ปี พ.ศ. 2568 เป็นวาระครบรอบ 50 ปีของความสัมพันธ์ไทย-จีนอย่างเป็นทางการ แต่ในความเป็นจริงคนไทยและคนจีนมีความเชื่อมโยงกันมากว่า 2,000 ปีแล้ว โดยมีหลักฐานโบราณบ่งบอกว่าดินแดนแถบบ้านเรามีการค้าขายกับแผ่นดินจีนมาตั้งแต่ราชวงศ์ฮั่น การค้าขายกับจีนสร้างความมั่งคั่งให้กับกรุงศรีอยุธยาและเมืองท่าต่าง ๆ รอบอ่าวไทยมาตลอดเวลายาวนานหลายร้อยปี
ชาวจีนเข้ามาตั้งหลักปักฐานอยู่ในสยาม สร้างศาลเจ้า สร้างบ้าน สร้างร้านค้า และนำวัฒนธรรมแบบจีนติดตัวมาด้วย บางคำศัพท์ที่เราได้ยินหรือใช้ในชีวิตประจำวัน หลายคำก็เป็นคำที่ยืมมาจากภาษาจีน ไอติมเล่า ep นี้มาเล่าความหมายและที่มาของคำจีนคุ้นหู ซึ่งผมสรุปมาจากนิตยสารสารคดี ฉบับที่ 484 ครับ
กงสี
กง แปลว่าส่วนรวม สี แปลว่าควบคุมหรือจัดการ คำว่ากงสีจึงหมายถึงองค์กรหรือบริษัท แต่ยังหมายถึงธุรกิจครอบครัวแบบจีนอีกด้วย หัวหน้าตระกูลคือหัวหน้ากงสี ที่เริ่มต้นธุรกิจจากรุ่นพ่อที่อพยพมาจากจีน สืบทอดให้ลูกชายคนโตเป็นรุ่นที่ 2 สมาชิกในตระกูลต้องช่วยกันหาเงินเข้ากงสี รายได้ของกงสีจะนำมาเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตของครอบครัว เช่น ค่าเทอมลูกหลาน ค่ารักษาพยาบาล
การขยายกิจการมักให้ลูกชายเป็นหลัก เพราะลูกสาวต้องแต่งงานออกไปอยู่กับครอบครัวฝ่ายสามี หลังวิกฤตเศรษฐกิจปี พ.ศ. 2540 ระบบกงสีต้องปรับตัวตามระบบธุรกิจสมัยใหม่เพื่อความอยู่รอด ในปี พ.ศ. 2561 มีซีรีส์เรื่องเลือดข้นคนจาง สร้างปรากฏการณ์ใครฆ่าประเสริฐ ซึ่งผูกปมมาจากธรรมเนียมชายเป็นใหญ่ในระบบกงสี

กวนอิม
เจ้าแม่กวนอิมเป็นสัญลักษณ์แห่งความเมตตา คนจีนที่อพยพมาสู่สยามได้นำความเชื่อนี้มาเผยแพร่ด้วย เราจึงเห็นรูปเคารพของเจ้าแม่กวนอิมทั้งในศาลเจ้า ตามบ้าน ตามร้านค้า ลักษณะของเจ้าแม่กวนอิมที่คุ้นตามักเป็นสตรีไว้ผมมวยสูง บางองค์อาจถือขวดน้ำทิพย์และกิ่งหลิว บางองค์จีบนิ้วเป็นวง ซึ่งหมายถึงการแสดงธรรม
กุนซือ
คำว่ากุนซือเพี้ยนมาจากเสียงแต้จิ๋วว่า กุงซือ เสียงจีนกลางว่า จวินซือ หมายถึงนักวางแผนการรบ คำว่า กุง และ จวิน แปลว่ากองทัพ กุนซือผู้โดดเด่นในประวัติศาสตร์จีนที่คนไทยรู้จักดีคือขงเบ้ง หรือจูกัดเหลียง ในวรรณกรรมสามก๊ก
ในภาษาไทยก็มีคำเรียกทางการทหารเทียบเท่าคำว่ากุนซื่อคือคำว่า เสธ. ย่อมาจากเสนาธิการ ต่อมาคำว่ากุนซื่อขยายไปใช้กับโค้ชกีฬาเช่น กุนชือทีมฟุตบอล กุนซือทีมวอลเลย์บอล
งิ้ว
งิ้วมาจากคำว่า อิว ในสำเนียงแต้จิ๋วที่หมายถึงดีหรือยอดเยี่ยม จุดเด่นของงิ้วคือนักแสดงแต่งหน้าทาปากด้วยสีจัดจ้าน เวลาแสดงจะออกสีหน้าท่าทางอย่างขึงขังเอาจริง ทั้งอารมณ์เศร้า โกรธ หรือต่อสู้ ประกอบการร้องเพลงและบทสนทนา แม้คนไม่รู้ภาษาจีนก็ซึมซับอารมณ์ได้ จนมีสำนวนไทยว่า ออกงิ้ว หมายถึงการแสดงสีหน้าท่าทางโกรธอย่างรุนแรง
การแสดงงิ้วในไทยเคยเป็นที่นิยมตามศาลเจ้าในเทศกาลสำคัญ ต่อมาถูกแทนที่ด้วยการฉายหนังกลางแปลง จนตอนนี้เหลือคณะงิ้วเพียงไม่กี่คณะ และส่วนใหญ่เป็นคนอีสาน

