อย่าปล่อยให้อีโก้ขับเคลื่อนชีวิต บทเรียนเปลี่ยนมุมมองจากหนังสือ Ego Is the Enemy ตัวคุณคือศัตรู

Share
Share

อีโก้สามารถทำลายหน้าที่การงานของคนหนุ่มสาวอนาคตไกล ทำให้บริษัทใหญ่ล่มสลายในชั่วข้ามคืน ทำให้คนที่หวังดีต่อกันมากที่สุดกลายเป็นศัตรูในพริบตา แต่ขณะเดียวกันอีโก้ก็ผลักดันให้เกิดความมุ่งมั่น ความทะเยอทะยาน และความคิดสร้างสรรค์ที่ขับเคลื่อนความก้าวหน้าของมนุษยชาติ อีโก้คือสิ่งลึกลับที่มีความสำคัญต่อมนุษย์ แต่มนุษย์ก็เข้าใจมันน้อยที่สุดเช่นกัน

ไอติมอ่าน ep นี้มาสรุปเนื้อหาจากหนังสือ Ego is the Enemy หรือชื่อภาษาไทยคือ ตัวคุณคือศัตรู เขียนโดยไรอัน ฮอลิเดย์ หนังสือเล่มนี้พูดถึงการจัดการและควบคุมอีโก้ ก่อนที่มันจะกลายเป็นนิสัยแย่ ๆ ติดตัวเรา โดยที่ไม่ทำลายความคิดสร้างสรรค์ ไม่ทำลายแรงบันดาลใจ ซึ่งการจะทำอย่างนั้นได้ เราต้องใช้ความสมดุล ความถ่อมตัว และระเบียบวินัย

ก่อนอื่นเรามาเข้าใจความหมายของคำว่าอีโก้กันก่อนครับ อีโก้ คือความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับความสำคัญของตัวเอง เชื่อว่าตัวเองมีความสามารถเกินกว่าความเป็นจริง จนไม่สนใจพัฒนาเรียนรู้ และปิดกั้นคำแนะนำหรือคำติชมจากคนอื่น รวมถึงความจองหองและความทะเยอทะยานแบบคำนึงถึงแค่ตัวเอง

ผู้เขียนบอกว่าทั้งชีวิตของเราหนีอีโก้ไม่พ้น อีโก้อยู่กับเราทุกช่วงเวลาชีวิต และชีวิตของมนุษย์จะอยู่ในสถานการณ์ 1 ใน 3 นี้เสมอ คือ

  1. เราจะตั้งปณิธานไว้ว่าจะทำบางสิ่ง
  2. เราจะประสบความสำเร็จหรือทะเยอทยานยิ่งขึ้น จนกว่าจะสำเร็จ
  3. เราจะล้มเหลว และวนกลับไปปรารถนาสิ่งใหม่

อีโก้อยู่ในทั้ง 3 สถานการณ์นี้ มันเป็นศัตรูกับเราทั้งขั้นตอนของการสร้าง การรักษา และการฟื้นตัว เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้แนะนำวิธีที่ช่วยให้เรา

  • ตั้งปณิธานอย่างถ่อมตัว
  • ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
  • ฟื้นตัวจากความล้มเหลว

เมื่อกำจัดอีโก้ทิ้งไป เราจะเหลือเพียงแค่ความเป็นจริง สิ่งที่มาแทนอีโก้จะเป็นความถ่อมตน แต่เป็นความถ่อมตนที่แกร่งดั่งหินผา และเต็มไปด้วยความมั่นใจ ซึ่งความมั่นใจคือการเตรียมตัวรับมือ ส่วนอีโก้คือการหลอกตัวเองว่าพร้อมรับมือแล้ว เรามาเข้าสู่เนื้อหาแรกของหนังสือกันเลยครับ


การตั้งปณิธาน

ในตอนที่เรากำลังจะเริ่มทำอะไรบางอย่าง เราอาจเชื่อมั่นในตัวเองว่าสามารถทำได้ทุกอย่างที่ตั้งใจ เชื่อว่าตัวเองเข้าใจทะลุปรุโปร่งไปหมดทุกสิ่ง แต่ทั้งหมดนี้คืออาการของอีโก้ครับ คนที่ก้าวขึ้นมามีชื่อเสียงและเป็นผู้นำ แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทคือ คนที่เกิดมาพร้อมกับความเชื่อมั่นในตัวเอง และคนที่ค่อย ๆ สั่งสมความเชื่อมั่นในตัวเองมาอย่างช้า ๆ ตามความสำเร็จที่เกิดขึ้นจริง

