเทศยังถูกแบ่งออกเป็น 2 ฝั่งตามข้อตกลงพอตส์ดัม (Potsdam Agreement) ในปี 1945 เยอรมนีฝั่งตะวันออกถูกปกครองระบอบคอมมิวนิสต์โดยสหภาพโซเวียต เยอรมนีฝั่งตะวันตกปกครองระบอบประชาธิปไตยโดยอเมริกา สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศส กรุงเบอร์ลินซึ่งเป็นเมืองหลวงก็ถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งเช่นกัน

ในตอนแรกประชาชนของเยอรมนีฝั่งตะวันออกก็คิดว่าถูกปกครองแบบคอมมิวนิสต์คงไม่ได้เลวร้ายมาก แต่พอเวลาผ่านไปก็รู้สึกถึงการถูกจำกัดอิสรภาพ การไร้ซึ่งความยุติธรรม พวกเขาต้องทนอยู่อย่างแร้นแค้น ถูกรัฐบาลจับตามองทุกฝีก้าว ต่างจากเยอรมนีฝั่งตะวันตกที่ปกครองแบบประชาธิปไตยอย่างประเทศเสรี ประชาชนได้รับการดูแลอย่างมีมนุษยธรรม

ช่วงปี 1945-1961 ชาวเยอรมันตะวันออกราว 3.6 ล้านคน หรือ 1 ใน 5 ของประชากรทั้งหมด ตัดสินใจหลบหนีอำนาจเผด็จการ โดยการข้ามมายังเยอรมนีฝั่งตะวันตก พอจำนวนผู้อพยพเพิ่มขึ้นไม่หยุด สหภาพโซเวียตจึงมีมาตรการรักษาภาพลักษณ์ของระบอบคอมมิวนิสต์ โดยสั่งปิดพรมแดนที่ใช้ข้ามไปอีกฝั่ง ส่งทหารติดอาวุธยืนตรวจตราทุกเส้นพรมแดน และออกคำสั่งใครยิงใครก็ตามที่คิดหนีไปอีกฝั่ง รวมถึงสร้างกำแพงเบอร์ลินกั้นระหว่างกรุงเบอร์ลินตะวันออกกับตะวันตก ชาวเยอรมันตะวันออกจึงหนีไปไหนไม่ได้อีก ชีวิตพวกเขาไม่ต่างอะไรกับการถูกขังอยู่ในคุก

แม้บทลงโทษของผู้ที่คิดหลบหนีจะรุนแรงจนถึงขั้นแลกด้วยชีวิต แต่ชาวเยอรมันตะวันออกกว่า 100,000 คนยังพยายามหนีข้ามพรมแดน คนที่อพยพสำเร็จส่วนใหญ่ใช้วิธีลักลอบไปกับยานพาหนะ ซึ่งมีฝั่งตะวันตกคอยช่วยเหลือ หรือไม่ก็ใช้วิธีเดินเท้าข้ามป่าข้ามเขา

ชายหนุ่มชาวเยอรมันตะวันออก 2 คนผู้เป็นเพื่อนสนิทกันคือ ปีเตอร์ ชเตรลซิก (Peter Strelzyk) และกึนเทอร์ เวตเซล (Gunter Wetzel) เห็นตรงกันว่าประเทศบ้านเกิดของพวกเขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว จึงอยากพาภรรยาและลูก ๆ ของพวกเขาอพยพหนีไปฝั่งตะวันตก เดือนมีนาคม ปี 1978 พวกเขาเริ่มคิดแผนการหลบหนี ทีแรกแผนของพวกเขาคือการสร้างเฮลิคอปเตอร์ แต่ต้องล้มเลิกไปเพราะหาเครื่องยนต์ที่มีกำลังยกคน 8 คนขึ้นท้องฟ้าไม่ได้

สุดท้ายพวกเขาคิดจะหลบหนีด้วยบอลลูนลมร้อนที่ไม่จำเป็นต้องมีเครื่องยนต์ก็สามารถลอยขึ้นท้องฟ้าได้ด้วยหลักการแรงลอยตัว แค่สร้างความร้อนเข้าไปในบอลลูน จนความหนาแน่นของอากาศภายในบอลลูนน้อยกว่าความหนาแน่นของอากาศภายนอก บอลลูนก็จะสามารถยกตัวลอยขึ้นฟ้าได้แล้ว

แม้หลักการจะฟังดูไม่ยาก แต่การทำให้ปลอดภัยและเคลื่อนที่ไปได้ตามที่ต้องการไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งชเตรลซิกและเวตเซลไม่มีความรู้ด้านนี้มาก่อน พวกเขาต้องเริ่มจากศูนย์ ต้องแอบหาหนังสือกลศาสตร์มาอ่าน ทยอยขนอุปกรณ์และวัสดุสำหรับทำบอลลูนมาที่จุดนัดพบโดยไม่ให้ผิดสังเกต

จากการคำนวน บอลลูนของพวกเขาต้องมีแรงมากพอยกคนแปดคน สัมภาระ ถังแก๊ส และเครื่องพ่นไฟที่ใช้สร้างลมร้อน รวมแล้วน้ำหนักอยู่ที่ 750 กิโลกรัม ชเตรลซิกและเวตเซลทำหน้าที่ประกอบแท่นวางถังแก๊สและเครื่องพ่นไฟ ส่วนภรรยาของทั้งสองคือ ดอริส ชเตรลซิก และเพตรา เวตเซล ช่วยกันเย็บบอลลูนโดยใช้ผ้าที่พอจะหาได้ ไม่ว่าจะเป็นผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน และผ้าม่าน จนได้บอลลูนขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 11 เมตร จุอากาศได้ประมาณ 2,000 ลูกบาศก์เมตรตามที่คำนวนไว้

พวกเขาใช้เวลาสร้างบอลลูนนานกว่าปีครึ่ง เพราะต้องแอบทำหลังเลิกงาน และต้องไม่ทำตัวลึกลับจนเป็นที่ผิดสังเกตของเพื่อนร่วมงาน วันที่ 28 เมษายน 1978 คือวันทดสอบการบินครั้งแรก พวกเขาขนบอลลูนไปที่ทุ่งโล่งห่างไกล เมื่อติดตั้งทุกอย่างเรียบร้อย และลองเปิดวาล์วแก๊สเครื่องพ่นไฟ บอลลูนก็เหมือนจะตั้งได้ แต่แล้วมันก็เหี่ยวและล้มลง จนผ้าส่วนหนึ่งไปโดนไฟแล้วลุกไหม้ สิ่งที่เป็นความหวังของพวกเขากลายเป็นเถ้าถ่านภายในพริบตา

แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่ล้มเลิก พวกเขาหาสาเหตุที่ทำให้บอลลูนไม่ลอยตัว และพบว่าเป็นเพราะเนื้อผ้าที่ใช้ทำบอลลูนในครั้งที่แล้วไม่ละเอียดพอ มันมีรูระหว่างเส้นใยผ้าที่ใหญ่เกินไปจนไม่สามารถกักเก็บลมร้อนไว้ได้ พวกเขาพยายามเสาะหาผ้ามาแอบทดลองในห้องทำงานลับ จนสุดท้ายพบผ้าที่เหมาะสมคือ ผ้าแพรแข็ง (Taffeta) ซึ่งมีส่วนประกอบเป็นเส้นใยในลอนที่มีความละเอียด นิยมใช้ตัดชุดราตรีของผู้หญิง และใช้ทำเป็นผ้าใบของเรือใบ