จับกัง
จับ หรือ จั๊บ แปลว่าหลากหลาย ปะปนกัน กัง แปลว่างาน รวมกันแปลว่าคนที่ทำงานหลายอย่างปะปนกันตามคำสั่งเจ้านาย ส่วนใหญ่เป็นงานที่ไม่ต้องใช้ความรู้หรือทักษะพิเศษ เช่น จับกังในร้านค้า ทำหน้าที่ตั้งแต่ยกของ จัดของ ปัดกวาดเฝ้ายาม ในอดีตเมื่อจับกังเรียนรู้งานหลายอย่างแล้วก็อาจลาออกไปทำกิจการเป็นของตัวเอง
ส่วนในเมืองไทยจับกังหมายถึงกรรมกรแบกหาม มีทั้งคนจีนและคนไทย มีความหมายเดียวกับคำว่า กุลี ตั้งแต่หลังปี พ.ศ. 2490 คนอีสานหนีความแห้งแล้งอพยพมาเป็นกรรมกรในกรุงเทพจำนวนมาก จนมีการสร้างภาพยนตร์ไทยเรื่อง จับกัง กรรมกรเต็มชั้น ในปี พ.ศ. 2523 นำแสดงโดยสรพงศ์ ชาตรี และ สุพรรษา เนื่องภิรมย์ และในอัลบัมวณิพกของวงคาราบาว มีเพลงชื่อจับกัง ซึ่งเนื้อเพลงท่อนหนึ่งเขียนว่า
ใครเคยคิดบ้าง จับกังอย่างพวกฉัน
เม็ดข้าวที่ผ่านไหล่ฉันเลี้ยงคนตั้งหลายแสน
พวกท่านอิ่มฉันชิมแต่ความแร้นแค้น
เหนื่อยล้า ท้องกิ่ว เมื่อความหิวมันตามทวง