หากถามว่าคนที่เชื่อมั่นในตัวเอง ความเชื่อมั่นของพวกเขาขึ้นอยู่กับอะไร คำตอบคือไม่ขึ้นอยู่กับสิ่งใดเลย ความเชื่อมั่นนั้นเกิดจากอีโก้ล้วน ๆ โดยเฉพาะคนที่เพิ่งเริ่มต้นไล่ตามเป้าหมาย นี่เป็นสาเหตุว่าทำไมเรามักพบว่าคนที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว มักตามมาด้วยการล่มสลายระดับหายนะ

ส่วนคนประเภทหลังสามารถหาจุดสมดุลระหว่างความสามารถ ความทะเยอทะยาน และความเอาจริงเอาจัง มีทักษะการประเมินความสามารถของตัวเอง เป็นคนที่รู้ว่าแม้จะคิดการใหญ่ แต่เราก็ยังจำเป็นต้องใช้ชีวิตอย่างถ่อมตน มุ่งเน้นไปที่การลงมือทำ ค่อย ๆ เดินหน้าไปทีละก้าว ค่อย ๆ เรียนรู้และเติบโตจากการทุ่มเทเวลาครั้งแล้วครั้งเล่า


หนังสือหยิบยกคำพูดของจอห์น บอยด์ นักบินรบฝีมือเยี่ยม ผู้เป็นครูของลูกศิษย์มากมายที่โรงเรียนสรรพาวุธแห่งฐานทัพอากาศเนลลิส บอยด์เคยสอนลูกศิษย์เขาว่า

สักวันหนึ่งเธอจะถึงเวลาที่ต้องเลือก ระหว่างจะเป็นคนสำคัญหรือจะทำสิ่งสำคัญ หากเลือกที่จะเป็นคนสำคัญ เธออาจต้องทำสิ่งที่ขัดกับความรู้สึก และต้องหันหลังให้กับเพื่อนของเธอ แต่เธอจะได้เป็นสมาชิกของกลุ่มพิเศษ เธอจะได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง

หากเธอเลือกอีกทางคือ จะทำสิ่งสำคัญบางอย่าง เธออาจจะไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง แต่เธอไม่ต้องทำสิ่งที่ขัดกับความรู้สึก เธอจะภักดีต่อเพื่อนและต่อตัวเอง อีกทั้งสิ่งที่เธอทำอาจสร้างความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีได้ จงเลือกว่าจะเป็นคนสำคัญหรือจะทำสิ่งสำคัญ

บอยด์สอนสิ่งนี้เพื่อต้องการให้ลูกศิษย์อายุน้อยเห็นว่า หากไม่ระมัดระวังคนเราอาจตกหลุมภาพของความสำเร็จ เข้าใจผิดว่าสัญลักษณ์ของความสำเร็จคือจำนวนดาวบนบ่า ตำแหน่งงาน สถาบันที่เรียนจบมา จำนวนลูกน้อง เงินเดือน หรือจำนวนคนที่ชื่นชอบและติดตาม

สิ่งเหล่านี้อาจเป็นภาพลวงตาก็ได้ การได้เลื่อนตำแหน่งไม่ได้หมายความว่าคน ๆ นั้นเหมาะสมเสมอไป ในบางองค์กรมีการเลื่อนตำแหน่งให้คนไร้ความสามารถ และการทำให้ผู้คนประทับใจนั้น แตกต่างจากการเป็นคนน่าประทับใจอย่างสิ้นเชิง


จงเป็นนักเรียน

หนังสือบอกให้เราจงเป็นนักเรียน พลังของการเป็นนักเรียนไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเรียนรู้ที่มากขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นการปล่อยให้คนอื่นมีอำนาจมาควบคุมอีโก้ของเราอีกด้วย อีโก้จะถูกจำกัด เมื่อเรารู้ตัวว่าไม่ได้เก่งไปกว่าอาจารย์ของเรา เราจะยอมตกเป็นรองเพราะเราไม่สามารถเสแสร้งหรือตบตาพวกเขาได้