ชเตรลซิกและเวตเซลเดินทางไปยังเมืองไลป์ซิก (Leipzig) เมืองที่ไม่มีใครรู้จักพวกเขา เข้าไปในร้านขายผ้าแล้วบอกพนักงานว่าพวกเขาเป็นวิศวกรจากสโมสรพายเรือ ต้องการซื้อผ้าแพรแข็งขนาด 900 ตารางเมตรเพื่อเอาไปทำใบเรือ จากนั้นนำผ้าที่ได้ไปให้ภรรยาเย็บเป็นบอลลูน

เดือนกรกฎาคม 1979 บอลลูนลูกที่สองก็เสร็จสมบูรณ์ หลังจากนำไปทดสอบการลอยตัวสั้น ๆ ก็เป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย พวกเขาจึงตัดสินใจว่าถึงเวลาหลบหนีสู่อิสรภาพแล้ว ทั้งแปดคนเดินทางมาที่ทุ่งหญ้าลับตา กางผ้าใบบอลลูน นำสัมภาระขึ้นไปวางบนที่นั่ง เปิดแก๊ส จุดไฟพ่นอากาศร้อนใส่บอลลูน ใช้เวลาสักพักบอลลูนก็พองพร้อมที่จะลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า

ทั้งหมดรีบขึ้นไปบนบอลลูน จากนั้นเร่งไฟให้แรงขึ้น บอลลูนยกตัวเหนือพื้นดิน ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างสวยงาม โดยมุ่งหน้าไปยังเยอรมนีฝั่งตะวันตก ในวันนั้นมีเมฆปกคลุมเต็มท้องฟ้าซึ่งช่วยปิดบังไม่ให้คนข้างล่างมองเห็นบอลลูน แต่ความชื้นจากก้อนเมฆทำให้ผ้าใบบอลลูนอมน้ำจนมีน้ำหนักมากขึ้น แรงยกเริ่มน้อยลง แม้พวกเขาจะพยายามเร่งไฟ แต่ก็สู้น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นไม่ได้ บอลลูนจึงค่อย ๆ ร่วงลงสู่พื้น

พวกเขาพยายามบังคับทิศทาง จนบอลลูนมาตกก่อนถึงรั้วกั้นระหว่างสองดินแดนเพียงแค่ 180 เมตรเท่านั้น พวกเขาต้องรีบหนีเข้าป่า เพราะมีคนเห็นตอนบอลลูนร่วงและแจ้งตำรวจ แม้จะจับพวกเขาไม่ได้ แต่ทางการพยายามไล่ซักถามพยาน มีการออกประกาศในหนังสือพิมพ์ให้รางวัลคนที่แจ้งจับเจ้าของบอลลูนได้ ทั้งสองครอบครัวเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว

พวกเขาต้องสร้างบอลลูนขึ้นใหม่เป็นครั้งที่ 3 โดยต้องแอบสร้างตอนกลางคืน ขณะที่ตอนกลางวันต้องพยายามใช้ชีวิตให้ดูเป็นปกติ แอบซื้อวัสดุจากหลาย ๆ เมืองเพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต ครั้งนี้พวกเขาใช้เวลาแค่ 2 เดือนก็พร้อมออกเดินทางอีกครั้ง

15 กันยายน 1979 เป็นคืนที่ท้องฟ้าสว่างระยิบระยับ ไม่มีเมฆปกคลุมท้องฟ้า ทั้งแปดคนขับรถออกนอกเมืองไปใกล้ชายแดนมากที่สุด และรอเวลาให้คนอื่น ๆ เข้านอน จนเวลา 02:26 น. ของวันที่ 16 กันยายน บอลลูนของพวกเขาก็ยกตัวขึ้นเหนือพื้น มีลมพัดช่วยพวกเขา แต่ไฟจากเครื่องพ่นไฟก็สว่างพอที่จะเป็นจุดเด่นบนท้องฟ้า และแม้จะดึกขนาดนี้ก็ยังมีคนที่ไม่ยอมเข้านอน จึงโทรแจ้งตำรวจเพราะนึกว่าเป็นศัตรูผู้รุกราน

คืนนั้นตำรวจได้รับโทรศัพท์แจ้งเรื่องหลายสาย และรีบรุดมายังจุดที่ได้รับแจ้ง บริเวณชายแดนถูกส่องไฟขึ้นฟ้าเพื่อมองหาวัตถุลึกลับ แต่ท้องฟ้าก็กว้างใหญ่ จนบอลลูนของพวกเขาลอยข้ามแนวแสงไฟเหล่านั้นมาได้ พวกเขาข้ามพรมแดนสำเร็จแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นชเตรลซิกและเวตเซลก็ไม่ย่ามใจ พวกเขาปล่อยบอลลูนให้ลอยต่อไปจนแก๊สหมด สิ้นสุดการเดินทางที่ใช้เวลา 28 นาที

พวกเขายืนมองแสงไฟระยิบระยับตามตึกต่าง ๆ ที่ไม่เคยเห็นในฝั่งตะวันออก สักพักก็มีรถคันหนึ่งเปิดเสียงไซเรนมุ่งหน้ามาหา เป็นรถตำรวจที่มีตราสัญลักษณ์เยอรมนีตะวันตก ชเตรลซิกและเวตเซลถามตำรวจว่า “ที่นี่คือเยอรมนีตะวันตกใช่ไหม?” พอตำรวจบอกว่าใช่ พวกเขาทั้งแปดคนก็สวมกอดกัน ดีใจกับความสำเร็จหลังจากที่พยายามกันมาถึง 3 ครั้ง

บอลลูนของพวกเขาลงจอดในเมืองไนลา (Naila) ในเยอรมนีตะวันตก ห่างจากชายแดน 10 กิโลเมตร ตำรวจพาพวกเขาส่งให้ทางการเพื่อทำเรื่องลี้ภัย พวกเขาได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่น ได้ที่พัก ได้รับความช่วยเหลือสำหรับเริ่มต้นชีวิตใหม่ ข่าวการหลบหนีด้วยบอลลูนครั้งนี้เป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก โดยเฉพาะสื่อฝั่งอเมริกาที่ใช้ข่าวนี้เพื่อแสดงให้โลกเห็นว่าไม่มีประชาชนคนไหนต้องการระบอบคอมมิวนิสต์

ทั้งสองครอบครัวตั้งรกรากอยู่ที่เมืองไนลา ชเตรลซิกเปิดร้านซ่อมทีวี เวตเซลเป็นช่างยนต์ จนในปี 1990 ที่เยอรมนีกลับมารวมเป็นประเทศเดียวกันอีกครั้ง และปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย พวกเขาก็กลับบ้านเกิด และใช้ชีวิตต่ออย่างมีความสุข ปัจจุบันบอลลูนของพวกเขาถูกจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์เอาส์ออฟบาวาเรียน (House of Bavarian History) ในเมืองเรเกนส์บวร์ก (Regensburg) เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู่เพื่ออิสรภาพ


