โลกเราทุกวันนี้มีอาหารการกินที่สะดวกสบาย เทคโนโลยีอย่างอาหารแปรรูปทำให้เราเก็บอาหารเอาไว้ได้นานโดยไม่เน่าเสีย อุ่นซ้ำง่ายแค่ใช้เตาไมโครเวฟ มีรสชาติอร่อย ทำให้อยากกินบ่อย ๆ และราคาถูกกว่าการไปกินอาหารปรุงสดที่ร้านอาหาร นอกจากนี้ยังมีอาหารให้เลือกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นอาหารไทย อาหารญี่ปุ่น อาหารเกาหลี หรืออาหารอิตาลีก็มีให้หยิบจากตู้แช่แข็งในห้างสรรพสินค้า
ก่อนหน้านี้ผมไม่ได้มีอคติต่ออาหารแปรรูปเลย แถมยังชอบด้วยซ้ำเพราะมันสะดวกสบาย ช่วยให้ประหยัดเวลาไปได้มาก แต่พอได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งก็ทำให้ผมเริ่มตระหนักถึงอาหารที่ผมเอาเข้าปาก ไอติมเล่า ep นี้ มาแนะนำเนื้อหาจาหนังสือ Ultra-Processed People หรือชื่อไทยคือ อร่อยลวงตาย เขียนโดย Chris Van Tulleken หนังสือเล่มนี้จะพาเราไปสำรวจเบื้องหลังความอร่อยของอาหารแปรรูปสูงที่พบเห็นอยู่มากมายในชีวิตประจำวันครับ
อาหารแปรรูปขั้นสูง หรือ Ultra-Processed Food (UPF) ไม่ใช่แค่อาหารแปรรูปทั่วไปอย่างอาหารกระป๋อง เนย หรือชีส แต่คืออาหารที่ผ่านกระบวนการทางอุตสาหกรรมที่ซับซ้อนหลายขั้นตอน และมักมีส่วนผสมที่ไม่ได้พบในครัวเรือนทั่วไป เช่น สารปรุงแต่งสังเคราะห์ สารกันบูด สารเพิ่มความคงตัว และสารปรุงแต่งกลิ่นรส ผู้เขียนนิยามยูพีเอฟให้เข้าใจง่าย ๆ ว่าคืออาหารอะไรก็ตามที่อยู่ในถุงพลาสติก และมีวัตถุดิบอย่างน้อยหนึ่งอย่างที่ชื่อแปลก ๆ และไม่มีอยู่ในห้องครัวที่บ้านของเรา ให้เรียกสิ่งนั้นว่าเป็นยูพีเอฟได้เลย

เป้าหมายหลักที่ผลิตยูพีเอฟออกมาคือเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีราคาถูก เก็บไว้ได้นาน รสชาติดีที่ดึงดูดให้ผู้บริโภคซื้อมากินซ้ำให้มากที่สุด จากสถิติพบว่าสิ่งที่คนอเมริกันและคนอังกฤษกินในแต่ละวัน กว่า 60% นั้นเป็นยูพีเอฟ ซึ่งคาดว่าคนประเทศอื่นก็กินยูพีเอฟกันในปริมาณที่ไม่ต่างจากนี้ โดยมีงานวิจัยพบว่ายูพีเอฟก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคอ้วน โรคไขมันสะสม โรคมะเร็ง โรคซึมเศร้า และอื่น ๆ อีกมากมายเลยครับ
หนังสือเล่มนี้เนื้อหาเยอะมาก ผมไม่สามารถเอามาเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังได้ทั้งหมด ผมขอเลือกหัวข้อที่ผมเห็นว่าน่าสนใจมาเล่านะครับ ซึ่งจะมีเรื่องที่มาของอาหารแปรรูปขั้นสูงชนิดแรก เป็นอาหารที่ใกล้ตัวพวกเรามาก เรื่องอาหารที่เกิดขึ้นจากการสังเคราะห์ล้วน ๆ 100% จากวัตถุตั้งต้นที่กินไม่ได้ เรื่องเหตุผลว่าทำไมยูพีเอฟถึงทำให้อ้วน และผลการทดลองกับตัวเองของผู้เขียนที่เขาทำการกินแต่อาหารยูพีเอฟทุกมื้อ ติดต่อกันเป็นเวลาหนึ่งเดือน
ต้นกำเนิดของยูพีเอฟ
