ไอติมบุ๊คคลับ ep นี้จะมาเล่าเรื่องราวจากเรื่องสั้นชื่อ ปรสิตล่องหน หรือชื่อภาษาอังกฤษคือ Le Horla (เลอ ออร์ลา) เรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นแนวสยองขวัญและจิตวิทยาของ กี เดอ โมปาสซ็อง (Guy de Maupassant) ซึ่งเขียนขึ้นในปี 1887 เรื่องนี้ถือเป็นผลงานชิ้นเอกที่สะท้อนความหวาดระแวงของมนุษย์ เป็นต้นแบบของงานเขียนแนวสยองขวัญจิตวิทยาของนักเขียนหลายคนในเวลาต่อมาครับ
เรื่องราวของปรสิตล่องหน เล่าถึงชายคนหนึ่งที่ถูกครอบงำโดยสิ่งมีชีวิตลึกลับที่มองไม่เห็น มันปั่นป่วนจิตใจของเขา ทำให้เขาต้องใช้ชีวิตอย่างทุกข์ทรมาน เรื่องราวของปรสิตล่องหนจะเป็นยังไง ไปฟังกันได้เลยครับ
บทที่ 1 – เงามืดที่ก่อตัว
เรื่องสั้นเรื่องนี้ดำเนินเรื่องโดยใช้มุมมองบุคคลที่หนึ่งซึ่งเป็นชายฐานะดี อาศัยอยู่ในคฤหาสน์ริมแม่น้ำแซน ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของฝรั่งเศส มีคนรับใช้หลายคน แต่ในเรื่องเขาไม่ได้บอกว่าตัวเองชื่ออะไร ผมขอเรียกแทนตัวละครตัวนี้ว่าชายหนุ่มนะครับ
เรื่องราวเริ่มต้นหลังจากที่ชายหนุ่มกลับจากการเดินทางไปพักผ่อนยังเมืองรูอ็อง เขากลับบ้านมาด้วยความรู้สึกสดชื่น จากการได้เห็นทิวทัศน์อันงดงามและได้สูดอากาศบริสุทธิ์ของที่นั่น หลังจากนั้นไม่กี่วันเขามีไข้เล็กน้อย ในตอนแรกเขาคิดว่าตัวเองเศร้า เพราะต้องกลับมาอยู่บ้านหลังจากการท่องเที่ยวสิ้นสุด แต่แม้จะออกไปเดินเล่นสูดอากาศนอกบ้าน อาการไข้ของเขาก็ไม่ดีขึ้นเลย

จากนั้นไม่กี่วันเขาก็แน่ใจแล้วว่าตัวเองป่วย เขาแปลกใจมากเพราะเมื่อเดือนที่แล้วตัวเองยังแข็งแรงดีอยู่เลย แถมการป่วยครั้งนี้ทำให้จิตใจของเขาไม่เป็นสุข เขารู้สึกกลัวอยู่ตลอดว่าจะเกิดเรื่องอัปมงคลขึ้น กลัวว่าความตายจะคืบคลานมาหา
ช่วงนั้นชายหนุ่มนอนไม่หลับเลย เขาจึงตัดสินใจไปหาหมอ เมื่อหมอตรวจก็พบว่าชีพจรของเขาเต้นเร็ว เส้นประสาทตื่นตัวผิดปกติ แต่ไม่มีอาการอะไรน่าเป็นห่วง หมอได้แนะนำให้เขาหมั่นอาบน้ำ รักษาความสะอาด และให้ดื่มโพแทสเซียมโบรไมด์
แต่หลังจากไปพบหมอผ่านมา 1 สัปดาห์ อาการป่วยของชายหนุ่มก็ไม่ดีขึ้นเลย เขารู้สึกว่าสภาวะที่ตัวเองกำลังเป็นอยู่นี้ช่างประหลาดเหลือเกิน เขาหวาดกลัวช่วงเวลากลางคืน รู้สึกถึงพลังลึกลับที่ค่อย ๆ คืบคลานเข้ามา เขากลายเป็นคนไม่มีสมาธิ พยายามจะอ่านหนังสือก็อ่านไม่รู้เรื่อง เอาแต่เดินไปเดินมาในห้องรับแขกด้วยอาการสับสน