ความหวังแห่งการไม่ยอมแพ้

ชายหนุ่มผู้สูญเสียขา ต่อสู้กับโรคมะเร็งด้วยการวิ่งมาราธอน

เทอร์รี ฟอกซ์ (Terry Fox) เป็นเด็กหนุ่มชาวแคนาดาที่รักกีฬาบาสเกตบอลมาตั้งแต่เด็ก และใฝ่ฝันอยากเป็นนักบาสเกตบอลมืออาชีพ ความมุ่งมั่นนี้ผลักดันเทอร์รีให้ฝึกซ้อมมากกว่าเพื่อน บางวันเขาซ้อมหนักจนแทบลุกไม่ขึ้น จนได้เป็นนักกีฬาของมหาวิทยาลัยไซมอนเฟรเซอร์ (Simon Fraser University)

แต่โชคชะตาไม่ใจดีกับเขานัก ปี 1977 ปีแรกที่เขาเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เทอร์รีรู้สึกเจ็บที่หัวเข่าหลังจากซ้อมบาสเกตบอลในวันหนึ่ง พอรุ่งเช้าอาการเจ็บก็ยังไม่ดีขึ้น เขาทนความเจ็บไม่ไหวจึงไปโรงพยาบาล หลังจากการตรวจอย่างละเอียดกว่าหนึ่งสัปดาห์ หมอวินิจฉัยว่าเขาเป็นมะเร็งกระดูก จำเป็นต้องตัดขาขวาของเขา ก่อนที่มันจะลามไปส่วนอื่น โอกาสรอดชีวิตของเขาตอนนี้อยู่ที่ 50/50

คืนก่อนผ่าตัด โค้ชบาสเกตบอลของเขามาเยี่ยมและนำนิตยสารมาให้อ่าน ในเล่มมีบทความของดิก ทราอัม (Dick Traum) ผู้พิการที่สมัครลงแข่งวิ่งงานนิวยอร์กซิตี้มาราธอน งานวิ่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก เมื่ออ่านจบเทอร์รีก็มองเห็นความฝันครั้งใหม่ นั่นคือการวิ่งไปทั่วประเทศแคนาดา

การผ่าตัดผ่านไปได้ด้วยดี เทอร์รีสูญเสียขาขวาเพื่อป้องกันไม่ให้มะเร็งลุกลาม และหลังจากนั้นเขาต้องรักษาด้วยการทำเคมีบำบัดอีกกว่า 16 เดือน ช่วงเวลาที่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล เทอร์รีได้พบเห็นผู้คนเจ็บป่วยทรมานจากโรคมะเร็ง และพบความหมายว่าเขาจะวิ่งไปเพื่ออะไร

มะเร็งทำให้ผมตระหนักว่าการใช้ชีวิตโดยเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง แบบนั้นไม่ใช่การใช้ชีวิต คำตอบของการมีชีวิตอยู่คือการช่วยเหลือคนอื่นต่างหาก

เทอร์รีกล่าวไว้เช่นนั้น

เขาต้องการระดมเงินหนึ่งล้านดอลลาร์ เพื่อนำไปบริจาคให้โรงพยาบาลสำหรับการวิจัยวิธีรักษามะเร็ง ต้องการให้ผู้คนตระหนักถึงโรคนี้ และต้องการเปลี่ยนทัศนคติของสังคมที่มีต่อผู้พิการ การวิ่งของเขาจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า ถึงแม้มะเร็งจะพรากอวัยวะสำคัญไป แต่จิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์นั้นไม่ได้แตกสลายไปด้วย

ก่อนจะเริ่มวิ่ง เทอร์รีต้องฝึกใช้ขาเทียม ช่วงเดือนแรกเขาขาสั่นจนแทบวิ่งไม่ได้ แถมขาเทียมยังเสียดสีจนเลือดซึม แต่เขาก็อดทนฝึกซ้อมวิ่งนานกว่า 15 เดือน รวมระยะทางกว่า 5,000 กิโลเมตร จนสุดท้ายเขาวิ่งได้มากกว่าวันละ 40 กิโลเมตร

เทอร์รีตั้งชื่อโครงการระดมทุนของเขาว่ามาราธอนแห่งความหวัง (Marathon of Hope) วันที่ 12 เมษายน 1980 สามปีหลังจากเขาเสียขา เทอร์รีเริ่มต้นวิ่งที่ท่าเรือเซนต์จอห์น รัฐนิวฟาวด์แลนด์แอนด์ลาบราดอร์ (St. John’s Port, Newfoundland and Labrador) สุดฝั่งตะวันออกของแคนาดา โดยจะมุ่งหน้าไปยังเมืองวิกตอเรีย รัฐบริติช โคลัมเบีย (Victoria, British Columbia) สุดฝั่งตะวันตกของแคนาดา

แผนการของเขาคือจะเริ่มวิ่งก่อนรุ่งสางของทุกวัน โดยไม่สนว่าสภาพอากาศวันนั้นจะเป็นยังไง แม้สีหน้าระหว่างวิ่งจะแสดงถึงความเจ็บปวด แต่ท่าวิ่งกำหมัดแน่นและสายตามุ่งมั่นก็ทำให้คนละแวกที่เขาวิ่งผ่านมายืนให้กำลังใจอย่างเนืองแน่น เด็กหนุ่มในชุดกางเกงขาสั้น เสื้อยืดลายแผนที่ประเทศแคนาดาชื่อว่าเทอร์รี ฟอกซ์ เริ่มเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็ว

อิซาดอร์ ชาร์ป (Isadore Sharp) ประธานบริษัทเครือโฟร์ซีซั่นส์ ธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ทชื่อดัง เขาสูญเสียลูกชายด้วยโรคมะเร็งผิวหนังไปเมื่อปีก่อนหน้า ประเดิมบริจาคให้โครงการมาราธอนแห่งความหวัง 10,000 ดอลลาร์แคนาดา และส่งคำท้าไปถึงบริษัทใหญ่ ๆ ในแคนาดาอีก 999 บริษัทให้บริจาคแบบเดียวกับเขา

ขณะที่คนที่ยืนส่งกำลังใจให้ข้างถนนก็ควักเงินมาใส่มือเทอร์รีคนละ 10-20 ดอลลาร์ บางคนก็ให้มากถึง 100 ดอลลาร์ บางคนยืนรอเป็นชั่วโมงเพื่อให้ได้ยื่นเงินให้กับมือของเทอร์รี ส่วนใหญ่เขาจะวิ่งวันละ 41-42 กิโลเมตร ซึ่งเป็นระยะทางของการวิ่งมาราธอน เพียงแต่เขาวิ่งทุกวัน และวิ่งด้วยขาดีข้างเดียว และอีกข้างเป็นขาเทียมที่ทำด้วยไฟเบอร์กลาส