จริง ๆ แล้วมนุษย์เราบริโภคอาหารแปรรูปกันมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้วครับ มีการค้นพบหลักฐานว่ามนุษย์ผลิตเนยมาตั้งแต่ยุค 5,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช นักสำรวจพบภาพวาดบนผนังถ้ำกลางทะเลทรายซาฮารา ซึ่งเมื่อ 12,000 ปีที่แล้ว ทะเลทรายซาฮาราเป็นพื้นที่เขียวขจีหลังสิ้นสุดยุคน้ำแข็ง ภาพวาดบนผนังถ้ำแห่งนั้นเป็นรูปคนกำลังรีดนมวัว และแถวนั้นยังพบภาชนะดินเผาที่มีคราบนม ซึ่งผลการวิเคราะห์พบว่านมเหล่านั้นผ่านกระบวนการทำให้เป็นเนยและชีสมาแล้ว

เนยเป็นการถนอมอาหารอย่างหนึ่ง เพราะเนยเก็บได้นานกว่านมมาก และหลังจากนั้นหลายพันปีมนุษย์เราก็บริโภคเนยเรื่อยมา และเนยกลายเป็นวัฒนธรรมด้านอาหารของทั่วโลก แต่ว่าเนยที่ทำจากนมนั้นมีราคาแพง เพราะเราต้องเลี้ยงสัตว์เพื่อให้ได้นม และต้องปลูกพืชเพื่อเอามาเป็นอาหารเลี้ยงสัตว์อีกที
ส่วนไขมันที่มาจากพืชมีราคาถูกกว่ามาก แต่ไขมันพืชส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบน้ำมันซึ่งเป็นของเหลวที่เก็บรักษายากกว่า และการเติมไขมันพืชลงไปไม่ค่อยช่วยเรื่องเนื้อสัมผัสของอาหาร มันเทียบกับเนยไม่ติดเลย ในปี 1869 จักรพรรดินโปเลียนที่ 3 เสนอรางวัลให้ใครก็ตามที่สามารถผลิตไขมันที่เป็นก้อนแข็งราคาถูกออกมาได้
ผู้ที่ได้รับรางวัลจากแคมเปญนี้คือนักเคมีและเภสัชกรชาวฝรั่งเศสชื่อว่า อิปโปลิต แมฌ-มูริแยส โดยเขานำไขมันที่จับตัวเป็นก้อนแข็งอยู่รอบไตของวัวซึ่งมีราคาถูก มาเจียวให้ได้ออกมาเป็นน้ำมัน จากนั้นเติมเอนไซม์จากกระเพาะแกะลงไป เพื่อให้เซลล์ไขมันแยกตัวออกจากกัน แล้วนำไปกรอง ทิ้งไว้ให้เย็น คั้นน้ำออก ทำให้ขาวด้วยกรด ล้างด้วยน้ำ อุ่นให้ร้อน และสุดท้ายก็นำไปผสมกับโซเดียมไบคาร์บอเนต โปรตีนจากนม เนื้อเยื่อเต้านมของวัว และสีผสมอาหารสีเหลือง แมฌ-มูริแยสเรียกสิ่งที่เขาผลิตออกมานี้ว่า โอลีโอมาร์การีน (Oleomargarine) นับว่าเป็นการผลิตยูพีเอฟครั้งแรกของโลกเลยทีเดียวครับ

แต่จะเห็นว่ามาร์การีนสูตรดั้งเดิมนี้ต้องใช้น้ำมันจากสัตว์อยู่ พอช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ก็มีการคิดค้นมาร์การีนสูตรที่ใช้น้ำมันจากพืชได้สำเร็จ โดยการเติมก๊าซไฮโดรเจนลงไปในน้ำมันพืช ขณะที่ให้ความร้อนและแรงดันสูง ซึ่งจะสามารถเปลี่ยนโครงสร้างทางเคมีและเปลี่ยนคุณสมบัติการหลอมเหลวของน้ำมันพืชได้ สิ่งที่ได้ออกมาคือก้อนไขมันที่แข็งเหมือนน้ำแข็งเลยทีเดียว และถ้าลดการเติมไฮโดรเจนลงก็จะสามารถกำหนดความแข็งของมาร์การีนนี้ได้
พอได้สูตรมาร์การีนสูตรใหม่นี้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการหาน้ำมันพืชที่ราคาถูกที่สุดมาผลิตมาร์การีน และสิ่งนั้นคือน้ำมันจากเมล็ดฝ้าย ซึ่งเมล็ดฝ้ายเป็นของเหลือทิ้งไร้มูลค่าที่ได้จากอุตสาหกรรมฝ้าย แต่ปัญหาคือน้ำมันจากเมล็ดฝ้ายมีสารพิษที่ชื่อกอสซีพอล (gossypol) ซึ่งตามธรรมชาติมีหน้าที่ปกป้องต้นฝ้ายจากแมลง แต่หากนำมากินจะทำให้ผู้ชายมีโอกาสเป็นหมัน