แต่คนเราไม่ชอบคิดว่ามีคนอื่นอยู่เหนือกว่าตัวเรา ไม่ชอบคิดว่าเรายังมีอะไรหลายอย่างต้องเรียนรู้ เราอยากไปให้ถึงจุดหมายปลายทางใจจะขาดแล้ว นักปรัชญาชื่ออีปิกเตตัสเคยกล่าวไว้ว่า “คุณไม่สามารถเรียนรู้ได้ หากคุณคิดว่าคุณรู้ดีอยู่แล้ว คุณจะไม่พบคำตอบ หากคุณทะนงตัวหรือมั่นใจเกินกว่าจะยอมถามคำถาม คุณไม่สามารถพัฒนาขึ้นได้ หากคุณปักใจเชื่อว่าคุณยอดเยี่ยมที่สุด”

การยอมรับคำติชมถือเป็นทักษะที่จำเป็นมากในชีวิต ไม่เพียงแต่ต้องรับฟังคำติเตียนที่บาดหู แต่ยังต้องร้องขออย่างกระตือรือร้นให้คนอื่นวิพากษ์วิจารณ์ตัวเราด้วย ต้องพยายามแสวงหาแง่มุมที่เป็นลบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเพื่อนฝูง ครอบครัว และสมองของเราเองบอกว่าเรากำลังทำได้ดีเลิศ

แต่อีโก้ของเราจะพยายามหลีกเลี่ยงการถูกวิพากษ์วิจารณ์ทุกวิถีทาง ใครจะยอมรับว่าตัวเองจำเป็นต้องเรียนรู้เพิ่มเติม อีโก้ทำให้เราคิดว่าตัวเองวิเศษ สมบูรณ์แบบ เป็นอัจฉริยะ และมีความคิดสร้างสรรค์ อีโก้ไม่ชอบความเป็นจริง แต่ชื่นชอบการคิดเอาเอง

เราต้องทำตัวเป็นนักเรียนอยู่เสมอ และนักเรียนที่แท้จริงจะเป็นเหมือนฟองน้ำที่คอยดูดซับทุกอย่าง จากนั้นก็กรองแล้วยึดเกาะสิ่งที่สามารถซึมซับไว้ได้ นอกจากนี้ครูหรืออาจารย์ไม่จำเป็นต้องอยู่ในโรงเรียนหรือต้องจ้างให้มาสอนเท่านั้น ครูอาจารย์หลายคนก็อยู่ในประวัติศาสตร์หรืออยู่ในหนังสือให้เราเปิดอ่าน


Passion หรือความลุ่มหลง

เราเคยได้ยินเรื่องราวของหลายคนทีเดียวที่บอกว่าพวกเขาประสบความสำเร็จเพราะมี passion หรือความลุ่มหลง แต่บรรดาคนเหล่านี้เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็ง เราไม่เคยได้ยินเรื่องราวของคนที่ล้มเหลวแม้จะมี passion คนเหล่านี้ไม่มีโอกาสมาเล่าเรื่องของพวกเขาให้เราฟัง

passion ที่ดีต้องประกอบไปด้วยวินัย ความเชี่ยวชาญ ความแข็งแกร่ง เป้าหมาย และความมานะอุตสาหะ แต่หาก passion นั้นประกอบขึ้นจากความรีบร้อน ความคึกคะนอง และความลนลาน มันจะเป็นได้เพียงความกระตือรือร้นอย่างไร้การควบคุม เป็นเพียงความปรารถนาอันแรงกล้าที่อยากจะเริ่มหรือประสบความสำเร็จในเป้าหมายที่คลุมเครือ ทะเยอทะยาน และขาดแรงจูงใจ

เพื่อน ๆ สามารถเห็น passion แบบหลังได้จากคนที่เล่าให้ฟังได้อย่างละเอียดว่าตัวเองตั้งใจจะเป็นใคร และความสำเร็จของพวกเขาจะเป็นยังไง เล่าสิ่งที่ตั้งใจจะทำหรือสิ่งที่ลงมือทำไปแล้วบ้าง แต่บอกไม่ได้ว่าสิ่งนั้นคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว

การจะมุ่งสู่ความสำเร็จได้ เราต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน มองโลกตามความเป็นจริง เราต้องเริ่มจากจุดไหน ต้องทำอะไรเป็นอันดับแรก เรากำลังทำอะไรอยู่ในตอนนี้ เราจะแน่ใจได้ยังไงว่าสิ่งที่ทำอยู่จะช่วยให้เราก้าวหน้า เรากำลังเปรียบเทียบตัวเองกับอะไร ผู้เขียนเรียกสิ่งเหล่านี้ว่าการมี passion แบบมีขอบเขตครับ