เทอร์รีวิ่งแบบนั้นเป็นเวลาเกือบ 5 เดือน โดยไม่หยุดพัก จนสามารถระดมทุนเข้าสมาคมมะเร็งไปได้กว่า 13 ล้านดอลลาร์แคนาดา และในวันที่ 143 ของการวิ่ง กับระยะทางรวม 5,373 กิโลเมตร เทอร์รีก็ทนเจ็บไม่ไหว จนต้องให้ทีมงานนพาไปโรงพยาบาลธันเดอร์เบย์ (Thunder Bay Hospital)

หมอที่นั่นบอกข่าวร้ายกับเขาว่า มะเร็งที่เขาเคยเป็นมันกลับมาใหม่ และตอนนี้มันแพร่จากขาลามไปที่ปอดของเขาแล้ว จากเดิมที่เขาเคยวิ่งได้วันละ 40 กิโลเมตร แต่ตอนนี้แค่เดินข้ามถนนเขาก็เหนื่อยแล้ว เส้นทางวิ่งที่ต้องไปจบสุดฝั่งตะวันตกของแคนาดาต้องยกเลิกกลางคัน เขาถูกนำตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลรอยัลโคลัมเบียน (Royal Columbian Hospital) โดยตลอดการรักษาเขาใส่เสื้อยืดที่มีข้อความ Marathon of Hope คล้ายกับว่าเขาไม่อยากให้โครงการนี้จบลง

แม้เทอร์รีจะหยุดวิ่ง แต่ผู้คนไม่ได้หยุดบริจาคเงิน สถานีทีวีในแคนาดาออกรายการพิเศษเพื่อช่วยระดมทุน และในเวลาไม่ถึง 48 ชั่วโมงก็มีเงินหลั่งไหลเข้าสมาคมมะเร็งเพิ่มอีกกว่า 10 ล้านดอลลาร์แคนาดา ความโด่งดังทำให้เทอร์รีได้จดหมายให้กำลังใจจากทั่วโลก ได้รับรางวัลเกียรติยศสูงสุดของพลเรือนแคนาดา โดยเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดที่ได้รับรางวัลนี้ และได้รับรางวัลลู มาร์ช (Lou Marsh Award) รางวัลสูงสุดด้านกีฬาของแคนาดา

ยอดบริจาคเงินของโครงการมาราธอนแห่งความหวังได้สูงถึง 23.4 ล้านดอลลาร์แคนาดา ระหว่างที่เทอร์รีรับการรักษากว่า 10 เดือน เขาบอกว่าบางวันรู้สึกเจ็บปวดเหมือนฝันร้าย บางวันก็รู้สึกดีพอจะออกไปเล่นกีฬาข้างนอก จนช่วงสัปดาห์สุดท้ายอาการของเขาก็ทรุดหนักจนพูดแทบไม่ไหว แต่ประโยคสุดท้ายที่เขาพยายามพูดคือ “ถ้าฉันไม่รอดชีวิต ขอให้มาราธอนแห่งความหวังยังดำเนินต่อไป”

28 มิถุนายน 1981 เทอร์รี ฟอกซ์เสียชีวิตอย่างสงบในโรงพยาบาลด้วยวัยเพียง 23 ปี รัฐบาลแคนาดาประกาศไว้ทุกข์ให้เขาทั่วประเทศ โดยการลดธงครึ่งเสา หลังจากนั้นไม่กี่เดือนงานวิ่งเทอร์รี ฟอกซ์ รัน ถูกจัดขึ้นเป็นครั้งแรก มีผู้เข้าร่วมวิ่งและปั่นจักรยานในงานกว่า 300,000 คน ระดมทุนได้ 3.5 ล้านดอลลาร์แคนาดา

ในบางช่วงเวลาของชีวิตเราอาจคิดว่าชีวิตของตัวเองมืดมน จนอยากได้แสงสว่างส่องนำทาง เรื่องราวของเทอร์รี ฟอกซ์ ทำให้เห็นว่าหากเราหาแสงสว่างนั้นไม่เจอก็จงเป็นแสงสว่างนั้นเสียเอง เหมือนเทอร์รีที่เปล่งประกายให้คนทั้งโลกได้เห็น


ความหวังแห่งการให้

เด็กชายผู้ทำให้คนหันมาบริจาคอวัยวะ

ปี 1954 วงการแพทย์ก้าวหน้าจนถึงขั้นปลูกถ่ายไตได้สำเร็จ นับว่าเป็นอวัยวะชิ้นแรกในประวัติศาสตร์ที่ปลูกถ่ายได้ จากนั้นก็กระโดดไปสู่อวัยวะอื่น ๆ อย่างตับ หัวใจ ตับอ่อน ปอด และลำไส้ ความสำเร็จนี้ทำให้ผู้ป่วยหลายคนที่คิดว่าชีวิตของตัวเองจบสิ้นแล้ว กลับมามีความหวังที่จะได้มีชีวิตอยู่บนโลกอีกครั้ง

แต่ปาฏิหาริย์นี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าขาดผู้บริจาคอวัยวะ ทว่าแต่ละคนมีแนวคิดเรื่องชีวิตหลังความตายไม่เหมือนกัน บางคนเชื่อว่าหากนำอวัยวะออกจากร่างกายไปจะมีชีวิตหลังความตายที่ยากลำบาก หรือหากเกิดใหม่ก็จะพิการ ไม่มีอวัยวะนั้น นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้หลายประเทศมียอดผู้ลงทะเบียนบริจาคอวัยวะน้อย อย่างอิตาลีช่วงปี 1980-1990 มียอดผู้ลงทะเบียนบริจาคอวัยวะต่ำสุดในทวีปยุโรป

เมื่อมีผู้บริจาคน้อย ผู้ป่วยที่รอการปลุกถ่ายอวัยวะจึงต้องรอคิวนาน บางคนรอนานจนเสียชีวิตไปก่อน หรือบางคนมีโอกาสได้เปลี่ยนอวัยวะ แต่ก็รอนานจนร่างกายทรุดโทรมจนกลับมาใช้ชีวิตแบบปกติไม่ได้ แต่แล้วก็เกิดปรากฏการณ์นิโคลัสเอฟเฟกต์ (Nicholas Effect) ที่เปลี่ยนมุมมองต่อการบริจาคอวัยวะของผู้คนในยุโรป

29 กันยายน 1994 นิโคลัส กรีน (Nicholas Green) เด็กชายอายุ 7 ขวบชาวอเมริกันมาเที่ยวอิตาลีกับครอบครัว โดยมีพ่อแม่และน้องสาวของนิโคลัส เย็นวันนั้นพวกเขานั่งรถยนต์ชมบรรยากาศยามค่ำคืนของอิตาลีทางตอนใต้ ตอนที่พ่อของเขากำลังขับรถกลับที่พักก็มีรถคันหนึ่งขับเข้ามาประกบ ด่าด้วยน้ำเสียงโมโหรุนแรง และยิงปืนใส่รถของครอบครัวนิโคลัส แล้วขับหนีไป

