Effortless คนเก่งคิดง่าย ไม่คิดยาก วิธีลงมือทำแบบง่ายดาย เหนื่อยน้อยลง แต่ผลลัพธ์มากขึ้น

Share
Share

หลายคนที่มุ่งมั่นพัฒนาตัวเอง พยายามสร้างความก้าวหน้าโดยการทำงานอย่างหนัก ช่วงแรกเราอาจพบว่าการทำงานหนักให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่า ยิ่งพยายามมากก็ยิ่งได้ผลลัพธ์มาก แต่พอถึงจุดหนึ่งเราจะรู้สึกว่าผลลัพธ์เริ่มออกมาไม่คุ้มค่ากับแรงที่ลงไป แม้จะพยายามมาก แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับมานั้นน้อย ในสถานการณ์แบบนี้ สิ่งที่เราพอจะคิดออกคือพยายามให้มากขึ้นไปอีก ทำงานให้มากขึ้น เรื่องพักผ่อนช่างมันไปก่อน แต่มีหนังสือเล่มหนึ่งบอกว่าการคิดแบบนี้เป็นการคิดที่ผิดครับ

ไอติมอ่าน ep นี้ มาแนะนำหนังสือชื่อ Effortless ชื่อภาษาไทยคือ คนเก่งคิดง่าย ไม่คิดยาก เขียนโดย Greg McKeown ใจความหลักของหนังสือเล่มนี้เน้นไปที่การทำให้สิ่งสำคัญกลายเป็นเรื่องง่ายและไม่ต้องออกแรงมากนัก เพื่อให้เราสามารถทำสิ่งนั้นได้อย่างต่อเนื่อง โดยที่ไม่รู้สึกเหนื่อยล้าหรือหมดไฟไปซะก่อน

คนจำนวนมากถูกปลูกฝังว่ายิ่งพยายามมากเท่าไหร่ก็ยิ่งได้ผลลัพธ์ที่ต้องการมากขึ้นเท่านั้น เมื่อคนเหล่านี้ทุ่มเทอย่างหนักแต่ไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ พวกเขาก็จะยิ่งทุ่มเทมากกว่าเดิม หมกมุ่นมากกว่าเดิม มองความก้าวหน้าอันน้อยนิดว่าเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าต้องพยายามให้มากกว่านี้ แต่ความจริงคือพอถึงจุดหนึ่ง การทุ่มเทพยายามมากขึ้นไม่ได้ทำให้เราพัฒนาขึ้น แต่กลับทำให้แย่ลงมากกว่าครับ

สิ่งนี้เรียกว่ากฎผลตอบแทนลดน้อยถอยลง (law of diminishing return) ซึ่งหมายถึงเมื่อถึงจุดหนึ่งที่ปัจจัยการผลิตถูกเพิ่มเข้าไปจะทำให้เกิดอัตราผลลัพธ์ที่ลดลง เช่น หากผมเขียนนิยายเป็นเวลา 2 ชั่วโมง ผมจะเขียนได้ 2 หน้า แต่ถ้าเขียน 4 ชั่วโมงจะเขียนได้ 3 หน้า อัตราผลลัพธ์ที่ค่อย ๆ ลดลงแม้ทุ่มเทมากขึ้นแบบนี้ควรถูกตั้งคำถามครับ

เรามานิยามการทำงานใหม่กันดีกว่าครับ มาทำให้งานกลายเป็นสิ่งที่ลงมือทำได้ง่ายดาย มาเปลี่ยนให้สิ่งสำคัญถูกทำให้สำเร็จด้วยการพยายามที่น้อยลง มาใส่ความตั้งใจที่พอเหมาะ แทนที่จะทุ่มเทมากจนเกินไป

หนังสือเล่มนี้แบ่งเนื้อหาออกเป็น 3 ส่วนครับ คือ

  1. ภาวะง่ายดาย
  2. การลงมือทำอย่างง่ายดาย
  3. ผลลัพธ์ที่ง่ายดาย

หากเข้าใจเนื้อหาทั้ง 3 ส่วนนี้จะช่วยให้เราระบุได้ว่างานอะไรที่สำคัญ รู้วิธีปรับเปลี่ยนให้งานนั้นง่ายต่อการลงมือทำ ซึ่งจะช่วยให้เราเหนื่อยน้อยลง แต่ได้ผลลัพธ์ที่มากขึ้นครับ