จงทำให้ผู้อื่นดูดี แล้วคุณจะได้ดี

มีคำแนะนำสำหรับเด็กจบใหม่ที่เพิ่งเข้าทำงานว่า “จงทำให้ผู้อื่นดูดี แล้วคุณจะได้ดี” คำแนะนำนี้ไม่ได้บอกให้เราประสบประแจงเจ้านาย และไม่ได้บอกให้เราช่วยให้คนอื่นดูดีเสียทีเดียว แต่เป็นการสนับสนุนผู้อื่นให้ทำได้ดีต่างหาก ในตอนแรกเราอาจต้องแผ้วถางทางให้คนอื่นที่อยู่เหนือกว่าเรา แต่ท้ายที่สุดเราจะได้สร้างเส้นทางสำหรับตัวเราเองครับ

ในตอนที่เริ่มต้นชีวิตการทำงาน เราจะได้รู้ว่าตัวเองไม่ได้เก่งหรือสำคัญเท่าที่เราคิด เราจำเป็นต้องปรับทัศนคติ สิ่งที่เราคิดว่ารู้หรือได้เรียนรู้มาจากมหาวิทยาลัย ส่วนใหญ่แล้วมักจะล้าสมัย วิธีกำจัดความเชื่อผิด ๆ ทั้งหลายคือ เราต้องเอาตัวเองไปอยู่กับคนหรือองค์กรที่ประสบความสำเร็จ ผนวกตัวตนของเราไปกับพวกเขา แล้วก้าวหน้าไปพร้อมกัน

การมีทัศนคติแบบนี้ ทำให้อีโก้ของเราลดลง ได้ปล่อยให้ตัวเองได้ซึมซับทุกสิ่งที่จะสามารถซึมซับได้ จงช่วยเหลือตัวเองด้วยการช่วยเหลือคนอื่น คนอื่นอาจต้องการชื่อเสียงเกียรติยศ แต่ให้เราลืมมันเสีย แล้วมองไปที่ผลประโยชน์ระยะยาว ปล่อยให้คนอื่นยืมมือของเราพาเขาไปสู่ความสำเร็จ ให้อดใจรอเก็บเกี่ยวดอกผลจากการลงทุนเหล่านี้ของเรา


ปรากฏการณ์ผู้ชมในจินตนาการ

งานวิจัยของนักจิตวิทยาชื่อเดวิด เอลไคนด์ แสดงให้เห็นว่าช่วงวัยรุ่นเป็นช่วงที่มักเกิด “ปรากฏการณ์ผู้ชมในจินตนาการ” ตัวอย่างเช่น เด็กนักเรียนอายุ 13 ปี ไม่ยอมไปโรงเรียน เพราะปักใจเชื่อว่าคนทั้งโรงเรียนกำลังซุบซิบนินทาเขาอยู่ ทั้งที่จริงแล้วไม่มีใครสนใจเขาขนาดนั้น หรือเด็กหญิงวัยรุ่นที่ใช้เวลาอยู่หน้ากระจกวันละ 3 ชั่วโมง ราวกับกำลังเตรียมตัวขึ้นแสดงบนเวทีใหญ่ เด็กเหล่านี้ทำแบบนี้เพราะเชื่อว่าคนทั้งโลกกำลังจับตามองทุกการเคลื่อนไหวของพวกเขาอย่างใจจดใจจ่อ

แม้แต่วัยผู้ใหญ่เองก็เกิดปรากฏการณ์ผู้ชมในจินตนาการด้วยเช่นกันครับ หลายคนจินตนาการว่ามีคนคอยมองพวกเขาระหว่างกำลังเดินไปตามถนน จินตนาการถึงการประชุมที่จบลงด้วยความสำเร็จ ทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มประชุม หลายคนติดอยู่ในโลกจินตนาการในหัว แทนที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับโลกจริง แบบนี้แหละครับที่เรียกว่าอีโก้

คนที่ประสบความสำเร็จสามารถควบคุมความเพ้อฝันเหล่านี้ได้ พวกเขาไม่ปล่อยให้รู้สึกว่าตัวเองสำคัญ ไม่หลอกตัวเอง ไม่กลัวว่าชื่อเสียงของตัวเองจะเสียหาย ไม่กังวลว่าคนอื่นจะมองพวกเขาในทางที่ไม่ดี พวกเขาใช้ชีวิตอย่างตรงไปตรงมา และอยู่กับปัจจุบันอย่างกล้าหาญ ใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งแท้จริงที่จับต้องได้ แม้ว่าสิ่งนั้นจะทำให้รู้สึกไม่สบายใจก็ตาม คนเราไม่ได้มีหน้าที่ทำการแสดงให้ใครดู หน้าที่ของเราคือทำงานที่ต้องทำให้เสร็จเท่านั้นครับ