พ่อแม่หันไปมองที่นั่งด้านหลัง เห็นลูกสาวยังคงหลับอยู่ แต่นิโคลัสโชกไปด้วยเลือด ศีรษะของเขาถูกยิง ลิ้นยื่นออกมา พวกเขาจึงรีบพาลูกชายมาที่โรงพยาบาลท้องถิ่น ก่อนนิโคลัสจะถูกส่งตัวมาที่โรงพยาบาลใหญ่ที่เมืองซิซิลี (Sicily) ทีมแพทย์สแกนสมองของนิโคลัส และได้แจ้งข่าวร้ายกับพ่อแม่ว่าลูกชายของพวกเขาสมองตาย ตอนนี้เด็กชายมีชีวิตอยู่ได้เพราะเครื่องพยุงชีพ เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน

หลังจากใช้เวลาทำใจอยู่สักพัก พ่อแม่ของนิโคลัสก็คิดว่าหากต้องสูญเสียลูกชายก็อยากให้การสูญเสียครั้งนี้เกิดประโยชน์มากที่สุด จึงตัดสินใจบริจาคอวัยวะของนิโคลัส วันที่ 1 ตุลาคม 1994 นิโคลัส กรีน เสียชีวิตในโรงพยาบาลหลังจากอยู่ในภาวะโคม่าเป็นเวลาสองวัน อวัยวะของเขา ได้แก่ หัวใจ ตับ ไต และกระจกตา ถูกถอดออกจากร่างกายและส่งให้ผู้ป่วยที่รอความหวัง

การเสียชีวิตของนิโคลัสเป็นข่าวใหญ่สะเทือนใจชาวอิตาลี ทำให้ตำรวจตั้งใจสืบสวนโดยไม่หยุดพัก จนวันที่ 2 พฤศจิกายน 1994 ตำรวจก็จับคนร้ายได้เป็นชายชาวอิตาลี 2 คน ชื่อฟรานเชสโก เมซีอาโน และมิเกเล ยานเนลโล ตำรวจไม่ทราบเจตนาชัดเจนของคนร้ายว่าก่อเหตุเพราะต้องการปล้นหรือยิงรถผิดคัน แต่สืบได้ว่าพวกเขาเกี่ยวข้องกับมาเฟียอิตาลี มิเกเลผู้เป็นมือปืนถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต ส่วนฟรานสโกผู้เป็นคนขับรถถูกตัดสินจำคุก 20 ปี

4 เดือนผ่านไป พ่อแม่ของนิโคลัสก็ได้รับสายจากโทรศัพท์ทางไกล คนโทรมาเป็นหนึ่งในคนที่ได้รับบริจาคอวัยวะจากนิโคลัส เขาอยากเชิญให้พ่อแม่ของนิโคลัสบินกลับมาดูปาฏิหาริย์ที่ซิซิลีอีกครั้ง เมื่อเดินทางมาถึงพวกเขาได้พบกับอันเดรอา มอนจาร์โด (Andrea Mongiardo) ผู้ได้รับบริจาคหัวใจของนิโคลัส หัวใจของเด็กชายยังคงทำงานต่อไปในร่างใหม่ และทำให้อันเดรอากลับมามีสุขภาพแข็งแรงอีกครั้ง

ฟรานเชสโก มอนเดลโล (Francesco Mondello) และโดเมนิกา กัลเลตา (Domenica Galleta) ผู้ได้รับบริจาคกระจกตาจากนิโคลัส หญิงสาวทั้งสองจึงกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง ติโน มอตตา (Tino Motta) และ อันนา มารีอา ดิ เชเย (Anna Maria di Ceglie) ผู้ได้รับบริจาคไตจากนิโคลัสคนละข้าง มารีอา ปิอา เปดาลา (Maria Pia Pedala) ผู้ได้รับบริจาคตับจากนิโคลัส และซิลเวีย ชามปิ (Silvia Ciampi) ผู้ได้รับบริจาคตับอ่อนจากนิโคลัส

การบริจาคอวัยวะของนิโคลัสไม่ได้เปลี่ยนชีวิตของคนแค่ 7 คนนี้ การเสียชีวิตของนิโคลัสระหว่างที่กำลังท่องเที่ยวอยู่ในอิตาลี ทำให้คนอิตาลีพยายามรื้นฟื้นจิตวิญญาณของชาติกลับคืนมา ทำให้คนอิตาลีเปลี่ยนแนวคิดที่มีต่อการบริจาคอวัยวะ โดยในปี 1993 ก่อนหน้าที่นิโคลัสจะเสียชีวิต อิตาลีมีผู้บริจาคอวัยวะเพียง 6.2 คนต่อประชากรหนึ่งล้านคน จากนั้นตัวเลขก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนในปี 2006 อิตาลีมีผู้บริจาคอวัยวะเพิ่มขึ้นเป็น 20 คนต่อประชากรหนึ่งล้านคน หรือเพิ่มขึ้นราว 3 เท่า

นอกจากในอิตาลีแล้ว ปรากฏการณ์นิโคลัสเอฟเฟกต์ยังขยายออกไปทั่วโลก อัตราการลงชื่อบริจาคอวัยวะเพิ่มสูงขึ้นในหลายประเทศ ผลลัพธ์ของเรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่าการให้แม้เพียงเล็กน้อยก็สามารถเปลี่ยนแปลงโลกนี้ได้ และคุณค่าของชีวิตไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นแค่ตอนที่เรามีชีวิตอยู่บนโลกเสมอไป


ความหวังถึงความยุติธรรม

22 ปีแห่งการต่อสู้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนักโทษประหาร

นิก ยาร์รีส (Nick Yarris) เกิดเมื่อปี 1961 เติบโตในย่านคนผิวดำที่เมืองฟิลาเดลเฟีย เขามีพี่น้อง 6 คน พ่อแม่จึงต้องทำงานตลอดเวลาเพื่อหาเงินเลี้ยงครอบครัว โดยมีเพียงย่าที่เป็นคนดูแลเด็ก ๆ ย่านคนผิวดำส่วนใหญ่ในเมืองนั้นเป็นพื้นที่อันตราย นิกในวัย 7 ขวบได้เห็นความรุนแรงมากมายระหว่างทางไปกลับจากบ้านและโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นการลอบทำร้ายกัน ปล้นฆ่า และยาเสพติด

วันหนึ่งนิกกลายเป็นเหยื่อความรุนแรงนี้ ระหว่างที่เขากลับบ้านมีวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งลากเขาไปที่ลับตา แล้วบังคับให้นิกสูบบุหรี่ พอนิกปิดปากตัวเอง วัยรุ่นเหล่านั้นก็จับเขาทุ่มลงพื้นและฟาดด้วยก้อนหิน จากนั้นก็ถูกคนเหล่านั้นข่มขืน ก่อนพวกนั้นจะจากไปได้ขู่เขาว่าห้ามบอกเรื่องนี้กับใคร นิกกลับบ้านด้วยสภาพใบหน้าเปื้อนไปด้วยเลือดและน้ำตา

แม่ของนิกพาเขาไปส่งโรงพยาบาล เขาบอกทุกคนแค่ว่าถูกทำร้ายร่างกาย แต่จิตใจที่เจ็บช้ำจากการโดนข่มขืนไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิม ตั้งแต่นั้นมานิกฝันร้ายทุกคืน กลายเป็นคนหวาดระแวง และทำร้ายตัวเอง เขาไม่รู้วิธีรับมือกับปัญหา และไม่เคยขอคำปรึกษาจากใคร พออายุได้ 10 ขวบ นิกก็เริ่มดื่มแอลกอฮอล์ตามเพื่อน และพบว่ามันช่วยเยียวยาจิตใจของเขา