1. ภาวะง่ายดาย (Effortless State)

เวลาที่เรารู้สึกว่าคอมพิวเตอร์ของเราทำงานช้าลง แค่เราลองปิดทุกโปรแกรมที่เปิดอยู่ เคลียร์เมมโมรีของเครื่อง เพียงเท่านี้คอมพิวเตอร์ของเราก็จะกลับมาทำงานได้ลื่นไหล ในทำนองเดียวกันเราสามารถทำแบบนั้นกับสมองของเราได้ครับ

เพื่อน ๆ เคยเจอวันทำงานที่แสนยาวนาน ทำงานติดต่อกันจนรู้สึกปวดหัวและงานก็ไม่มีทีท่าว่าจะลดลงไหมครับ ช่วงนี้เราจะรู้สึกหงุดหงิด จำไม่ได้ว่าวางโทรศัพท์หรือกุญแจไว้ที่ไหน อารมณ์เสียกับคำติเล็ก ๆ น้อย ๆ ของหัวหน้า หงุดหงิดคนรักและไม่รู้ว่าจะหาคำมาอธิบายอารมณ์นั้นยังไงดี ช่วงเวลานี้อะไร ๆ ก็ดูยากเย็นไปหมด

แต่พอเราได้กินอาหารอุ่น ๆ อาบน้ำอุ่น ๆ และได้นอนหลับอย่างเต็มที่ อะไร ๆ ก็ดูแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง เราตื่นขึ้นมาพร้อมกับสมองที่ปลอดโปร่ง กลับมามีความสามารถตามธรรมชาติของเรา ผู้เขียนเรียกช่วงแห่งความรู้สึกนี้ว่า “ภาวะง่ายดาย” หรือ Effortless ครับ

เมื่อเข้าสู่ภาวะง่ายดาย เราจะรู้สึกสบายขึ้น รู้สึกหนักอึ้งน้อยลง รู้สึกเหนื่อยหรือกังวลน้อยกว่าที่ผ่านมา รู้สึกมีพลังมากขึ้น รู้สึกเต็มไปด้วยความกระจ่าง ได้ปลดเปลื้องภาระทางใจ กำจัดสิ่งรบกวนทางความคิดออกไปได้ มองเห็นอะไร ๆ ได้ชัดเจนขึ้น เราจะสังเกตเห็นวิธีลงมือทำที่ถูกต้องและหนทางที่เหมาะสม

ภาวะง่ายดายเป็นภาวะที่เราจะได้พักกาย ผ่อนคลายอารมณ์และเติมพลังสมอง เราจะอยู่กับปัจจุบัน ตั้งใจและจดจ่ออยู่กับสิ่งสำคัญชั่วขณะนั้นอย่างเต็มที่ นี่เป็นช่วงเวลาที่เราจะสามารถลงมือทำสิ่งสำคัญที่สุดได้อย่างง่ายดาย

สนุก

วิธีในการสร้างภาวะง่ายดายวิธีแรกคือการทำให้สิ่งนั้นสนุก ให้เพื่อน ๆ จับคู่งานที่สำคัญกับกิจกรรมที่สนุก เช่น ผู้บริหารคนหนึ่งที่ผู้เขียนเคยร่วมงานด้วยเล่าว่าการวิ่งบนลู่วิ่งทุกวันเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเขามาก แต่เขาก็วิ่งบ้างไม่วิ่งบ้าง จนลองเอาการวิ่งบนลู่มาจับคู่กับกิจกรรมที่เขาชอบทำมากที่สุดคือการฟังพอดแคสต์ ปัจจุบันผู้บริหารคนนี้จะได้ฟังพอดแคสต์ก็ต่อเมื่อเขาวิ่งอยู่บนลู่เท่านั้น เขาพบวิธีทำให้การวิ่งเป็นกิจวัตรที่น่าสนุกและลงมืออย่างต่อเนื่องได้ไม่ยาก