ทางออกของปัญหานี้คือกระบวนการที่ในปัจจุบันถูกเรียกว่าอาร์บีดี ซึ่งย่อมาจาก Refined, Bleached and Deodorised โดยน้ำมันจะถูกกลั่น ฟอกสี และขจัดกลิ่น ตัวอย่างเช่น เวลาสกัดน้ำมันออกมาจากผลปาล์มใหม่ ๆ น้ำมันที่ได้จะมีลักษณะเป็นของเหลวใสสีแดงเข้ม มีกลิ่นแรง มีรสชาติเผ็ดร้อนจัดจ้าน แต่น้ำมันสำหรับการผลิตยูพีเอฟต้องไร้สี ไร้กลิ่น และไร้รสชาติ

กระบวนการอาร์บีดีจะทำการกลั่นน้ำมันนั้นด้วยความร้อน ใช้กรดฟอสฟอริกขจัดยางเหนียว ทำให้ค่า pH เป็นกลางด้วยการใส่โซดาไฟ ฟอกสีด้วยดินเบนโทไนต์ และสุดท้ายขจัดกลิ่นด้วยไอน้ำแรงดันสูง กระบวนการนี้ถูกใช้ในการผลิตน้ำมันปาล์ม น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันคาโนลา และน้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน โดยน้ำมันทั้งสี่ชนิดนี้คิดเป็น 90% ของน้ำมันที่วางขายทั่วโลกครับ
แม้มาร์การีนจะมาแก้ปัญหาราคาแพงของเนยแท้ได้ แต่กระบวนการผลิตมาร์การีนส่งผลให้เกิดไขมันทรานส์ ซึ่งก่อให้เกิดโรคหัวใจและปัญหาสุขภาพด้านอื่น ๆ แม้ทุกวันนี้จะมีวิธีผลิตมาร์การีนสูตรใหม่ที่ไม่ทำให้เกิดไขมันทรานส์ แต่ก็มีบริษัทบางแห่งใช้วิธีผลิตมาร์การีนแบบเดิมอยู่ครับ
อาหารแปรรูปสูงขั้นสุดคือเนยจากถ่านหิน!
ได้ยินไม่ผิดครับเพื่อน ๆ มีเนยที่ทำมาจากถ่านหินที่เอาไว้ใช้ในโรงงานผลิตไฟฟ้า เรื่องนี้เริ่มต้นหลังจากที่ประเทศเยอรมนีแพ้สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ฟรันซ์ ฟิชเชอร์ และฮันซ์ โทรพซ์ นักวิจัยสองคนจากสถาบันไคเซอร์ วิลเฮล์ม กำลังพยายามช่วยเยอรมนีลดการพึ่งพาน้ำมันเชื้อเพลิงจากต่างชาติ ซึ่งเอาไว้ใช้เติมรถถัง เครื่องบิน และรถยนต์
แม้เยอรมนีจะไม่ค่อยมีแหล่งน้ำมันเชื้อเพลิง แต่มีแหล่งถ่านหินคุณภาพต่ำที่เรียกว่าถ่านหินลิกไนต์อยู่เป็นจำนวนมาก แนวคิดของฟรันซ์และฮันซ์คือการนำถ่านหินชนิดนี้มาผ่านกระบวนการที่ใช้ไอน้ำและออกซิเจน เพื่อเปลี่ยนถ่านหินให้กลายเป็นคาร์บอนมอนอกไซด์และไฮโดรเจน จากนั้นนำสองก๊าซนี้ไปผสมกับตัวเร่งปฏิกิริยา จนได้ออกมาเป็นเชื้อเพลิงเหลว
ในปี 1940 โรงงานถ่านหิน 9 แห่งผลิตเชื้อเพลิงจากถ่านหินได้ถึง 600,000 ตันต่อปี โดยกระบวนการนี้จะเหลือกากที่เรียกว่าสแล็กแวกซ์ (slack wax) หรือรู้จักในอีกชื่อว่าพาราฟิน ซึ่งเป็นสารที่เอาไว้ใช้ทำเทียน ยาหม่อง หรือเครื่องสำอางครับ

ช่วงนั้นเยอรมนีขาดแคลนอาหารที่เป็นแหล่งไขมัน ช่วงปี 1930 ชาวเยอรมันบริโภคไขมันประมาณ 1.5 ล้านตันต่อปี แต่ภายในประเทศผลิตไขมันได้เพียงแค่ครึ่งหนึ่งของความต้องการ ที่เหลือต้องนำเข้าเมล็ดแฟลกซ์จากอเมริกาใต้ ถั่วเหลืองจากเอเชีย และไขมันวาฬจากแอนตาร์กติกา