เขากลัวอะไรก็ไม่รู้ โดยที่ไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันคืออะไร เขาเปิดตู้เสื้อผ้าเช็กดู ก้มมองใต้เตียง พยายามฟังเสียงแปลก ๆ แต่ก็ไม่มีอะไร เขากลัวการนอนหลับ กลัวว่าจะฝันร้าย ใจของเขาเต้นแรงและร่างกายสั่นเมื่อต้องทิ้งตัวนอนลงบนเตียง

ชายหนุ่มทนอยู่ในบ้านตัวเองไม่ไหวแล้ว อาการของเขายิ่งแย่ลงไปทุกวัน ดังนั้นเขาจึงคิดจะออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่นสัก 2-3 สัปดาห์ เขาออกเดินทางไปเที่ยวเกาะมงแซ็งต์มิแชลซึ่งยังไม่เคยไป พักที่โรงแรมในเมืองซึ่งตั้งอยู่บนเขา เมืองนี้มีทัศนยภาพงดงาม มีสวนสาธารณะที่มองเห็นอ่าวกว้างสุดลูกหูลูกตา เมื่ออยู่ที่นี่อาการป่วยของชายหนุ่มก็หายแบบปลิดทิ้ง
ชายหนุ่มออกไปเดินเล่นแล้วพบกับวิหารอันน่าตื่นตาตื่นใจ เขาเข้าไปข้างในและได้พบกับนักบวชท่านหนึ่ง นักบวชได้เล่าประวัติเก่าแก่เกี่ยวกับวิหารแห่งนี้ให้ชายหนุ่มฟัง และเล่าถึงตำนานเสียงร้องของแพะสองตัวที่มีหัวเป็นใบหน้ามนุษย์และร้องเสียงแปลก ๆ ชายหนุ่มถามนักบวชว่าท่านเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงไหม นักบวชตอบกลับมาว่า
เราเคยเห็นลมไหม พลังธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ ลมพัดให้มนุษย์ล้มลงได้ ทำลายตึกรามบ้านช่อง พัดเรือให้ไปชนหิน แล้วลูกมองเห็นลมไหม แต่ถึงอย่างนั้นลมก็มีอยู่จริง
เมื่อสิ้นสุดการท่องเที่ยว ชายหนุ่มกลับมาที่บ้านก็พบว่าเขากลับมาฝันร้ายแบบเดิมอีก เขาฝันว่ามีคนมานั่งคร่อมบนตัวและประกบริมฝีปากกับเขา จากนั้นดูดเอาพลังชีวิตไปเหมือนปลิงดูดเลือด ชายหนุ่มสะดุ้งตื่นมาพร้อมกับความรู้สึกเจ็บปวด หมดเรี่ยวหมดแรงจนขยับตัวไม่ได้
ทุกวันหลังจากนั้น ชายหนุ่มจะไขกุญแจล็อกประตูห้องก่อนเข้านอนเสมอ คืนหนึ่งเขาหิวน้ำ จึงดื่มน้ำไปครึ่งแก้ว และเห็นว่าเหยือกน้ำที่วางข้าง ๆ มีน้ำใส่อยู่จนเต็ม เขาเข้านอนและฝันว่าถูกเอามีดปักอก ลำตัวชุ่มเลือด เขาสะดุ้งตื่นหลังจากนอนไปได้เพียง 1 ชั่วโมง เมื่อรวบรวมสติได้ เขาก็รู้สึกหิวน้ำ จึงเดินไปที่โต๊ะที่เหยือกน้ำวางอยู่
เขายกเหยือกน้ำรินใส่แก้ว แต่ไม่มีน้ำไหลออกมาสักหยด เขารู้สึกงุนงง เพราะจำได้ว่าตอนก่อนเข้านอน ในเหยือกยังมีน้ำอยู่เต็ม เขาพยายามเดาว่าเกิดอะไรขึ้น ต้องมีคนมากินน้ำในเหยือกแน่ แต่จะเป็นใครไปได้นอกจากตัวเขาเอง เพราะไม่มีคนอื่นอีกแล้ว ห้องนี้ถูกล็อกจากด้านใน ถ้าเป็นอย่างนั้นแสดงว่าเขาเป็นพวกละเมอ เขามีชีวิตลึกลับที่ตัวเองไม่รู้ตัวซ่อนอยู่ และออกมาใช้ชีวิตในตอนที่เขาหลับ
บทที่ 2 – ความผิดปกติที่เกิดขึ้น