พักผ่อน

ทุกวันนี้เราอยู่ในโลกที่คนพร้อมทำงานตลอด 24 ชั่วโมง และบางคนไม่รู้จริง ๆ ว่าจะพักผ่อนยังไง การอยู่เฉย ๆ กลายเป็นเรื่องที่ทำได้ยากเหลือเกิน แต่การพักผ่อนอย่างเพียงพอเป็นสิ่งสำคัญในการฟื้นฟูพลังงานและรักษาสภาวะการทำงานที่ดีเอาไว้

มีงานวิจัยระบุว่าปัจจุบันคนเรานอนน้อยกว่าคนเมื่อ 50 ปีที่แล้วเกือบ 2 ชั่วโมง คนที่นอนน้อยกว่าคืนละ 7 ชั่วโมงมีแนวโน้มจะเป็นโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมองตีบ โรคหอบหืด โรคข้ออักเสบ โรคซึมเศร้า โรคเบาหวาน และมีแนวโน้มที่จะน้ำหนักตัวเกินมากกว่าเกือบ 8 เท่า และคนที่นอนน้อยกว่าคืนละ 6 ชั่วโมงจะทำให้ทักษะความสามารถทางร่างกายและสมองแย่ลง สัปงกบ่อยขึ้นครับ

มีงานวิจัยให้ผู้เข้าร่วมการทดลองอาบน้ำอุ่นก่อนนอน 90 นาที พบว่าพวกเขานอนหลับได้เร็วกว่า หลับได้นานกว่า และมีคุณภาพการนอนหลับที่ดี นักวิจัยอธิบายหลักการว่าการอาบน้ำอุ่นจะกระตุ้นกลไกการสร้างความเย็นของร่างกาย โดยจะส่งเลือดอุ่น ๆ จากแกนกลางร่างกายออกสู่ภายนอก และระบายความร้อนออกสู่มือและเท้าของเรา ทำให้อุณหภูมิร่างกายของเราลดลง ส่งผลให้เรานอนหลับง่ายขึ้นได้นั่นเองครับ

นอกจากนี้การงีบหลับระหว่างวันยังช่วยชดเชยการอดนอนได้ โดยงายวิจัยพบว่าการงีบหลับช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพของการใช้เหตุผลเชิงตรรกะ ช่วยปรับปรุงสภาพอารมณ์ โดยทำให้เราใจร้อนและหงุดหงิดน้อยลง ในหนังสือให้สูตรการงีบหลับเอาไว้ดังนี้ครับ

  1. สังเกตว่าตอนไหนที่เราเหนื่อยล้าจนจดจ่อกับอะไรยากขึ้น
  2. กันแสงและเสียงโดยใช้ผ้าปิดตาและที่อุดหู
  3. ตั้งนาฬิกาปลุกตามเวลาที่ต้องการ
  4. ในตอนที่กำลังพยายามจะหลับ ห้ามคิดว่าจะเอาเวลานี้ไปทำงานอะไรได้บ้าง

ช่วงแรกอาจต้องใช้ความพยายามสักหน่อยครับ เพื่อน ๆ อาจจะยังหลับไม่ได้ในทันที เมื่อพบแล้วว่าช่วงไหนของวันที่เพื่อน ๆ มีแนวโน้มอยากงีบหลับ ให้กำหนดเวลางีบหลับไว้ช่วงนั้นเลย แล้วการงีบหลับจะกลายเป็นเรื่องที่ไม่ต้องใช้ความพยายามและไม่ทำให้รู้สึกผิด


2. การลงมือทำอย่างง่ายดาย (Effortless Action)

ปัจจัยที่ทำให้นักบาสเกตบอลชู้ตลูกโทษสำเร็จคือ ความเร็วของการชู้ต และการรู้จุดเคลื่อนไหวที่พอดี ซึ่งการจะทำอย่างนั้นได้ต้องอาศัยการฝึกซ้อมและความจำกล้ามเนื้อ จนการเคลื่อนไหวนั้นเป็นธรรมชาติและเป็นไปโดยสัญชาตญาณ นี่คือเป้าหมายของการลงมือทำอย่างง่ายดายครับ