เจ
เสียงแต้จิ๋วและจีนกลางออกว่า ใจ แปลว่าการถือศีล ตำนานหนึ่งเกี่ยวกับเทศกาลกินเจเล่าว่า กิ้วอ๊วงฮุกโจ้ว เทพ 9 องค์ที่ลงจากสวรรค์มาจดกรรมดีกรรมชั่วของแต่ละคนเป็นเวลา 9 วัน ตั้งแต่ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 ช่วงนี้ชาวจีนจึงสะสมบุญด้วยการถือศีล กินแต่ผัก ไม่กินเนื้อ ของคาว และผักมีกลิ่นแรง เช่น หอม กระเทียม กุยช่าย
สีเหลืองที่ใช้ในธงเจเป็นสีประจำจักรพรรดิจีน ในไทยเชื่อว่าคนจีนฮกเกี้ยนนำเทศกาลกินเจเข้ามาในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ทางภาคใต้ของไทย โดยเฉพาะที่ภูเก็ตซึ่งมีคนจีนฮกเกี้ยนมาเป็นกรรมกรเหมืองแร่
คำว่า โรงเจ หมายถึงศาลเจ้าหรือสถานที่ปฏิบัติธรรม เป็นสถานที่ทำพิธีในเทศกาลกินเจ และเป็นโรงทานเลี้ยงอาหารพระและผู้ร่วมพิธี
เจ๊ก
สันนิษฐานว่ามาจากคำว่า เจ็ก ในเสียงแต้จิ๋ว หมายถึงอาผู้ชาย หรือน้องชายของพ่อ เป็นสรรพนามใช้เรียกผู้ชายที่คุ้นเคยกัน แต่ไม่ใช่ญาติ คนไทยอาจฟังเพี้ยนมาเป็น เจ๊ก แล้วใช้หมายถึงคนจีนทั่วไป
สมัยรัชกาลที่ 5 มีการนำรถลากจากเมืองจีนมาใช้บริการรับส่ง เรียกว่า รถเจ๊ก ทำให้เกิดเพลงร้องเล่นสำหรับเด็กว่า
รถไฟไม่ใช่รถเจ๊ก มันทำด้วยเหล็กฉึกฉักฉึกฉัก
รถเจ๊กไม่ใช่รถไฟ มันทำด้วยไม้กอกแกกกอกแกก
สมัยหนึ่งเจ๊กเป็นคำดูถูกคนจีนที่อยู่ในเมืองไทย เพราะรังเกียจคนจีนยากจนที่ท่าทางไม่มีมารยาท พูดจาเสียงดัง เช่นเดียวกับคำว่าลาว ซึ่งเคยใช้เป็นคำดูถูกคนอีสาน ปัจจุบันเราไม่ควรใช้ทั้งสองคำนี้เพื่อดูถูกใครอีกแล้วครับ

เฉาก๊วย
จีนแต้จิ๋วและจีนกลางออกเสียงว่า เฉากั่ว โดยคำว่า เฉา แปลว่าหญ้า เฉากั่วคือพืชท้องถิ่นของจีนตอนใต้ ในฤดูร้อนพ่อค้าแม่ค้ามักเข็นรถหรือตั้งแผงลอยริมถนน ใช้มีดเคาะชามกระเบื้องเป็นจังหวะเพื่อเรียกความสนใจ เวลาขายจะตัดเฉาก๊วยใส่ชามกระเบื้องให้ลูกค้า บางคนชอบโรยน้ำตาลทรายแดง ปัจจุบันที่เรากินกันจะใส่น้ำแข็ง น้ำเชื่อม หรือนมลงไปด้วย
แพทย์แผนจีนมักแนะนำให้กินเฉาก๊วยเพื่อปรับสมดุลหยิน-หยางและป้องกันอาการลมแดด เพราะ เฉาก๊วยมีสรรพคุณช่วยดับร้อนในร่างกาย

บู๊
จีนแต้จิ้วออกเสียงว่า บู๊ จีนกลางออกเสียง วู หมายถึงการต่อสู้ คำว่า บู๊ลิ้ม หมายถึงโลกของนักสู้ พบคำนี้ได้ในนิยายจีนที่เล่าเรื่องราวการต่อสู้ของสำนักวิทยายุทธ์ระหว่างฝ่ายคุณธรรมกับฝ่ายอธรรม เริ่มแปลเป็นภาษาไทยช่วงปี พ.ศ. 2500 เรื่องแรกคือมังกรหยก ต่อมาคุณจำลอง พิศนาคะ ได้บัญญัตินิยายแนวนี้ว่าแนวกำลังภายใน
สมัยหนึ่งนักอ่านไทยเรียกนิยายแนวนี้ติดปากว่านิยายบู้ลิ้ม หรือนิยายกำลังภายใน ต่อเนื่องมาถึงละครทีวีและภาพยนตร์ โดยไม่ว่าจะเป็นละครหรือภาพยนตร์ต่อสู้ประเทศอะไร คนไทยก็เรียกว่าละครบู๊หรือหนังบู๊หมด
บู๊มักคู่กับคำว่า บุ๋น ที่หมายถึงปัญญา ขุนนางจีนสมัยโบราณแบ่งเป็นฝ่ายบู๊ที่เป็นทหารผู้ออกรบ และฝ่ายบุ๋นที่เป็นบัณฑิตและนักปกครอง คนที่มีความสามารถทั้งบู๊และบุ๋นจึงถือว่าครบเครื่อง