ชายหนุ่มคิดเรื่องน้ำในเหยือกที่หายไปจนแทบจะกลายเป็นบ้า จากนั้นเขาคิดวิธีทดลองเพื่อพิสูจน์ออก คืนนั้นก่อนเข้านอนเขาวางเหล้าองุ่น นม น้ำ ขนมปัง และสตรอว์เบอร์รี่ไว้บนโต๊ะ จากนั้นก็เข้านอน เมื่อตื่นมาก็พบว่าน้ำที่วางไว้ถูกดื่มไปจนหมด นมถูกดื่มไปนิดหน่อย แต่เหล้าองุ่น ขนมปัง และสตรอว์เบอร์รี่ไม่ถูกแตะต้องเลย
คืนต่อมาเขาทดลองแบบเดิมซ้ำอีกครั้ง แล้วผลลัพธ์ก็ออกมาแบบเดิม อีกคืนเขาจึงวางไว้แค่เหล้าองุ่น ขนมปัง และสตรอว์เบอร์รี่ ปรากฎว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ถูกแตะต้องเลย อีกคืนเขาจึงวางไว้แค่น้ำกับนม โดยเอาผ้ามัสลินสีขาวคลุมเหยือกใส่น้ำและเหยือกใส่นม ทั้งยังเอาเชือกมัดปากเหยือกเอาไว้ด้วย

รุ่งเช้าชายหนุ่มตื่นขึ้นมาก็พบว่า ทั้งน้ำและนมในเหยือกถูกดื่มจนหมด เขาตกตะลึงมาก จนคิดว่าฝืนอยู่ที่บ้านอีกไม่ไหวแล้ว จึงรีบเดินทางไปปารีส พอมาอยู่ที่ปารีสได้ 2-3 วัน จิตใจของเขาก็สงบขึ้น และย้อนคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ประหลาด ๆ ที่เกิดขึ้นที่บ้าน ทั้งหมดอาจเป็นไปได้ไหมว่าเกิดจากจินตนาการฟุ้งซ่านของเขา หรือเขาอาจจะละเมอขึ้นมากลางดึก แล้วดื่มน้ำดื่มนมในเหยือกไปจริง ๆ
ที่ปารีสชายหนุ่มได้ไปดูละครเวที ได้พบเจอผู้คน สิ่งเหล่านี้ทำให้จิตใจของเขากลับมากระปรี้กระเปร่า เขารู้สึกตื่นตัวและมีพลัง จนคิดว่าที่ผ่านมาเขาเพียงแค่ป่วย เพียงแค่ร่างกายอ่อนแอ พอเจอสิ่งเล็กน้อยที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุก็สรุปเอาเองว่าต้องเป็นฝีมือของสิ่งลี้ลับหรืออำนาจเหนือธรรมชาติ
เย็นวันหนึ่งชายหนุ่มไปทานอาหารเย็นที่บ้านของญาติชื่อคุณนายซาเบล ที่โต๊ะอาหารมีเพื่อนบ้านของคุณนายซาเบล และสามีของเพื่อนผู้เป็นหมอชื่อว่าปาร็อง หมอปาร็องสนใจโรคทางประสาทและการสะกดจิต เขาคุยเรื่องศาสตร์แห่งการสะกดจิตให้คนร่วมโต๊ะอาหารฟัง แค่คุณนายซาเบลไม่เชื่อ
หมอปาร็องจึงขอท้าพิสูจน์ โดยการจะสะกดจิตคุณนายซาเบล คุณนายรับคำท้า จากนั้นทำการสะกดจิตคุณนายซาเบลโดยออกคำสั่งว่า พรุ่งนี้คุณจะตื่นแปดโมง จากนั้นคุณจะไปพบญาติของคุณที่โรงแรมของเขา แล้วคุณจะวิงวอนขอยืมเงิน 5,000 ฟรังก์จากเขา โดยบอกว่าสามีเป็นคนให้มาขอยืม
เสร็จจากอาหารเย็น ชายหนุ่มก็เดินทางกลับโรงแรม เขาคิดทบทวนถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเย็น เขาไม่คิดว่านั่นเป็นการล้อกันเล่นของคุณนายซาเบล เขารู้จักคุณนายดีตั้งแต่ยังเล็ก ๆ และรักเธอเหมือนน้องสาวแท้ ๆ พอรุ่งเช้า เวลาราวแปดโมงครึ่ง คนใช้ของโรงแรมก็มาปลุกชายหนุ่มที่ห้อง