ก่อนจะลงมือทำอะไรสักอย่าง เราต้องกำหนดก่อนว่าผลลัพธ์ที่สำเร็จแล้วเป็นยังไง ผู้เขียนยกตัวอย่างเรื่องเมื่อ 400 ปีก่อนของกษัตริย์กุสตาฟที่ 2 แห่งสวีเดนที่ต้องการสร้างเรือรบขนาดมหึมาชื่อว่าวาซา โดยให้ช่างต่อเรือชื่อเฮนริก ไฮเบิร์ตส์สัน เป็นคนควบคุมงานสร้าง

สปอยให้เพื่อน ๆ รู้ก่อนเลยว่าโครงการเรือรบวาซาล้มเหลวครับ เพราะกษัตริย์กุสตาฟไม่มีวิสัยทัศน์ชัดเจนว่าอยากให้เรือที่สร้างเสร็จมีหน้าตาเป็นยังไง แถมยังเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาหลายครั้ง โดยตอนแรกอยากให้เรือมีความยาว 33 เมตร พร้อมปืนใหญ่ 32 กระบอก ต่อมาเปลี่ยนความยากเป็น 37 เมตร และช่างเฮนริกยังไม่ทันจะปรับแก้แบบเสร็จ กษัตริย์กุสตาฟก็เปลี่ยนใจให้เรือมีความยาว 41 เมตรแทน

คนงานกว่า 400 ชีวิตทุ่มเทอย่างหนักเพื่อให้การสร้างเรือสำเร็จลุล่วง แม้งานของพวกเขาใกล้จะเสร็จอยู่รอมร่อ แต่กษัตริย์กุสตาฟก็สั่งให้ติดตั้งปืนใหญ่จำนวน 64 กระบอก ว่ากันว่าคำสั่งนี้ทำให้ช่างเฮนริกเครียดจนหัวใจวายตาย จนต้องให้ช่างคนใหม่มาควบคุมงานสร้างแทน

10 สิงหาคม 1628 เรือวาซาแล่นออกจากท่าเรือสตอกโฮล์มออกสู่ทะเล กษัตริย์กุสตาฟจัดงานฉลองใหญ่โต เชิญคณะทูตต่างชาติมาชม จุดพลุเฉลิมฉลอง แต่พอมีลมกรรโชกแรงกระทบกับใบเรือเข้า เรือวาซาขนาดมหึมาก็เอียงไปด้านหนึ่ง พอกระบอกปืนใหญ่จุมลงทะเล น้ำก็ทะลักเข้าเรือผ่านช่องปืนใหญ่ เรือวาซาจมลงสู่ก้นทะเลภายในเวลา 50 นาทีในการออกเรือครั้งแรก พร้อมลูกเรืออีก 50 ชีวิต โดยที่แล่นไปได้ไม่ถึง 1 ไมล์

โครงการเรือรบที่ราคาสูงที่สุดในประวัติศาสตร์สวีเดนล้มเหลวเพราะกษัตริย์กุสตาฟทำให้ภารกิจแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสร้างให้สำเร็จ เพราะพระองค์เอาแต่เปลี่ยนใจว่าสิ่งที่ “สำเร็จแล้ว” ควรเป็นยังไง งานหนึ่งจะกลายเป็นเรื่องยากเสียจนเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำให้เสร็จ หากเป้าหมายสุดท้ายของงานนั้นคลุมเครือ

โดยหลักการแล้วเราไม่สามารถทำภารกิจให้เสร็จลุล่วงได้ โดยปราศจากจุดหมายปลายทางที่ชัดเจน การทุ่มเทปรับปรุงแก้ไขงานนั้นอาจเปล่าประโยชน์ อีกทั้งมีแนวโน้มที่จะเลิกทำกลางคัน หากเพื่อน ๆ มีงานสำคัญที่ต้องทำให้เสร็จ สิ่งที่ต้องทำเป็นอย่างแรกคือการกำหนดว่า “งานที่เสร็จแล้ว” เป็นยังไง