นิกกลายเป็นคนติดเหล้า แถมยังเสพกัญชาและยาเสพติด โดยหลอกตัวเองว่าไม่ได้เสพให้รู้สึกดี แต่เสพเพื่อให้ลืมความเจ็บปวด นิกไหลไปตามสังคม เขากลายเป็นคนก้าวร้าว เริ่มถูกตำรวจจับข้อหาลักขโมย จนอายุ 14 ปี เขาก็ถูกจับข้อหายาเสพติดและถูกส่งตัวไปบำบัด

หมอได้ตรวจร่างกายของนิก เขาพบว่าตัวเองมีอาการสมองเสื่อมจากการโดนทุบในวัยเด็ก หมอบอกว่าเขามีปัญหาในการรับรู้และตีความ ทำให้เข้าใจคนอื่นยาก และยาเสพติดทำให้อาการนี้หนักขึ้น นิกจึงตัดสินใจจะเลิกยาเสพติดให้ได้

การบำบัดของนิกผ่านไปได้ด้วยดี เขากลับมาอยู่บ้านและได้งานทำที่ห้างสรรพสินค้า แต่การกลับมาอยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบเดิม ทำให้นิกถูกดูดกลับเข้าวังวนเดิมอีกครั้ง เขาเสพยาไอซ์ ไม่ไปทำงาน เริ่มขโมยเพื่อเอาเงินไปซื้อยามาเสพ คืนหนึ่งในตอนที่นิกอายุ 20 ปี เขาอยู่ในสภาพเมายาและกำลังขับรถที่ขโมยมา ตำรวจบุกเข้ามาจับ นิกแย่งปืนตำรวจและทำปืนลั่น แต่โชคดีที่กระสุนไม่ไปโดนใครเข้า นิกถูกตั้งข้อหาเสพยา ลักขโมย และพยายามทำร้ายเจ้าหน้าที่

นิกถูกส่งตัวไปอยู่ในทัณฑสถานเพื่อรอการไต่สวนขึ้นศาล เขาได้อ่านหนังสือพิมพ์ฉบับวันที่ 5 ธันวาคม 1981 ข่าวหน้าหนึ่งของวันนั้นคือเรื่องการหายตัวไปของลินดา เม เครก (Linda Mae Craig) เขาเกิดความคิดแวบเข้ามาในหัวว่าจะโกหกว่าใครเป็นคนฆ่าลินดา แล้วเขาก็จะได้รับการลดโทษเป็นรางวัล ติดคุกไม่กี่ปีก็จะออกไปจากที่นี่ได้

นิกพยายามคิดชื่อใครสักคน แล้วเขาก็เลือกจิมมี หนึ่งในคนที่เคยทำร้ายเขาในวัยเด็ก ตำรวจนายหนึ่งเชื่อคำโกหกของเขา และบอกเขาว่าจะช่วยไปคุยกับเจ้าหน้าที่เพื่อถอนข้อหาเสพยาและพยายามทำร้ายเจ้าหน้าที่ เหลือไว้แค่ข้อหาขโมยรถซึ่งนิกอาจไม่ต้องติดคุก

3 วันต่อมา ตำรวจคนนั้นกลับมาหานิกด้วยท่าทางเคร่งเครียด และถามนิกว่า “แกโกหกทำไม?” นิกสารภาพว่าเขาแค่หมดหวังและไม่รู้ว่าควรทำยังไง เลยโกหกเรื่องคนร้ายฆ่าลินดา ตำรวจนายนั้นแค้นนิกมาก และบอกว่าจากประวัติอาชญากรรมของนิก ตำรวจคิดว่านิกนั่นแหละที่เป็นคนฆ่าลินดา และสอบสวนเขานานถึง 13 ชั่วโมง เพื่อให้เขาสารภาพในความผิดที่เขาไม่ได้ทำ

นิกเอาแต่พูดว่าผมขอโทษ ผมไม่ได้เป็นคนฆ่าลินดา จากนั้นเขาถูกส่งตัวเข้าห้องขัง และตำรวจได้ปล่อยข่าวปลอมว่านิกเป็นหนอนบ่อนไส้ในคุก นิกเป็นคนคาบความลับของนักโทษไปบอกตำรวจ คืนนั้นนิกเลยโดนเพื่อนนักโทษรุมกระทืบ ร่างกายเขาเต็มไปด้วยบาดแผลและลุกขึ้นยืนแทบไม่ไหว

นี่คือแผนการของตำรวจที่หวังกดดันนิกให้กลายมาเป็นแพะในคดีฆาตกรรมลินดา ซึ่งตอนนั้นเป็นข่าวใหญ่ดังไปทั่วโลก ประชาชนกดดันให้ตำรวจหาตัวคนร้ายมารับโทษให้ได้เร็วที่สุด นิกถูกซ้อมอยู่บ่อยครั้ง จนวันหนึ่งเขาคิดจะจบชีวิตตัวเอง โดยแอบขโมยสายไฟมาผูกกับฝักบัวเพื่อแขวนคอ แต่ผู้คุมคนหนึ่งมาเห็นและช่วยเขาไว้ ผู้คุมพูดว่า “ไม่ ๆ ๆ แกจะตายทางลัดแบบนี้ไม่ได้ แกต้องตายตามกระบวนการยุติธรรม”

หลังจากเหตุการณ์นั้นแม่ของนิกได้รับอนุญาตให้มาเยี่ยมลูกชาย เมื่อเห็นแม่นิกก็ร้องไห้ลั่นด้วยความเจ็บปวดใจ แม่พูดกับเขาว่า “แม่ไม่รู้ว่าลูกทำอะไรมา แต่สิ่งเดียวที่แม่ขอคืออย่าทำร้ายตัวเอง ลูกคือของขวัญ ทุกสิ่งที่ลูกเป็นคือของขวัญ” คำพูดนี้ของแม่ทำให้นิกไม่คิดฆ่าตัวตายอีก และตั้งมั่นจะยืนหยัดสู้เพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้ตัวเอง

เมื่อถึงเวลาขึ้นศาลในคดีเสพยา ลักขโมยและพยายามทำร้ายเจ้าหน้าที่ ปรากฏว่านิกพ้นผิดทุกข้อกล่าวหา แต่คดีฆาตกรรมลินดาเขาตกเป็นผู้ต้องสงสัยหมายเลขหนึ่ง ตลอดการไต่สวน 3 วัน ไม่มีลูกขุนคนไหนเชื่อคำพูดของชายหนุ่มวัย 21 ปีที่มีประวัติด่างพร้อย พวกเขาตัดสินทันทีเลยว่านิกมีความผิดในข้อหานี้ โดยที่ยังไม่มีหลักฐานชัดเจน

ศาลได้ตัดสินประหารชีวิตนิก และได้ถามนิกว่ามีอะไรจะพูดกับศาลไหม นิกก็พูดออกมาว่า “มีแน่นอน ไปลงนรกกันซะ คืนนั้นผมกินข้าวอยู่กับพ่อแม่และน้องสาว ห่างจากที่เกิดเหตุไป 28 ไมล์ ผมมีทั้งหลักฐานบุคคล สลิปเอทีเอ็ม แต่พวกคุณก็ยังตัดสินประหารผมโดยที่ไม่กล้ามองหน้าผมด้วยซ้ำ”