บริษัทอิมเฮาเซินเคมีที่ผลิตสินค้าขายดีอย่างสบู่รู้เรื่องพาราฟินที่เหลือจากกระบวนการแปรรูปถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงเหลว พวกเขาพยายามเปลี่ยนพาราฟินให้เป็นไขมัน โดยเติมกลีเซอไรด์ลงไปซึ่งจะได้กรดไขมันคุณภาพสูงที่กินได้ชื่อว่าชไปเซอเฟทท์ (Speisefett)
ชไปเซอเฟทท์มีลักษณะเป็นไขสีขาวที่ไร้รสชาติ ห่างไกลจากเนยที่มีรสชาติอร่อยเป็นอย่างมาก ทางอิมเฮาเซินจึงนำชไปเซอเฟทท์ไปผสมกับไดแอซีทิล น้ำ เกลือ และเบต้าแคโรทีนเล็กน้อยเพื่อให้มีสีสัน เท่านี้ก็จะได้เนยจากถ่านหินแล้ว และมันถือว่าเป็นอาหารชนิดแรกของโลกที่ได้จากการสังเคราะห์ล้วน ๆ และรัฐบาลนาซีก็อนุมัติให้มันเป็นไขมันปลอดภัยที่บริโภคได้

แต่ภายหลังหน่วยข่าวกรองของอังกฤษค้นพบข้อมูลที่รัฐบาลนาซีไม่เปิดเผยต่อสาธารณชน ที่จริงแล้วมีงานวิจัยหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่าการกินไขมันสังเคราะห์อย่างต่อเนื่อง ก่อให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับไตอย่างรุนแรง และก่อให้เกิดภาวะกระดูกสูญเสียแคลเซียม บรรดาลูกเรือที่กินไขมันสังเคราะห์ระหว่างออกปฏิบัติการในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือมีชีวิตอยู่ได้เพียงแค่ 60 วันหลังจากลงเรือ
นอกจากนี้ยังมีข้อกังขาด้านจริยธรรมในการทดลองด้านความปลอดภัยของไขมันสังเคราะห์ โดยผู้ผลิตนำมันไปทดลองกับนักโทษกว่า 6,000 คนในค่ายกักกัน และผู้รับช่วงต่อบริษัทอิมเฮาเซินยังมีชื่อเสียงในทางที่ไม่ดี โดยช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เขาข้องเกี่ยวกับโรงงานผลิตยางสังเคราะห์ที่ใช้แรงงานทาสในค่ายกักกันเอาชวิทซ์ และเกี่ยวข้องกับบริษัทที่ผลิตก๊าซไซโคลน บี (Zyklon B) ซึ่งเป็นก๊าซที่ใช้สังหารหมู่ชาวยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองครับ
ทำไมยูพีเอฟถึงทำให้อ้วน?
เมื่อปี 1977 นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งได้ให้ผู้เข้าร่วมการทดลองจำนวน 10 คน กินแอปเปิล 3 รูปแบบที่แตกต่างกัน ได้แก่ น้ำแอปเปิลคั้นที่ไม่มีเนื้อ แอปเปิลทั้งลูกปั่น และแอปเปิลหั่นชิ้น โดยนักวิทยาศาสตร์ให้ผู้เข้าร่วมการทดลองกินทุกอย่างด้วยระดับความเร็วที่เท่ากัน จากนั้นจะวัดระดับความอิ่ม วัดระดับน้ำตาลในเลือด และวัดระดับอินซูลินเพื่อดูการตอบสนองของร่างกายต่อการกินแอปเปิลทั้ง 3 รูปแบบ
นักวิทยาศาสตร์พบว่าการกินน้ำแอปเปิลคั้นและแอปเปิลทั้งลูกปั่น ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะลดลงมาอยู่ในระดับต่ำกว่าตอนที่กิน เกิดเป็นภาวะน้ำตาลตกที่ทำให้ผู้เข้าร่วมการทดลองยังคงรู้สึกหิวอยู่ ส่วนการกินแอปเปิลหั่นชิ้นทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ก่อนจะกลับลงมาสู่ระดับปกติ โดยไม่ก่อให้เกิดภาวะน้ำตาลตกและยังคงความรู้สึกอิ่มจากการกินแอปเปิลไปได้อีกหลายชั่วโมงครับ