คุณนายซาเบลมาหาเขาถึงโรงแรม หน้าตาดูเป็นเดือดเป็นร้อน เธอบอกว่าเธอรู้สึกไม่สบายใจเหลือเกินที่ต้องบอกเรื่องนี้กับชายหนุ่ม แต่เธอต้องการยืมเงินจากเขาเป็นจำนวน 5,000 ฟรังก์ สามีของเธอมีความจำเป็นต้องใช้เงินก้อนนี้

ชายหนุ่มตกใจอ้ำอึ้ง สงสัยว่าญาติของเขาร่วมมือกับหมอปาร็องมาล้อกันเล่นหรือเปล่า แต่พอมองคุณนายซาเบลก็เห็นว่าเธอตัวสั่นด้วยความทุกข์ใจ การมาขอเช่นนี้ทำให้เธอเจ็บปวดใจ และเสียงของเธอสะอื้นในลำคอ ชายหนุ่มถามคุณนายว่าจำได้ไหมว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้นบ้าง เธอจำได้เพียงว่าหมอปาร็องทำให้เธอหลับไป
ชายหนุ่มพาคุณนายซาเบลมาที่บ้านของหมอปาร็อง เขาบอกกับหมอว่าตอนนี้เขาเชื่อหมอเรื่องการสะกดจิตแล้ว จากนั้นพวกเขาก็กลับไปยังบ้านของคุณนายซาเบล หมอให้เธอนั่งพักบนเก้าอี้ยาว สะกดจิตเธออีกครั้งโดยบอกให้เธอลืมเรื่องการยืมเงินไปซะ พอคุณนายลืมตาตื่น ชายหนุ่มก็ถามเธอถึงเรื่องเงินที่จะยืม แต่กลายเป็นว่าเธอลืมเรื่องนั้นไปแล้ว
บทที่ 3 – เลอ ออร์ลา
ชายหนุ่มไปอยู่ที่ปารีสได้ 20 วัน ตอนนี้เขากลับมาที่บ้านแล้ว ทุกอย่างเรียบร้อยดี ไม่มีอะไรเกิดขึ้น อากาศที่นี่ก็ดีมาก เขาใช้เวลาแต่ละวันมองแม่น้ำแซน แต่หลังจากนั้นไม่นานพวกคนใช้ในบ้านของเขาก็ทะเลาะกัน เมื่อคืนมีคนทำแก้วน้ำในตู้แตก คนใช้ที่ใกล้ชิดชายหนุ่มกล่าวหาว่าเป็นฝีมือของแม่ครัว แม่ครัวโทษหญิงซักรีด หญิงซักรีดกล่าวหาทั้งสองคน แต่เรื่องนี้ไม่มีใครพิสูจน์คนผิดได้ คงมีแต่คนที่มีญาณทิพย์เท่านั้นที่รู้
วันต่อมาชายหนุ่มออกไปเดินเล่นกลางแดดจ้าในสวนกุหลาบ เขาหยุดดูกุหลาบต้นหนึ่งที่ออกดอกสวยงามอยู่ 3 ดอก แล้วเขาก็เห็นชัดต่อหน้าต่อตาว่ากุหลาบดอกหนึ่งถูกเด็ดขึ้นมา ราวกับมีมือที่มองไม่เห็น กุหลาบดอกนั้นลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ ห่างจากชายหนุ่มไปเพียง 3 ก้าว
ด้วยความกลัว ชายหนุ่มจึงพยายามเอื้อมมือไปคว้ากุหลาบดอกนั้น แต่ไม่ได้อะไรติดมือมา กุหลาบดอกนั้นหายไปแล้ว พอเขาหันไปมองที่ต้นกุหลาบก็เห็นว่าเหลือกุหลาบติดอยู่ที่ต้นเพียง 2 ดอก มีรอยเพิ่งถูกหักใหม่ ๆ อยู่ระหว่างกุหลาบ 2 ดอกนั้น

ชายหนุ่มกลับบ้านด้วยความสับสน แต่เขามั่นใจแล้วว่ามีสิ่งมีชีวิตที่มองไม่เห็นอยู่ใกล้ตัวเขา สิ่งมีชีวิตนั้นดื่มน้ำและนม สัมผัสหยิบจับและเคลื่อนย้ายสิ่งของต่าง ๆ ได้ มันมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้ แม้ประสาทสัมผัสของมนุษย์จะรับรู้ไม่ได้ก็ตาม และมันอยู่ใต้ชายคาเดียวกับเขานี่เอง