มาดูตัวอย่างของการเปลี่ยนเป้าหมายที่คลุมเครือให้กลายเป็นเป้าหมายที่ชัดเจนกันครับ

  • อยากลดน้ำหนัก -> ภายใน 6 เดือน น้ำหนักต้องลดเหลือ 70 กก.
  • อ่านหนังสือมากขึ้น -> อ่านหนังสือก่อนนอนคืนละ 1 ชั่วโมง
  • เดินมากขึ้น -> เดินให้ได้วันละ 10,000 ก้าว ตามที่นาฬิกาตรวจสุขภาพบอก

ขั้นตอนแรกที่ชัดเจน

ไม่สำคัญว่างานที่เรากำลังจะลงมือทำมีอยู่กี่ขั้นตอน จะมี 5 ขั้นตอน หรือ 50 ขั้นตอน สิ่งที่เราต้องให้ความสำคัญคือขั้นตอนแรกสุดเท่านั้นครับ เพราะเมื่อไหร่ที่เราระบุขั้นตอนแรกสุดออกมาเป็นการลงมือทำที่ชัดเจนและจับต้องได้ เมื่อนั้นการลงมือทำงานชิ้นนั้นก็จะง่ายดายสำหรับเราครับ

เมื่อเราเริ่มลงมือทำขั้นตอนแรกจะส่งผลให้เราเกิดพลังและแรงจูงใจในการลงมือทำขั้นตอนต่อไป งานสำคัญอย่างการเก็บกวาดโรงรถที่รกรุงรัง ขั้นตอนแรกสุดคือการหยิบไม้กวาด การทำรายงานฉบับใหญ่ให้เสร็จ ขั้นตอนแรกสุดคือการหยิบปากกาและกระดาษ

แต่ไม่ว่าขั้นตอนแรกจะง่ายแค่ไหน การไม่ทำอะไรเลยก็ง่ายกว่าอยู่ดี บ่อยครั้งที่เราทำงานอะไรไปได้สักครึ่งทางแล้วรู้สึกว่ามันยากเหลือเกินที่จะทำให้เสร็จ เราจึงหยุดพักงานนั้นไว้ก่อน โดยหวังว่าจะกลับมาลงมือทำต่อทีหลัง แต่เมื่อไหร่ที่คิดจะหยิบมันขึ้นมาทำใหม่อีกครั้ง เมื่อนั้นเราก็รู้สึกท้อ

สาเหตุของเรื่องนี้อาจมาจากการที่เราทำให้งานชิ้นนั้นมีหลายขั้นตอนจนเกินไป ดังนั้นช่วงเวลานี้เราควรถอยกลับมาตั้งคำถามว่า “ขั้นตอนที่น้อยที่สุดในการทำสิ่งนี้ให้เสร็จคืออะไร?” การตัดขั้นตอนที่ไม่สำคัญออก ช่วยให้เราเหลือพลังไปทำงานที่สำคัญให้เสร็จลุล่วงได้ และไม่จำเป็นต้องทำให้เกินความคาดหวังไปเสียทุกอย่าง ไม่จำเป็นต้องใส่ลูกเล่นที่ไม่สำคัญเข้ามาในงาน ตัวอย่างเช่น การทำสไลด์นำเสนอหลายหน้าเกินไป หรือแต่ละหน้ามีตัวอักษรเยอะเกินไป แบบนี้คนที่ต้องฟังการนำเสนอของเราจะรู้สึกเบื่อกับข้อมูลที่มากเกินไปได้ครับ

ไม่ว่าเป้าหมายสูงสุดของเราจะเป็นอะไร เราควรใส่ใจแค่ขั้นตอนที่ช่วยเพิ่มคุณค่าของงาน อะไรที่ไม่สำคัญมักมาพร้อมกับต้นทุกค่าเสียโอกาส การตัดมันออกไปจะทำให้เราเหลือเวลา เหลือพลังงาน และความคิดไปใช้สำหรับงานที่สำคัญกว่าได้ครับ