การลงมือทำ

ความแตกต่างของมืออาชีพกับมือสมัครเล่นอยู่ที่การลงมือทำครับ ลำพังแค่มีความคิดหรือมีแผนการบางอย่างนั้นไม่เพียงพอ เราต้องเปลี่ยนการคิดและการพูดให้เป็นการลงมือทำ เฮนรี ฟอร์ด เคยกล่าวเอาไว้ว่า “คุณไม่สามารถสร้างชื่อเสียงได้จากสิ่งที่คุณกำลังจะทำ”

จริง ๆ เราทุกคนก็รู้กันอยู่แล้วว่าถ้าไม่ลงมือทำก็ไม่มีวันประสบความสำเร็จ แต่เรารู้จริง ๆ ไหมว่างานที่ต้องทำนั้นมีมากแค่ไหน มีคนกล่าวว่าต้องลงมือทำบางอย่างเป็นเวลา 20,000 ชั่วโมงถึงจะเชี่ยวชาญสิ่งนั้น คำพูดนี้จะเป็นจริงหรือไม่นั้นไม่สำคัญเลย เพราะการลงมือทำไม่มีวันสิ้นสุด การจะไปให้ถึงฝันได้ต้องอาศัยความพยายามอย่างต่อเนื่อง

อีโก้มักบอกเราว่าแค่คิดหรือปรารถนาจะทำอะไรสักอย่าง แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว อีโก้ชอบให้เราใช้เวลาหลายชั่วโมงจมไปกับการวางแผน จมไปกับการเข้าร่วมสัมมนา หรือพูดคุยกับเพื่อนฝูงที่ประทับใจในแนวคิดของเรา อีโก้นับสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นปัจจัยหนึ่งของความสำเร็จ อีโก้อยากให้เราทำอะไรที่สนุกสนาน เพื่อกลายเป็นจุดสนใจ กลายเป็นคนมีชื่อเสียง

เพื่อจะสู่กับอีโก้ที่ขัดขวางไม่ให้เราไปถึงความสำเร็จ เราต้องนั่งลงทำงานและคิดว่า “ฉันจะอดเปรี้ยวไว้กินหวาน ฉันกำลังเอาจริงเอาจังกับสิ่งที่อยากทำ ฉันกำลังลงทุนกับตัวเองแทนที่จะลงทุนกับอีโก้ ฉันต้องลงมือทำภารกิจที่อยู่ตรงหน้า ต้องฝึกฝนและปรับปรุง ดังนั้นฉันจะทำงาน ทำงาน ทำงาน”


ความสำเร็จ

หลังจากพยายามมาอย่างหนัก ตอนนี้เราก็ปีนมาถึงยอดเขาของความสำเร็จแล้ว หลายคนอาจพบว่าช่วงเวลาที่ได้สัมผัสกับความสำเร็จนั้นทำไมสั้นนัก คำตอบคืออีโก้ทำให้อายุของความสำเร็จนั้นสั้นลง อีโก้ทำให้เราหยุดเรียนรู้ หยุดรับฟัง และไม่รู้อีกต่อไปว่าสิ่งไหนสำคัญ แต่อย่างไรก็ตาม การมีสติ การเปิดใจรับฟัง การมีระบบระเบียบ และการมีเป้าหมายจะช่วยให้เราตั้งมั่นไม่หวั่นไหวได้เป็นอย่างดี โดยจะช่วยถ่วงดุลอีโก้ที่เกิดจากความสำเร็จ และการเป็นที่ยอมรับ

รู้ตัวเองว่าชื่นชอบอะไร

การรู้ตัวเองว่าชื่นชอบอะไรนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของความรอบรู้ และชีวิตอันยืนยาว น่าเสียดายที่หลายคนเสียเวลาอันมีค่าในชีวิตไปกับการทำสิ่งที่ไม่ชอบ เพียงแค่จะพิสูจน์ตัวเองกับคนที่ไม่ได้เคารพนับถือ เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ตัวเองไม่ต้องการ บางคนตอบตกลงโดยไม่ยั้งคิด ไม่กล้าปฏิเสธเพราะกลัวพลาดบางอย่างไป