ชายหนุ่มยังคงใช้ชีวิตอยู่ในบ้านของตัวเอง น้ำในเหยือกยังหายไปทุกคืน ตลอดเวลาเขารู้สึกว่ามีสิ่งที่มองไม่เห็นอยู่ใกล้ตัว กำลังแอบมอง แต่ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ยังหวาดกลัว เขาใช้ชีวิตโดยที่จิตใจว้าวุ่น อยากออกไปให้พ้นจากบ้านหลังนี้ แต่เหมือนมีบางอย่างฉุดรั้นไม่ให้เขาออกไป
ชายหนุ่มคิดถึงเรื่องที่คุณนายซาเบลถูกสะกดจิต เป็นไปได้ไหมว่าเขากำลังโดนสิ่งมีชีวิตที่มองไม่เห็นครอบงำและบงการ แล้ววันหนึ่งเขาก็ออกมาจากบ้านได้สำเร็จ หนีจากการครอบงำของสิ่งมีชีวิตลึกลับนั้นมาได้ ชายหนุ่มรีบให้รถม้าไปส่งที่ห้องสมุด แล้วขอยืมตำราเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนโลกและยังไม่เป็นที่รู้จักตั้งแต่ยุคโบราณถึงปัจจุบัน
ชายหนุ่มกลับมาที่รถม้าและตั้งใจจะบอกคนขับว่าให้ไปส่งที่สถานีรถไฟ เพื่อหนีไปพักที่อื่น แต่เขาหลุดปากออกมาเสียงดังว่า “กลับบ้าน” พูดแล้วเขาก็ทรุดตัวลงบนเบาะนั่ง สิ่งมีชีวิตลึกลับตามตัวเขาเจอ และกลับมาครอบงำจิตใจเขาแล้ว
คืนนั้นชายหนุ่มอ่านหนังสือที่ยืมมาจนถึงตีหนึ่ง แต่หนังสือที่ว่าด้วยสิ่งมีชีวิตลึกลับกลับไม่มีเจ้าสิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่บันทึกเอาไว้เลย ชายหนุ่มจึงเดินมานอนที่เตียง เขาหลับไปได้ 40 นาทีก็ลืมตาตื่น เพราะถูกปลุกด้วยอารมณ์สับสนแปลกประหลาดที่บอกไม่ถูก เขามองไปที่โต๊ะอ่านหนังสือ และเห็นว่าหน้าหนังสือที่ยืมมาถูกพลิกอ่าน ไม่ใช่พลิกเพราะลม แต่เขาเชื่อว่าต้องเป็นสิ่งมีชีวิตลึกลับล่องหนตัวนั้นกำลังนั่งอ่านหนังสือบนโต๊ะของเขา
หลายวันต่อมาชายหนุ่มอ่านวารสารโลกวิทยาศาสตร์ และพบข่าวจากรีโอเดจาเนโร ประเทศบราซิล ในข่าวรายงานว่าชาวบ้านที่นั่นติดเชื้อแล้วพากันออกจากบ้าน ละทิ้งไร่นา พวกเขาอ้างว่าถูกสิ่งมีชีวิตที่มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้ ติดตามและบงการชีวิตเป็นวัวเป็นควาย พวกมันดูดกินพลังชีวิตในขณะที่ชาวบ้านนอนหลับ และดื่มเฉพาะน้ำกับนม โดยไม่แตะต้องอาหารอย่างอื่น
อ่านข่าวจบชายหนุ่มก็นึกออกทันทีว่าหลายเดือนก่อนมีเรือจากบราซิลแล่นในแม่น้ำแซนผ่านบ้านของเขาไป สิ่งมีชีวิตนั่นติดตามมาบนเรือด้วย และเมื่อเห็นบ้านของเขา มันก็กระโดดลงจากเรือ แล้วขึ้นฝั่งเข้ามาอยู่ในบ้านของเขา ในตอนนี้สิ่งมีชีวิตนั่นกำลังตะโกนในหัวของชายหนุ่มเพื่อบอกชื่อของมัน “เลอ ออร์ลา” นั่นคือชื่อของมัน
บทที่ 4 – แผนทำลาย เลอ ออร์ลา
ชายหนุ่มตั้งใจจะฆ่า เลอ ออร์ลา เขารู้สึกว่ามันเดินไปเดินมาอยู่รอบตัวเขา ใกล้มากจนเขาอาจสัมผัสหรือจับมันได้ แต่ด้วยพละกำลังของคนจนตรอกอย่างเขาในตอนนี้ คงสู้แรงสิ่งมีชีวิตลึกลับไม่ไหว