จากนั้นนิกถูกพาตัวไปอยู่แดนนักโทษประหาร ที่นั่นมีหนังสือกฏหมายให้อ่าน นิกมีความหวังว่าจะได้ออกไปสู่โลกภายนอกได้อีกครั้ง เนื่องจากที่อเมริกา แม้จะถูกศาลตัดสินประหารชีวิตแล้วก็ยังสามารถยื่นอุทธรณ์ให้ทบทวนคดี เพื่อหาหลักฐานหรือทบทวนข้อผิดพลาดใหม่ได้

นิกอ่านหนังสือพิมพ์เป็นประจำ วันหนึ่งเขาพบบทความวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการนำวิธีตรวจดีเอ็นเอมาใช้กับการสืบสวน นิกดีใจมาก ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1988 นิกเป็นนักโทษประหารคนแรกในอเมริกาที่ยื่นขอตรวจดีเอ็นเอเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ แต่ข่าวร้ายคือหลักฐานดีเอ็นเอถูกตำรวจทำลายไปหมดแล้ว หลังจากเขายื่นคำร้องแค่ไม่กี่วัน

แต่นิกก็ไม่ท้อ เขาอ่านข่าวเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมลินดาทุกข่าวอย่างละเอียด จนพบว่า ดร.มูฮัมมัด ตาฮีร์ (Muhammad Tahir) ยังเก็บหลักฐานอสุจิของคนร้ายที่พบในร่างของลินดาเอาไว้ แต่กว่าศาลจะยอมรับฟังคำร้องก็ปี 1992 หรือ 4 ปีหลังจากนั้น และหลักฐานอสุจิของคนร้ายกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย

แต่นิกก็สู้ต่อ จนธันวาคม ปี 2002 หรืออีก 10 ปีต่อมา ศาลยอมให้มีการรวบรวมหลักฐานที่เหลืออยู่เพื่อหาดีเอ็นเอของคนร้าย สี่เดือนต่อมาพวกเขาก็เจอหลักฐานที่ไม่เคยตรวจมาก่อน ซึ่งคือถุงมือของคนร้ายที่พบในรถของลินดา จากการตรวจดีเอ็นเอที่อยู่ในถุงมือพบว่าเป็นดีเอ็นเอของชายที่ระบุตัวไม่ได้ และไม่ตรงกับดีเอ็นเอของนิก

16 มกราคม 2004 หลังจากถูกขังมานานกว่า 22 ปี นิกก็ถูกปล่อยตัวพร้อมรับเงินชดเชยที่ทางการขอให้ปิดตัวเลขเป็นความลับ นิกถูกทำร้ายมาหนักหนาสาหัส เขาจึงเข้าร่วมองค์กรเพื่อช่วยพิสูจน์ความบริสุทธ์ให้คนที่อยู่ในเรือนจำ และร่วมรณรงค์ให้ยกเลิกโทษประหารชีวิต

นิกกล่าวว่า

ช่วงเวลาแห่งความยากลำบาก คือโอกาสที่ยอดเยี่ยมในการสร้างความหมายให้กับตัวเอง แสดงให้พวกเขาเห็นว่าคุณไม่ยอมจำนน  ไม่ต้องไปแสวงหาความถูกต้องโดยการกล่าวโทษคนอื่น แม้เรื่องแย่ ๆ จะเกิดขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่คุณจะกำหนดได้คือคุณจะเป็นใครหลังจากนั้น


ความหวังแห่งการมีชีวิต

บทเรียนจากชายผู้ถูกวินิจฉัยว่ากำลังจะตายในอีก 6 เดือน

สตามาติส มอรายติส (Stamatis Moraitis) เกิดปี 1915 ที่เกาะอิคาเรีย ประเทศกรีซ เขาเติบโตมาในครอบครัวที่ใช้ชีวิตเรียบง่าย พ่อแม่ของเขาและคนส่วนใหญ่บนเกาะทำอาชีพเกษตรกรรมและเลี้ยงสัตว์ แต่พอเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั่วยุโรปก็เข้าสู่สภาวะวิกฤต

สตามาติสถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร เขาถูกศัตรูยิงเข้าที่ลำตัว แต่รอดชีวิตมาได้หลังจากเข้ารับการรักษาอยู่นานหลายเดือน เขาหวังว่าเมื่อสงครามจบลงจะได้กลับไปใช้ชีวิตเรียบง่ายที่บ้านเกิดอีกครั้ง แต่กลายเป็นว่าสงครามโลกส่งผลให้เศรษฐกิจของกรีซอยู่ในภาวะแร้นแค้น ชาวกรีซหลายหมื่นคนต้องอพยพย้ายไปทำมาหากินที่อื่น

ปี 1943 สตามาติส ย้ายมาอยู่เมืองพอร์ตเจฟเฟอร์สัน รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา (Port Jefferson, New York) ทำงานรับจ้างทั่วไป ก่อนจะย้ายมาเป็นช่างทาสีที่รัฐฟลอริดา ที่นั่นเขาได้แต่งงานกับหญิงลูกครึ่งกรีก-อเมริกัน มีลูกด้วยกัน 3 คน ทำงานเก็บเงินได้พอสมควร จนซื้อบ้าน 3 ห้องนอน และรถเชฟโรเลตได้อีกหนึ่งคัน

สตามาติสทำงานหนักโดยไม่หยุดพัก จนปี 1976 เขารู้สึกหายใจไม่ออกและเหนื่อยผิดปกติ เขาหยุดงานกลางคันเพื่อไปโรงพยาบาล หมอเอกซ์เรย์ร่างกายและพบว่าเขาป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียง 6-9 เดือนเท่านั้น

ตอนแรกสตามาติสรู้สึกเหมือนชีวิตของตัวเองจบสิ้นลงแล้ว เขาอยากรักษามะเร็งตามคำแนะนำของหมอ เพื่อประคับประคองชีวิตให้อยู่กับลูก ๆ ได้นานที่สุด แต่ด้วยค่ารักษาและค่าจัดงานศพที่อเมริกานั้นสูงลิ่ว ทำให้เขาตัดสินใจไม่รักษาและกลับไปใช้ชีวิตวาระสุดท้ายที่เกาะอิคาเรียซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขา โดยไปอาศัยอยู่กับพ่อแม่พร้อมภรรยา ส่วนลูก ๆ ที่โตกันหมดแล้ว ยังคงปักหลักอยู่ที่สหรัฐอเมริกา

เกาะอิคาเรียมีเนื้อที่ประมาณ 265 ตารางกิโลเมตร มีคนอยู่อาศัยประมาณ 10,000 คน เกาะนี้ล้อมรอบด้วยทะเลอีเจียน สันเขาปกคลุมไปด้วยพุ่มไม้สูงชัน มีป่าต้นโอ๊กหนาทึบและไร่องุ่นที่อุดมสมบูรณ์ สตามาติสคิดว่าอย่างน้อยถ้ามาตายบนเกาะนี้ เขาก็จะได้ถูกฝังเคียงข้างหลุมศพของบรรพบุรุษในราคาเพียง 200 ดอลลาร์ แทนที่ต้องจ่ายหลายพันดอลลาร์เพื่อถูกฝังอย่างเหงาหงอยในสุสานที่สหรัฐอเมริกา