เพราะอะไรทำไมคนเราถึงทำเช่นนั้น คำตอบคืออีโก้นำไปสู่ความอิจฉา อีโก้ทำให้เราหลงเดินไปผิดทาง เมื่อเราพบเจอคนที่ประสบความสำเร็จ จนเรารู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นคนไม่สำคัญ อีโก้จะทำให้เราเร่งรีบเพื่อที่จะตามคนอื่นให้ทัน ไล่ล่าตามคนอื่นในสิ่งที่ไม่ได้สร้างความสุขให้เรา

ดังนั้นแล้วเราต้องตระหนักรู้ตัวว่ากำลังแข่งในสนามใด คนเราแต่ละคนต่างมีศักยภาพและเป้าหมายเฉพาะตัว และมีแค่ตัวเราเพียงคนเดียวที่จะประเมิน และกำหนดเงื่อนไขชีวิตของตัวเองได้ แต่บ่อยครั้งเราหันไปมองคนอื่น แล้วเอามาตรฐานของเขามาเป็นสิ่งที่จะทำตาม ซึ่งทำให้เราสูญเสียศักยภาพ และเป้าหมายของตัวเองไป

เราควรมานั่งคิดทบทวนว่าสิ่งใดสำคัญสำหรับตัวเราอย่างแท้จริง จากนั้นวางมือจากสิ่งอื่น ๆ ไม่อย่างนั้นความสำเร็จที่ได้รับจะไม่น่าพึงพอใจ หรือสมบูรณ์แบบอย่างที่ควรจะเป็น ความสำเร็จนั้นจะไม่ยั่งยืน


หากเราทำสำเร็จได้ครั้งหนึ่ง ก็หมายความว่าเรามีความพิเศษบางอย่าง เราอาจจะแข็งแกร่งกว่าคนอื่น หรือฉลาดกว่าคนอื่น โดยความรู้สึกเหล่านี้จะเปลี่ยนเป็นความโอหัง และความรู้สึกว่าตัวเองมีสิทธิ์ควบคุมคนอื่น มีสิทธิ์ด่าว่า และออกความเห็นในทุกเรื่อง คิดเล็กคิดน้อยกับคนอื่น คิดว่าเวลาของคนอื่นมีค่าน้อยกว่าของตัวเอง

อีโก้ที่เกิดขึ้นนี้จะกลายเป็นศัตรูที่อันตรายที่สุดของเรา มันทำร้ายคนที่เรารักได้ด้วย ครอบครัวและเพื่อนฝูงต้องทุกข์ใจกับอีโก้นี้ เมื่อเราเริ่มคิดว่าตัวเองมีอำนาจมากกว่าความเป็นจริง และส่งผลให้เราสูญเสียความสามารถในการประเมินสิ่งต่าง ๆ อีกด้วย


เชื่อใจฝีมือคนอื่น

หลังจากเราเจริญก้าวหน้าในชีวิต กิจวัตรการทำงานแบบเดิม ๆ ที่ทำให้เรามาถึงจุดนี้อาจไม่พอที่จะช่วยให้เราอยู่จุดนี้ไปได้ตลอด เราไม่สามารถอาศัยการทำงานหนักกับความโชคดีเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบเดิมได้อีกต่อไป

เมื่อเราสำเร็จในหน้าที่การงาน ความรับผิดชอบของเราจะเปลี่ยนแปลงไป ในแต่ละวันเราจะลงมือทำน้อยลงเรื่อย ๆ และต้องตัดสินใจมากขึ้น นั่นคือธรรมชาติของผู้นำ ในจังหวะนี้เราต้องมีความถ่อมตน เพื่อยอมรับว่าคนอื่นอาจมีคุณสมบัติเหมาะสมหรือเชี่ยวชาญมากกว่าเราในเรื่องที่เราคิดว่าตัวเองเก่ง และวางมือให้คนอื่นทำงานนั้นแทน

การเข้าไปมีส่วนร่วมเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่ตลอดเวลา ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนสำคัญ เพราะเป็นคนที่ถูกเรียกให้มาแก้ปัญหาหรือตัดสินใจอยู่เสมอ แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้มีมาไม่หยุดหย่อน ทำให้เราไม่มีเวลาไปดูแลภาพรวมที่ใหญ่และสำคัญกว่า

หัวหน้าที่บริหารงานแบบจู้จี้จุกจิก และคุมทุกรายละเอียด เป็นคนที่ยึดตัวเองเป็นที่ตั้ง เขาทำตัวเองให้มีภาระล้นเกิน ที่แย่คือคนที่รายล้อมรอบตัวหัวหน้าแบบนี้ มักเป็นคนประจบสอพลอ ทำให้เขาสร้างโลกในจินตนาการขึ้นมา โดยไม่รู้ว่าตัวเองตัดขาดจากความเป็นจริงมากแค่ไหน