เขาคิดหาแผนอื่น หรือจะวางยาพิษมันดี เอายาพิษผสมกับน้ำในเหยือก แล้วตั้งวางไว้รอให้มันดื่ม แต่ในเมื่อมันติดตามเขาตลอดเวลาแบบนี้ มันก็ต้องเห็นตอนที่เขาผสมยาพิษลงในน้ำ และก็ไม่รู้ว่ายาพิษของมนุษย์จะออกฤทธิ์กับร่างกายที่มองไม่เห็นได้หรือเปล่า ถ้าอย่างนั้นเขาควรกำจัดมันยังไงดี คิดไปคิดมาเขาก็คิดแผนการที่น่าจะได้ผลออก เช้าวันต่อมาเขาเรียกให้ช่างมาติดเหล็กดัดที่หน้าต่างและประตูทุกบานในบ้านของเขา
หลังจากที่บ้านทั้งหลังถูกติดเหล็กดัด คืนหนึ่งชายหนุ่มตั้งใจจะลงมือตามแผน เขาทำทีว่าเดินไปห้องนั้นห้องนี้ เดี๋ยวนั่งเดี๋ยวยืน เพื่อต้องการให้ เลอ ออร์ลา สับสน เขาเดินมาที่ห้องรับแขก จากนั้นเทน้ำมันจากตะเกียงราดลงบนพรมและเฟอร์นิเจอร์ในห้องจนหมด แล้วจุดไฟเผาห้องนั่งเล่นและรีบวิ่งหนีออกจากบ้านไป โดยล็อกประตูบ้านบานใหญ่หนาแน่นถึงสองชั้น
ชายหนุ่มมาซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้เพื่อเฝ้ารอ เป็นเวลานานทีเดียวที่ไม่เกิดอะไรขึ้น จนเขาคิดว่าไฟอาจมอดดับไปเอง แต่จากนั้นหน้าต่างที่ชั้นล่างบานหนึ่งก็พังลงมาจากเปลวเพลิง เปลวไฟเปลวใหญ่มีทั้งสีแดงและสีเหลืองพวยพุ่งขึ้นมาเป็นแนวยาว ลามไปจนถึงหลังคาบ้าน ตอนนี้ชั้นล่างของบ้านกลายเป็นกองเพลิงอันน่าหวาดกลัว
แต่แล้วก็มีเสียงร้องดังออกมาจากในบ้าน เป็นเสียงร้องโหยหวนของผู้หญิงฟังดูน่ากลัว ทันใดนั้นชายหนุ่มก็นึกขึ้นได้ เขาลืมพวกคนใช้ไปสนิท บรรดาคนใช้ของเขามีใบหน้าตื่นตระหนก พลางโบกไม้โบกมือของความช่วยเหลือมาจากหน้าต่างที่ติดเหล็กดัด

เมื่อเห็นแบบนั้นชายหนุ่มจึงรีบวิ่งไปที่หมู่บ้าน เพื่อขอความช่วยเหลือ เขาร้องตะโกนว่า “ช่วยด้วย ๆ ไฟไหม้ ๆ” แล้วก็เจอคนกลุ่มหนึ่งที่พร้อมไปช่วยยังจุดเกิดเหตุ เมื่อชายหนุ่มกลับมาถึงบ้านก็เห็นบ้านทั้งหลังกลายเป็นกองฟืนอันน่าสยดสยองที่ไฟลุกโชนทั่วบริเวณ หลังคาบ้านทั้งหลังยุบลงมา จนทำให้เปลวไฟกองโตพวยพุ่งขึ้นฟ้าราวกับภูเขาไฟระเบิด หลายชีวิตถูกเผาทั้งเป็นอยู่ในนั้น และเขาหวังว่า เลอ ออร์ลา คงตายในเปลวไฟลุกโชนนั้นด้วย
แต่จากนั้นชายหนุ่มก็ชักไม่แน่ใจว่าไฟจะสามารถฆ่ามันได้เหมือนฆ่ามนุษย์หรือเปล่า ทำไมร่างกายของมันถึงโปร่งใส เป็นร่างกายที่เหมือนกับวิญญาณ เป็นไปได้ไหมว่า เลอ ออร์ลา ได้วิวัฒนาการจนพ้นขีดจำกัดของการมีชีวิต มันอาจไม่สามารถตายก่อนจะถึงเวลาอันสมควร ไม่อาจตายได้ก่อนจะถึงชั่วโมงหรือนาทีที่เหมาะสม