3. ผลลัพธ์ที่ง่ายดาย (Effortless Results)

ความหมายของผลลัพธ์ที่ง่ายดายไม่ใช่การได้ผลลัพธ์จากการพยายามอย่างหนักแบบครั้งเดียวจบ แต่เป็นการได้รับผลลัพธ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยที่ไม่ต้องใช้ความพยายาม เมื่อไหร่ก็ตามที่เราลงแรงทำอะไรแล้วเกิดผลลัพธ์เพียงหนึ่งครั้ง นั่นเท่ากับว่าเราได้รับผลลัพธ์แบบครั้งเดียวจบ ครั้งหน้าที่เราอยากได้อีกก็ต้องเริ่มต้นใหม่จากศูนย์อีกครั้ง ตัวอย่างเช่น

  • พนักงานพาร์ทไทม์ที่ทำงานได้ค่าจ้างเป็นรายชั่วโมง ถือว่ามีรายได้แบบครั้งเดียวจบ
  • นักเรียนที่เร่งทบทวนหนังสือก่อนวันสอบ พอสอบได้คะแนนก็ลืมเนื้อหา ถือว่าได้รับความรู้แบบครั้งเดียวจบ
  • อาสาสมัครที่ทำงานหนึ่งครั้ง แล้วสร้างผลกระทบได้เพียงหนึ่งครั้ง เช่น แจกข้าวให้คนไร้บ้าน ถือว่าช่วยสังคมแบบครั้งเดียวจบ
  • พ่อที่ต้องคอยเตือนลูกชายให้ทำการบ้านทุกวัน ถือว่าใช้วิธีเลี้ยงลูกแบบครั้งเดียวจบ

ผลลัพธ์แบบครั้งเดียวจบนั้นมีจำกัด คือไม่เกินกว่าปริมาณของความพยายามที่ลงไป แต่ผลลัพธ์แบบสะสมนั้นแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงครับ เราสามารถลงแรงไปเพียงครั้งเดียว แล้วเก็บเกี่ยวผลลัพธ์จากการลงแรงนั้นไปได้เรื่อย ๆ ตัวอย่างเช่น

  • นักเขียนที่เขียนหนังสือ แล้วได้รับค่าลิขสิทธิ์ทุกครั้งที่หนังสือตีพิมพ์เพิ่ม ถือว่าได้รับรายได้แบบสะสม
  • นักเรียนที่เรียนรู้พื้นฐาน แล้วสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้หลากหลาย ถือว่าได้รับความรู้แบบสะสม
  • มูลนิธิที่สอนทักษะอาชีพให้คนไร้บ้านได้มีงานทำ ถือว่าได้ให้ความช่วยเหลือแบบสะสม
  • แม่ที่มอบหมายงานให้ลูกทำทุกวัน โดยไม่ต้องคอยกระตุ้น ถือว่าใช้วิธีเลี้ยงลูกแบบสะสม

ผลลัพธ์แบบสะสมเหมือนดอกเบี้ยทบต้นครับ เบนจามิน แฟรงกลิน สรุปแนวคิดของดอกเบี้ยเอาไว้ว่า “เงินสร้างเงิน แล้วเงินที่ได้มาก็สร้างเงินอีกที” หลักการข้อนี้สามารถนำไปปรับใช้กับเรื่องอื่น ๆ ได้เช่นกัน มาดูกันครับว่าเราสามารถสร้างผลลัพธ์ที่ง่ายดายได้ยังไงบ้าง

1. เรียนรู้

เราควรเรียนรู้หลักการ เพราะไม่ใช่ทุกความรู้ที่จะมีคุณค่าอย่างยืนยาว บางความรู้มีประโยชน์เพียงแค่ครั้งเดียว ผู้เขียนยกตัวอย่างกฎการเคลื่อนที่ 3 ข้อของนิวตัวว่ามันเป็นหลักการพื้นฐานของฟิสิกส์ทุกแขนง กฎของนิวตันนี้ไม่ได้บอกวิธีสร้างรถยนต์ สร้างเครื่องบิน หรือสร้างยานอวกาศแบบเป็นขั้นเป็นตอน แต่มันเป็นหลักการที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับวิศวกรรมยานยนต์ การบิน อวกาศ และอื่น ๆ อีกมากมาย