ความรับผิดชอบในฐานะหัวหน้านั้นต้องอาศัยการปรับตัวซ้ำ ๆ ต้องชัดเจนกับการตั้งเป้าหมาย และจัดลำดับความสำคัญในภาพรวมสำหรับองค์กร และสำหรับชีวิตของตัวเอง จากนั้นให้ลงมือสร้างสรรค์ผลงาน และคอยติดตามสังเกตการณ์อยู่เสมอ


ความล้มเหลว

ไม่มีใครรักษาความสำเร็จไว้ได้ตลอด และไม่ใช่ทุกคนที่จะประสบความสำเร็จได้ตั้งแต่ครั้งแรก ความล้มเหลวมักจะโผล่มาโดยไม่ได้รับเชิญ แต่อีโก้คือสิ่งที่ทำให้ความล้มเหลวนั้นยังคงอยู่ต่อไป การล้มเหลวไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างสูญเปล่า เราจำเป็นต้องยอมรับ และปรับเปลี่ยนทิศทางเสียใหม่ จึงจะฝ่าฟัน และลุกขึ้นมาได้อีกครั้ง

อีโก้มักชอบทำให้เราคิดว่าความล้มเหลวมาจากความซวย หรือมาจากฝีมือของคนอื่น แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญเลย เพราะยังไงเราก็มีหน้าที่จัดการความล้มเหลวนั้นอยู่ดี หลายครั้งเป้าหมายอาจอยู่ไกลเกินเอื้อม ในขณะที่เราอยู่จุดต่ำสุดของชีวิต แต่สิ่งที่เราต้องมีคือทักษะการประเมินความคืบหน้าของตัวเอง บางครั้งเราอาจทำถูกต้องหรือมาถูกทางแล้ว แต่แค่ผลลัพธ์มันยังไม่ออกมาเท่านั้นเอง

2 ช่วงเวลาของชีวิต

โรเบิร์ต กรีน นักเขียนชื่อดังได้กล่าวเอาไว้ว่า ชีวิตของคนเรานั้นแบ่งช่วงเวลาได้เป็น 2 ประเภท คือเวลาตายซึ่งเป็นช่วงที่เราใช้เราชีวิตเฉื่อยชา และเวลาเป็นซึ่งเป็นช่วงที่เราเรียนรู้ ลงมือทำ และใช้ประโยชน์จากทุกวินาที บางครั้งที่เราเจอกับอุปสรรคที่ทำให้ถึงกับต้องหยุดชะงัก ช่วงเวลานั้นเราอาจพลิกมันให้กลายเป็นโอกาสทองได้ครับ

เอียน เฟลมมิง นักเขียนผู้ให้กำเนิดตัวละครชื่อดังอย่าง James Bond ถูกหมอสั่งให้นอนพักรักษาตัวอยู่นิ่ง ๆ บนเตียง และห้ามใช้เครื่องพิมพ์ดีด เพราะกลัวว่าเขาจะออกแรงมากเกินไป เครื่องพิมพ์ดีดสมัยนั้นแป้นแข็งมาก ลุงเอียนเลยแต่งนิยายเรื่องใหม่โดยใช้มือเขียนแทน หรือวอลต์ ดิสนีย์ นักวาดผู้ให้กำเนิดมิกกี้เมาส์ เขาตัดสินใจเป็นทำอาชีพนักเขียนการ์ตูน ในระหว่างที่พักรักษาอาการบาดเจ็บ จากการเหยียบตะปูขึ้นสนิม


ผลลัพธ์กลับออกมาในแง่ลบ

ในชีวิตของเรามีหลายครั้งที่ลงมือทำทุกอย่างถูกต้องสมบูรณ์ แต่ผลลัพธ์กลับออกมาในแง่ลบ คนอื่นไม่ชอบหรือพากันวิจารณ์เสียหาย แต่ความจริงคือคนเราควบคุมผลลัพธ์จากความพยายามของเราได้น้อยมาก เราไม่ควรเอาตัวเองไปผูกกับสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ เช่น ความคิดของคน แต่จะดีกว่ามาก ถ้าเราคิดว่าแค่ได้พยายามก็เพียงพอแล้ว ยิ่งยึดติดกับผลลัพธ์น้อยลงเท่าไหร่ก็ยิ่งดี คนเราควรถูกเติมเต็มด้วยความภาคภูมิใจ และความนับถือตัวเอง เมื่อเราทำได้ตามมาตรฐานของตัวเอง