ทันใดนั้นเองชายหนุ่มก็เห็นชัดโดยไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันยังไม่ตาย ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วการที่เขาจะแยกขาดจากมันได้โดยสมบูรณ์ ก็ต้องเป็นเขาที่เป็นฝ่ายฆ่าตัวตายเองเสียแล้ว
เรื่องราวของ เลอ ออร์ลา จบลงเพียงเท่านี้ครับ เรื่องนี้ถือว่าเป็นงานเขียนที่โดดเด่นอย่างมากในยุคนั้น เพราะผู้เขียนไม่ได้บอกชัดเจนว่าเหตุการณ์ลึกลับในเรื่องเป็นฝีมือของสิ่งมีชีวิตประหลาดที่ชื่อว่า เลอ ออร์ลา หรือเป็นเพียงภาพหลอนที่ตัวละครเอกคิดไปเองคนเดียว มีหลายคนวิเคราะห์และการตีความเรื่องนี้เอาไว้หลายแง่มุมครับ เช่น
เรื่องนี้สะท้อนถึงอาการป่วยทางจิตเภท หรืออาการหลอนจากความเครียด ซึ่งอาจเป็นผลมาจากชีวิตที่โดดเดี่ยวของตัวละคร ซึ่งตอนที่ กี เดอ โมปาสซ็อง เขียนเรื่อง เลอ ออร์ลา นี้อยู่นั้น เขากำลังมีสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ ซึ่งสอดคล้องกับอาการที่ตัวละครเอกในเรื่องนี้กำลังเผชิญ
สะท้อนถึงความหวาดกลัวที่มองไม่เห็น เพราะความน่ากลัวของเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่ปีศาจ แต่เป็นความหวาดกลัวที่ไม่มีตัวตน ซึ่งแฝงตัวอยู่ในจิตใจของมนุษย์ อีกมุมก็ชวนตั้งคำถามถึงการมีอยู่ของสิ่งลึกลับที่อยู่เหนือการรับรู้ของมนุษย์ บางทีบนโลกนี้อาจมีสิ่งมีชีวิตอื่นที่เรามองไม่เห็นอาศัยอยู่ด้วยก็เป็นได้
กี เดอ โมปาสซ็อง เป็นนักเขียนชาวฝรั่งเศสที่เสียชีวิตตอนอายุได้ 42 ปี แต่ก็ฝากผลงานด้านการเขียนเอาไว้มากมาย เขาเขียนนวนิยาย 6 เรื่อง และเรื่องสั้นกว่า 300 เรื่อง จนได้รับฉายาว่าเป็น “เจ้าแห่งเรื่องสั้น” เขาโดดเด่นด้านการเขียนเรื่องราวแนวฟ็องตาสติก คือแนวเหตุการณ์เหนือธรรมชาติเป็นแก่นของเรื่อง มีตัวละครเป็นคนธรรมดาที่โดดเดี่ยว เมื่อเจอเหตุการณ์ลึกลับสภาพจิตใจของตัวละครจึงปั่นป่วน และเรื่องราวที่เขาแต่งส่วนใหญ่มักจบไม่ดี
ผลงานการเขียนของโมปาสซ็องได้รับการดัดแปลงเป็นสื่ออื่นมากมาย ทั้งภาพยนตร์, ละครโทรทัศน์, ละครเวที และหนังสือการ์ตูน นอกจากนี้งานเขียนของเขายังส่งอิทธิพลถึงนักเขียนรุ่นหลังคนอื่น ๆ อีกหลายคน เช่น เรื่องสั้นเสียงเพรียกจากคธูลู (The Call of Cthulhu) ของ เอช. พี. เลิฟคราฟท์ ก็ได้รับแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งมาจากเรื่องสั้น เลอ ออร์ลา
สนใจหนังสือ ปรสิตล่องหนและเรื่องสั้นฯของโมปาสซ็อง
สามารถสั่งซื้อได้ที่ Shopee: https://s.shopee.co.th/706PE6AEHf
ซื้อผ่านลิงค์เป็นการสนับสนุนช่องครับ
Leave a comment