ในปี 1977 สตามาติสใช้ชีวิตอยู่กับมะเร็งปอดมาได้หนึ่งปีแล้ว เกินกว่าที่หมอคาดการณ์ไว้ พอมาอยู่บนเกาะบ้านเกิด สตามาติสก็ได้พบกับเพื่อนวัยเด็ก ได้พูดคุยกันถึงเรื่องความทรงจำและกลับมาสนิทสนมกันอีกครั้ง ตอนบ่ายของทุกวันทั้งสองคนจะนัดเจอกันที่ร้านอาหาร พูดคุยกันราว 1-2 ชั่วโมง พร้อมกับดื่มไวน์ท้องถิ่นไปด้วย

สตามาติสสนุกกับการได้อยู่กับธรรมชาติ เขาเริ่มปลูกผักสวนครัว เพราะรู้สึกว่าตัวเองค่อย ๆ แข็งแรงขึ้น และตัดสินใจมาช่วยงานที่ไร่องุ่นขนาด 2 เอเคอร์ของครอบครัว กิจวัตรประจำวันของเขาบนเกาะอิคาเรียคือตื่นเช้าโดยไม่ตั้งนาฬิกาปลุก จากนั้นทำงานในไร่องุ่นจนถึงเที่ยงวัน พักกินอาหารและงีบหลับกลางวัน จากนั้นช่วงเย็นจะเดินไปเล่นโดมิโนกับเพื่อน ๆ จนเลยเที่ยงคืนถึงเดินกลับบ้าน และเข้านอนโดยคิดว่าคืนนี้เป็นค่ำคืนสุดท้ายของชีวิต

สตามาติสแข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนสามารถเดินเล่นได้รอบเกาะ มีแรงต่อเติมบ้านให้พ่อแม่ เขาไม่เคยรับการรักษาแบบเคมีบำบัด ไม่เคยกินยาหรือรักษามะเร็งด้วยวิธีไหนเลย สิ่งที่เขาทำเพียงแค่ย้ายมาอยู่บนเกาะอิคาเรีย ใช้ชีวิตอย่างอบอุ่นกับครอบครัวและเพื่อนฝูงในหมู่บ้านเล็ก ๆ อยู่กับธรรมชาติ ดื่มไวน์และเบียร์ที่ทำกันเองในท้องถิ่น

จนปี 2012 หรือ 35 ปีต่อมา สตามาติสในวัย 97 ปียังคงแข็งแรงดี เรื่องราวของเขาถูกพูดถึงไปทั่วโลก จนนักวิจัยและสื่อชื่อดังอย่าง The New York Times และ BBC เดินทางมาศึกษาว่าบนเกาะอิคาเรียมีอะไรดี จนพบว่าประชากร 1 ใน 3 บนเกาะอิคาเรียมีอายุยืนยาวเกิน 90 ปี และแทบไม่มีใครบนเกาะนี้ป่วยเป็นซึมเศร้าหรือโรคความจำเสื่อม ทั้งที่คนแก่ทั่วโลกเจอปัญหานี้กันเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

นอกจากชาวอิคาเรียจะดื่มไวน์และเบียร์วันละเล็กน้อยแล้ว พวกเขายังนิยมดื่มชาภูเขาซึ่งเป็นชาสูตรท้องถิ่นที่ทำจากสมุนไพรอย่างออริกาโน ใบเสจ สะระแหน่ป่า โรสแมรี อาร์เทมิเซีย และใบแดนดิไลออน นำมาต้มแล้วเติมมะนาวเล็กน้อย ชาภูเขาจัดเป็นวิธีการรักษาแบบกรีกโบราณ สะระแหน่ป่าสามารถกำจัดอนุมูลอิสระออกจากร่างกาย และลดความผิดปกติในระบบทางเดินอาหาร โรสแมรีใช้รักษาโรคเกาต์ อาร์เทมิเซียช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด

ชาวอิคาเรียนิยมกินถั่วมากกว่าคนอเมริกาถึง 6 เท่า กินปลาสัปดาห์ละ 2 ครั้ง กินน้ำตาลและน้ำอัดลมน้อยมาก และอาหารของคนที่นี่มักมีส่วนประกอบเป็นน้ำมันมะกอก ผักและนมไขมันต่ำ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ และลดคอเลสตอลรอลที่ไม่ดีในร่างกาย นอกจากนี้การงีบหลับระหว่างวันสามารถช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดในหัวใจได้มากถึง 37%

สตามาติสมีอายุอยู่ได้อีก 40 ปี นับตั้งแต่ที่หมอบอกว่าเขาเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย เขามาเสียชีวิตอย่างสงบเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2013 ในวัย 98 ปี ด้วยโรคชรา แม้จะไม่มีใครทราบสาเหตุว่าทำไมสตามาติสถึงหายจากมะเร็งได้แบบปลิดทิ้ง แต่ชีวิตของเขาทำให้เราเห็นว่า แม้ทุกอย่างจะดูสิ้นหวัง หมอบอกหมดหนทางรักษา หรือรู้ล่วงหน้าว่ากำลังจะตาย แต่เราก็ยังสามารถเลือกได้ว่าจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ด้วยความกลัว หรือจะใช้ชีวิตให้มีความสุข


เพื่อน ๆ คนไหนสนใจเรื่องการมีชีวิตที่ยืนยาวของคนบนเกาะอิคาเรีย สามารถตามไปฟังพอดแคสต์เรื่องเคล็ดลับอายุยืน 100 ปี ที่ผมเคยทำเอาไว้ได้ครับ นอกจากจะมีเรื่องของคนบนเกาะอิคาเรียแล้ว ยังมีเรื่องราวเคล็ดลับของคนอายุยืนจากทั่วทุกมุมโลกอีกด้วยครับ

สำหรับเพื่อน ๆ ที่สนใจอ่านเรื่องราวที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง เรื่องราวของคนที่ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา สามารถตามไปอ่านให้ครบทั้ง 14 เรื่องราวได้ครับกับหนังสือ When Hope Becomes History โลกหมุนด้วยความหวัง เขียนโดยพรพล สุวรรณทัต ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ loupe ราคา 250 บาทครับ

สนใจหนังสือ WHEN HOPE BECOMES HISTORY โลกหมุนด้วยความหวัง
สามารถสั่งซื้อได้ที่ Shopee: https://s.shopee.co.th/9KWTwotLHg
ซื้อผ่านลิงค์เป็นการสนับสนุนช่องครับ

Share

Leave a comment

Leave a Reply

What's New

สรุปเนื้อหาและแนะนำหนังสือที่น่าสนใจ ชวนเพื่อน ๆ มาพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้นในทุก ๆ วันไปด้วยกันครับ

Copyright 2025 Aitim and Co. All rights reserved

error: Content is protected !!