ชาร์ลี มังเกอร์ รองประธานบริษัทเบิร์กเชียร์ แฮทธาเวย์ ช่วงที่เขาบริหารบริษัท เขาทำกำไรเข้าบริษัทมากกว่าปีละ 24% เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดเงิน ความรู้ด้านการเงินของเขากว้างขวางมาก เขารู้ตั้งแต่เศรษฐศาสตร์ระดับมหภาค ไปจนถึงหุ้นขนาดเล็กเป็นอย่างดี

แนวทางการใช้ชีวิตของชาร์ลีคือการแสวงหาภูมิปัญญาทางโลก เชาเชื่อว่าการผสมผสานความรู้จากหลากหลายแขนง ไม่ว่าจะเป็นจิตวิทยา ประวัติศาสตร์ คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ ปรัชญา หรืออื่น ๆ จะทำให้เราสามารถสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้ เขามองว่าความรู้ทั้งหลายหากตั้งอยู๋โดด ๆ คือสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ยกเว้นว่าความรู้เหล่านั้นจะเชื่อมโยงกันครับ

2. ทำให้เป็นอัตโนมัติ

เดี๋ยวนี้งานหลายอย่างสามารถให้เทคโนโลยีมาทำแทนได้แล้ว เราไม่จำเป็นต้องจำนัดหมายหรือวันสำคัญ ๆ อีกต่อไปแล้ว เพราะสามารถตั้งให้แอพปฏิทินในโทรศัพท์มือถือแจ้งเตือนได้ ก่อนถึงวันนัดไปพบหมอ หรือแจ้งเตือนวันเกิดของเพื่อนและคนในครอบครัว นอกจากนี้เราสามารถตั้งให้แอพธนาคารตัดเงินจำนวนหนึ่ง เพื่อเอาไปซื้อกองทุนทุกครั้งที่เงินเดือนออก เพื่อเป็นการออมเงินสำหรับไปใช้ในวัยเกษียณ

การใช้เทคโนโลยีมาทำงานบางอย่างแทนแบบอัตโนมัติ ช่วยให้เราไม่ต้องเสียเวลามาจัดการงานเหล่านั้นเอง แม้งานเหล่านั้นจะไม่ได้เป็นงานที่ยาก แต่การจะทำให้ได้ต่อเนื่องโดยไม่ลืมก็ไม่ใช่เรื่องง่าย และเราจะได้เอาเวลาที่ต้องทำสิ่งเหล่านั้นไปทำงานอย่างอื่นที่มีความสำคัญมากกว่าแทนครับ

3. ความเชื่อใจ

การทำงานร่วมกับคนอื่นอาจทำให้เรารู้สึกท้อใจได้ เพราะไม่ใช่แค่ต้องจัดสรรสมองสำหรับทำงานเท่านั้น แต่ยังต้องคอยรักษาความสัมพันธ์กับคนในทีมอีกด้วย ยิ่งมีคนเกี่ยวข้องเยอะมากเท่าไหร่ ความซับซ้อนในการประสานงานก็ยิ่งเยอะมากขึ้นเท่านั้น แม้การตัดสินใจเรื่องง่าย ๆ ก็อาจจะกลายเป็นเรื่องยากได้

แต่ทุกภารกิจสามารถเสร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี หากเรามีความเชื่อใจในความสัมพันธ์ครับ เราจะสามารถแบ่งงานได้รวดเร็วระหว่างสมาชิกภายในทีม สามารถเปิดใจพูดถึงทุกปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยความจริงใจ คนในทีมจะแบ่งปันข้อมูลที่มีประโยชน์ให้แก่กันแทนที่จะกั๊กไว้ จะไม่มีใครลังเลที่จะถามหากเกิดสงสัยเรื่องอะไร ความเร็วและคุณภาพในการตัดสินใจจะเพิ่มขึ้น การเมืองในองค์กรจะลดลง ทุกคนจะสนุกไปกับการทำงานร่วมกัน จะทุ่มเทพลังงานและความสนใจไปกับการทำสิ่งสำคัญให้สำเร็จ มากกว่าการแค่ทำไปให้เสร็จ ๆ ไปเท่านั้นครับ