เซียมซี
มีบันทึกของชาวจีนถึงเซียมซีในศาลเจ้าเมื่อ 1,000 ปีก่อน แต่ต้นกำเนิดน่าจะเก่าแก่กว่านั้น เซียมซีเป็นบทกลอนทำนายและคำสอนแนะนำการใช้ชีวิต ในสมัยโบราณจะสลักไว้บนไม้ ผู้เสี่ยงทายต้องคัดลอกคำทำนายกลับไปเอง ต่อมาเขียนเฉพาะตัวเลขหรือสัญลักษณ์ไว้บนไม้แท่งเล็ก ๆ เรียกว่าไม้เซียมซี
คำทำนายมักมี 100 หรือ 60 หมายเลข ผู้เสี่ยงทายไหว้เจ้าแล้วตั้งจิตอธิษฐานว่าอยากขอคำแนะนำเรื่องใด จากนั้นเขย่ากระบอกไม้ไผ่ที่ใส่ไม้เซียมซีจนหลุดออกมาหนึ่งแท่ง แล้วหยิบใบเซียมซีที่หมายเลขตรงกันเพื่ออ่านคำทำนาย
คำสอนในเซียมซียังแตกต่างกันตามเทพเจ้า เช่น เซียมซีเจ้าแม่กวนอิมเน้นเรื่องการดูแลจิตใจ ความเมตตา การให้อภัย เซียมซีเจ้าพ่อกวนอูเน้นความกล้าหาญ ความถูกต้อง การตัดสินใจ ปัจจุบันเชื่อกันว่าหากได้ใบเซียมซีที่คำทำนายไม่ค่อยดีจะไม่นำกลับบ้าน ทั้งที่จุดประสงค์เดิมของเซียมซีเป็นคำสอนเพื่อแนะนำการปฏิบัติตัวให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะดีหรือร้าย

แซ่
แซ่ ออกเสียงตามแต่จิ๋ว ส่วนจีนกลางออกเสียงว่า ซิ่ง เป็นระบบการสืบสายวงศ์ตระกูลซึ่งเป็นวัฒนธรรมสำคัญของจีนที่มีมากว่า 5,000 ปีแล้ว สมัยที่สังคมหญิงเป็นใหญ่ ผู้สืบสายจากแม่เดียวกันจะใช้แซ่เดียวกัน ภายหลังเมื่อสังคมชายเป็นใหญ่ แซ่จึงเปลี่ยนมาสืบสายตามพ่อ
คำที่เอามาตั้งเป็นแซ่มีที่มาหลากหลาย เช่น ชื่อเมือง ชื่อแม่น้ำ ชื่อตำแหน่ง ชื่ออาชีพ โดยมีจารีตว่าแซ่เดียวกันห้ามแต่งงานกัน แซ่ของคนจีนในไทยส่วนใหญ่เป็นเสียงแต้จิ๋ว เช่น ตั้ง ลิ้ม ลี้ ฉั่ว อิ้ง เตีย ปัจจุบันนิยมเปลี่ยนแซ่เป็นนามสกุล มีทั้งใช้แซ่เดิมแล้วเติมคำต่อท้าย เช่น แซ่ลิ้ม เป็น ลิ้มเจริญ รัตน์, ลิ้มทองกุล บ้างกร่อนเสียง เช่น แซ่แต้ เป็น เต แล้วแปลงเป็นคำที่มีความหมายดี เช่น เตซะ แล้วเติมคำต่อท้าย เช่น เตชะไพบูลย์ บ้างใช้คำไทยที่มีความหมายตรงกัน เช่น เบ๊ ที่แปลว่าม้า เปลี่ยนเป็นอาชา หรืออัศว เช่น ศิลปอาชา, อัศวเหม
เถ้าแก่
แต้จิ๋วออกเสียงว่า เถ่าแก ไทยเพี้ยนมาเป็นเถ้าแก่ คำว่า เถ่า แปลว่าหัวหน้า คำว่า แก แปลว่าบ้าน รวมกันแล้วแปลว่า เจ้าบ้านหรือหัวหน้าครอบครัว และใช้ขยายความถึงเจ้าของร้านหรือเจ้าของกิจการด้วย เช่น เถ้าแก่โรงสี
เถ้าแก่ไม่จำเป็นต้องเป็นคนสูงวัย เพราะไม่ได้มาจากคำว่าแก่ในภาษาไทย ส่วนผู้หญิงที่เป็นเจ้าบ้านเจ้าของกิจการ หรือภรรยาของเถ้าแก่ เรียกกันว่า เถ้าแก่เนี้ย
ปัจจุบันเกิดคำว่า เถ้าแก่น้อย ที่ใช้เรียกคนรุ่นใหม่ที่สร้างธุรกิจเติบโตจนประสบความสำเร็จ มีที่มาจากคุณต็อบ อิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ เจ้าของสาหร่ายทอดกรอบยี่ห้อเถ้าแก่น้อย ที่ก่อตั้งบริษัทในปี พ.ศ. 2546 ตอนอายุ 19 ปี จนตอนนี้กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าหลายพันล้านบาท