แต่สำหรับอีโก้แล้วแค่นี้ไม่เพียงพอ เราจำเป็นต้องได้รับการยอมรับ ต้องได้รับการตอบแทน ต้องได้รับคำยกย่องชมเชย เมื่อคิดแบบนี้แล้ว พออะไร ๆ ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง เราจะเกิดอาการฝันค้างครับ ให้เตรียมใจเอาไว้เลยว่าคนอื่นจะเห็นคุณค่าของเราน้อยเกินไป เราต้องพบเจอความล้มเหลว พ่ายแพ้ และไม่สมหวัง แต่อย่าให้สิ่งเหล่านี้มาเป็นปัจจัยกำหนดว่าบางสิ่งคุ้มค่าที่เราจะลงมือทำหรือไม่ ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับเราแค่คนเดียวครับ


การให้อภัย

บทสุดท้ายผู้เขียนพูดถึงการให้อภัย คนเราแต่ละคนมีความสามารถในการให้อภัยแตกต่างกัน และบางคนอาจมีความสามารถนี้เพิ่มขึ้นตามช่วงเวลาของชีวิตที่เพิ่มขึ้น แม้บางคนอาจสามารถเดินหน้าต่อไปได้ แต่บางคนยังพกความคับแค้นใจที่ไม่มีประโยชน์อะไรติดตัวไปด้วยตลอดชีวิต

การหมกมุ่นกับอดีต กับบางสิ่งที่บางคนทำกับเรา หรือสถานการณ์ที่ควรเกิดแต่ไม่เกิดนั้นเป็นผลมาจากอีโก้ล้วน ๆ คนอื่นเดินหน้า และเริ่มต้นใหม่กันไปหมดแล้ว แต่เราทำไม่ได้ เพราะไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเราควรยอมทำใจ เลยเกิดเป็นความเกลียดชัง และความเกลียดชังนี้เป็นการผลักความผิดให้คนอื่น สุดท้ายแล้วมันไม่ได้ช่วยให้เราเข้าใกล้เป้าหมายขึ้นเลย มันรั้งเราไว้ในจุดเดิม ดังนั้นเราควรใช้ชีวิตแบบไม่มีอีโก้ เปิดใจให้กว้าง และทำแต่สิ่งที่มีประโยชน์ดีกว่าครับ

ข้อคิดปิดท้าย

ตลอดทั้งชีวิตของคนเรานั้นต้องพบเจอกับอีโก้ ทุกช่วงเวลาเราต้องจัดการไม่ให้อีโก้ขึ้นมามีอำนาจเหนือเรา ผู้เขียนได้ให้ข้อคิดที่เป็นการปิดสรุปเนื้อหาในหนังสือไว้ว่า

  • อย่าตั้งปณิธานหรือไขว่คว้าด้วยอีโก้
  • ประสบความสำเร็จโดยไร้อีโก้
  • ก้าวข้ามความล้มเหลวด้วยความแข็งแกร่ง ไม่ใช่อีโก้

ตอนอ่านเล่มนี้มีเนื้อหาหลายตอนเลยครับที่ทำให้ผมฉุกคิด ชวนให้หยุดคิดพิจารณาถึงอีโก้ที่ตัวเองมี อ่านจบแล้วอยากปรับปรุงตัวให้เป็นคนที่นุ่มนวลขึ้น ถ่อมตัวและเห็นอกเห็นใจคนอื่นมากขึ้น เป็นอีกหนึ่งเล่มที่ผมแนะนำให้อ่านครับ ถ้าเพื่อน ๆ สนใจสามารถหามาอ่านได้ครับกับ Ego is the Enemy ตัวคุณคือศัตรู เขียนโดยไรอัน ฮอลิเดย์ ตีพิมพ์เป็นภาษาไทยโดยสำนักพิมพ์วีเลิร์น ราคา 285 บาทครับ

สนใจหนังสือ ตัวคุณคือศัตรู (Ego is the Enemy)
สามารถสั่งซื้อได้ที่ Shopee: https://s.shopee.co.th/6AXrmfOczJ
ซื้อผ่านลิงค์เป็นการสนับสนุนช่องครับ

Share

Leave a comment

Leave a Reply

What's New

สรุปเนื้อหาและแนะนำหนังสือที่น่าสนใจ ชวนเพื่อน ๆ มาพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้นในทุก ๆ วันไปด้วยกันครับ

Copyright 2025 Aitim and Co. All rights reserved

error: Content is protected !!