4. ป้องกันไว้ก่อน

การรับมือกับปัญหามักใช้เวลาน้อยกว่าการแก้ไขปัญหาครับ ผู้เขียนยกตัวอย่างชายคนหนึ่งที่ดึงลิ้นชักโต๊ะทำงานออกเพื่อจะหยิบปากกา แต่ลิ้นชักนั้นฝืด ต้องเขย่า ดันเข้าดันออกอยู่หลายครั้งถึงจะเปิดมันได้ ชายคนนั้นหยิบปากกาขึ้นมาแล้วบ่นว่า “ลิ้นชักบ้านี่เปิดยากมา 2 ปีแล้ว” แม้เขาจะใช้เวลาเปิดลิ้นชักที่ฝืดนั้นแค่ไม่กี่วินาที แต่หากนับรวมเวลาที่เขาเสียไปตลอด 2 ปีที่ผ่านมาก็นับว่าเป็นเวลาที่มากพอสมควร แถมเขายังต้องหงุดหงิดทุกครั้งที่เปิดลิ้นชักอีกด้วย

ทำไมหลายคนถึงทนกับปัญหา นั่นเพราะการรับมือกับปัญหาใช้เวลาน้อยกว่าการแก้ไขครับ แม้ชายคนนั้นต้องดึงลิ้นชักเข้าออกอยู่ราว 30 วินาที แต่มันก็ใช้เวลาน้อยกว่าการไปหาซื้อน้ำมันหล่อลื่นมาหยอดรางลิ้นชักครับ การลงทุนแก้ปัญหาให้หายไปอย่างสิ้นซากนับว่าเป็นเรื่องที่คุ้มค่ามาก มันจะช่วยรักษาเวลาและป้องกันการเกิดอารมณ์หงุดหงิดที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอีกหลายร้อยครั้ง ดังนั้นถ้าอะไรมีแนวโน้มว่าจะกลายเป็นปัญหา ให้เพื่อน ๆ สละเวลาแก้ไขมัน ก่อนที่มันจะบานปลายจนกัดกินเวลาและสุขภาพจิตของเพื่อน ๆ ครับ


ผู้เขียนทิ้งท้ายไว้ว่า เรามีทางเลือกทุกชั่วขณะ เราเลือกได้ว่าจะเดินบนเส้นทางที่เหนื่อยขึ้นหรือสบายขึ้น ชีวิตคนเราไม่จำเป็นต้องทำให้ยากเย็นและซับซ้อน ชีวิตของเรายังอีกยาวไกล ไม่ว่าเราจะเจอกับความท้าทาย อุปสรรค หรือความยากลำบากอะไรก็ตามระหว่างทาง เราสามารถมองหาเส้นทางที่ง่ายกว่าได้เสมอครับ

เพื่อน ๆ คนไหนสนใจอยากอ่านเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้อย่างครบ ๆ สามารถหาซื้อมาอ่านเพิ่มเติมได้ครับกับหนังสือ Effortless คนเก่งคิดง่าย ไม่คิดยาก เขียนโดย Greg McKeown ตีพิมพ์เป็นภาษาไทยโดยสำนักพิมพ์วีเลิร์น ราคา 250 บาทครับ

สนใจหนังสือ Effortless คนเก่งคิดง่าย ไม่คิดยาก
สามารถสั่งซื้อได้ที่ Shopee: https://s.shopee.co.th/gFU9klGIW
ซื้อผ่านลิงค์เป็นการสนับสนุนช่องครับ

Share

Leave a comment

Leave a Reply

What's New

สรุปเนื้อหาและแนะนำหนังสือที่น่าสนใจ ชวนเพื่อน ๆ มาพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้นในทุก ๆ วันไปด้วยกันครับ

Copyright 2025 Aitim and Co. All rights reserved

error: Content is protected !!