หวย
สมัยราชวงศ์ชิงมีการพนันที่นิยมเล่นในมณฑลฮกเกี้ยนและกวางตุ้ง เรียกว่า ฮวยหวย คำว่า ฮวย แปลว่าดอกไม้ หวย แปลว่าชุมนุม การเล่นนี้ใช้ป้าย 36 อัน เขียนชื่อและภาพวาดบุคคล 6 คน เจ้ามือจะแขวนป้ายไว้หน้าโรงหวย และมีป้ายขนาดเล็กของตัวเองอีกชุดหนึ่ง โดยจะหยิบหนึ่งชื่อใส่กระบอกไม้ แล้วเอาไปแขวนไว้กับหลังคา เรียกว่า ตัวเต็ง ผู้เล่นวางเงินพนันแทงว่าตัวเต็งเป็นชื่ออะไร ถ้าทายถูกจะได้เงินรางวัล 30 เท่าของเงินที่แทง

สมัยรัชกาลที่ 3 ได้เปิดประมูลให้คนตั้งโรงหวยแห่งแรกเพื่อเป็นรายได้เข้ารัฐ เจ้าของโรงหวยนำฮวยหวยมาปรับ โดยเพิ่มพยัญชนะไทย ก-ฮ ในป้ายชื่อจีน เพื่อให้จำง่าย เรียกว่า หวย ก ข ปรากฏว่าทั้งคนไทยและคนจีนติดหวยมาก โรงหวยจึงขยายจำนวนเพิ่ม จากเดิมที่เก็บภาษีโรงหวยได้ปีละ 20,000 บาท ในสมัยรัชกาลที่ 3 พอถึงรัชกาลที่ 5 เก็บเพิ่มได้สูงถึงปีละ 3.63 ล้านบาท
แต่หวยก็สร้างปัญหาสังคมมากมาย เช่น คนไม่ทำงาน คนหมดเนื้อหมดตัว โรงหวยกลายเป็นแหล่งซ่องสุมอันธพาลและโจรผู้ร้าย จนสมัยรัชกาลที่ 6 มีการยกเลิกหวย ก ข และรัฐบาลออกสลากกินแบ่งรัฐบาล ชาวบ้านก็เรียกว่า หวยรัฐบาล และยังเกิด หวยใต้ดิน ที่เจ้ามือรับแทงจากชาวบ้าน โดยอิงกับการออกผลของสลากกินแบ่งรัฐบาล
คนไทยยังมีสำนวน หวยออก ที่แปลว่าได้รับภาระที่ไม่ปรารถนา เช่น สุดท้ายหวยก็มาออกที่กู หรือ หวยล็อก ที่แปลว่าผลลัพธ์ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว

อั่งเปา
ในจีนแต่จิ๋วคำว่า อั่ง แปลว่าสีแดง เปา แปลว่าถุงหรือซอง อั่งเปาจึงหมายถึงซองหรือถุงสีแดง ที่ใส่เงินหรือของมีค่า มีตำนานพื้นบ้านจีนเล่าว่าในคืนวันสิ้นปีจะมีปีศาจ ชื่อ ซุ่ย มาลูบหัวเด็กที่กำลังหลับ ทำให้กลายเป็นเด็กปัญญาอ่อน ผู้ใหญ่จึงต้องวางเหรียญทองแดงไว้ใต้หมอนเด็ก เพื่อขับไล่ปีศาจ
อั่งเปาจึงมีต้นกำเนิดจากเครื่องรางป้องกันสิ่งชั่วร้าย นอกจากนี้คนจีนเชื่อว่าสีแดงเป็นสีแห่งพลังอำนาจ ความสุข และโชคลาภ สมัยโบราณจึงใช้เชือกแดงร้อยเหรียญ ต่อมากลายเป็นห่อเหรียญด้วยกระดาษสีแดงและกลายมาเป็นซองแดงใส่ธนบัตรในที่สุด
อั่งเปาถือเป็นตัวแทนความรักความห่วงใยที่ผู้ใหญ่มอบให้ผู้น้อยในเทศกาลตรุษจีน ดังนั้นจำนวนเงินจะมากหรือน้อยจึงไม่ใช่เรื่องสำคัญ นอกจากนี้นายจ้างยังให้อั่งเปาแก่ลูกจ้างเป็นเหมือนโบนัสประจำปี และเคยเกิดกรณีข้าราชการไถอั่งเปาจากร้านค้า จนต้องออกกฎหมายห้ามพนักงานของรัฐรับเงินจากบุคคลที่ไม่ใช่ญาติเกิน 3,000 บาท

ฮวงจุ้ย
ฮวง แปลว่าลม จุ้ย แปลว่าน้ำ ฮวงจุ้ยหมายถึงศาสตร์การจัดวางสิ่งของต่าง ๆ และจัดสภาพแวดล้อมให้สอดคล้องกับพลังธรรมชาติที่เรียกว่า ชี่ ซึ่งไหลเวียนในทุกสรรพสิ่ง โดยมีลมเป็นตัวพาชี่ให้เคลื่อนที่ไป และน้ำเป็นตัวกักเก็บชี่ให้คงอยู่กับที่
ตามหลักฮวงจุ้ยจึงควรเลือกที่อยู่อาศัยซึ่งมีลมพัดเบา ๆ หากไม่มีลมเลยชี่จะหยุดนิ่ง ชีวิตจะไม่ก้าวหน้า หรือหากลมแรงเกินไป ชี่ก็จะกระจายออกหมด โชคลาภหรือสุขภาพก็จะสูญหาย และควรมีแหล่งน้ำไหลช้า ๆ อยู่ด้านหน้าที่อยู่อาศัยเพื่อกักเก็บพลังชี่ ดึงดูดโชคลากและความมั่งคั่งเข้ามา
ศาสตร์ฮวงจุ้ยกำเนิดในจีนมานานกว่า 3,000 ปีแล้ว การสร้างเมืองหลวงหรือพระราชวัง มักออกแบบตามหลักฮวงจุ้ย และเมื่อ 1,700 ปีก่อน กวอผู๋ได้เขียนตำราฮวงจุ้ยของสุสาน ว่าต้องเลือกทำเลที่ “ด้านหลังมีภูเขา ด้านหน้ามีน้ำ” เพื่อนำโชคลาภมาให้ลูกหลาน คนจีนโพ้นทะเลเรียกสุสานว่า ฮวงซุ้ย ก็คือคำเดียวกับฮวงจุ้ย
ทั้งหมดคือคำจีนคุ้นหูบางส่วนที่ผมหยิบมาจากนิตยสารสารคดี ในเล่มมี 50 คำจีน เพื่อน ๆ คนไหนอยากรู้คำอื่นเพิ่มเติมสามารถหามาอ่านกันได้ครับกับนิตยสารสารคดี ฉบับที่ 484 ประจำเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2568 อาจหาซื้อยากหน่อยนะครับ ผมหาในช้อปปี้ไม่เจอ เลยไม่ได้แปะลิงค์เอาไว้ เพื่อน ๆ ลองทักไปถามเพจสำนักพิมพ์สารคดีดูครับ
Leave a comment