น้ำแอปเปิลคั้นที่ไม่มีเนื้อก็ไม่มีใยอาหาร กินแล้วจึงไม่อยู่ท้อง และในน้ำแอปเปิลมักมีน้ำตาลอยู่ราว 15% ซึ่งส่งผลกระทบไม่ต่างจากการกินน้ำอัดลม ส่วนแอปเปิลทั้งลูกปั่นแม้จะเหลือใยอาหารอยู่ แต่การปั่นทำให้โครงสร้างของใยอาหารถูกทำลาย กินไปแล้วจึงไม่รู้สึกอิ่ม เช่นเดียวกับมันฝรั่งแผ่นที่นำมันฝรั่งไปบด ก่อนจะนำไปขึ้นรูปใหม่ให้เป็นแผ่น ตอนกินมันฝรั่งแผ่นเราแทบไม่ต้องกัดเลย แค่ใช้ลิ้นกับเพดานปากดันมันก็หักและละลายแล้ว ยูพีเอฟคืออาหารบดเละ ผู้เขียนบอกว่ามันคืออาหารที่ถูกเคี้ยวมาให้แล้ว
ตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของอาหารที่ถูกเคี้ยวมาให้แล้วคือแฮมเบอร์เกอร์ที่ขายตามร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด แฮมเบอร์เกอร์เหล่านั้นมีขนมปังที่ทั้งฟูและนุ่ม จริง ๆ แล้วมันยวบเลยด้วยซ้ำ มีเนื้อฉ่ำ ๆ ที่ทำจากเนื้อบดแล้วนำมาปั้นเป็นก้อน มีมัสตาร์ดรสชาติเผ็ดร้อนและซอสมะเขือเทศที่เป็นกรดซึ่งกระตุ้นความอยากอาหาร เราสามารถกินแฮมเบอร์เกอร์ 1 ชิ้นให้หมดได้ในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที และสามารถกินได้อีกชิ้น เพราะท้องยังไม่ทันได้ส่งสัญญาณว่าอิ่มไปยังสมอง เราจึงยังรู้สึกหิวอยู่นั่นเองครับ
การกินยูพีเอฟที่อ่อนนุ่มทำให้เราต้องเคี้ยวอาหารน้อยลง ส่งผลให้คนรุ่นปัจจุบันมีปัญหาเรื่องฟันกันมาก ในอังกฤษและอเมริกา เด็กอายุ 12 ปี จำนวน 1 ใน 3 มีอาการฟันเหยิน เพราะขากรรไกรเล็กเกินไปสำหรับใบหน้า ทำให้เด็ก ๆ ต้องจัดฟัน และในผู้ใหญ่ก็เกิดฟันคุดเพราะสาเหตุเดียวกัน หลักฐานจากกะโหลกศีรษะของเกษตรกรในยุคก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม พบว่าพวกเขาเจอปัญหาฟันคุดกันแค่ 5% ในขณะที่คนยุคปัจจุบันเป็นฟันคุดกันมากถึง 70% เลยทีเดียวครับ

สาเหตุที่ทำให้กระดูกขากรรไกรของคนเราเล็กลงคือสาเหตุเดียวกันที่นักเทนนิสมีความหนาแน่นของกระดูกแขนข้างที่ใช้ตีลูกหนาแน่นกว่าอีกข้าง กระดูกไม่ใช่ก้อนหินครับ มันเป็นเนื้อเยื่อมีชีวิตที่สามารถเปลี่ยนรูปร่างได้ มันเติบโตได้ตามแรงกดที่ได้รับ ยิ่งเราออกแรงเคี้ยว กระดูกขากรรไกรก็จะยิ่งเติบโตครับ
ยูพีเอฟทำให้เราอ้วนเพราะว่ามันกินง่าย กินหมดเร็ว เร็วแบบยังไม่ทันได้รู้สึกอิ่ม ทำให้เรากินมากขึ้น ได้รับแคลอรีเข้าสู่ร่างกายเกินความต้องการ และไปสะสมกลายเป็นไขมันส่วนเกิน นอกจากนี้ยูพีเอฟยังถูกแต่งเติมรสชาติและกลิ่นสังเคราะห์ หลอกประสาทสัมผัสเราว่า “นี่มันอร่อยมาก” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เราเสพติด รู้สึกอยากกินมันมากขึ้นอีก
ผลการทดลองกินยูพีเอฟติดต่อกันหนึ่งเดือนของผู้เขียน
คริสได้ทำการทดลองกับตัวเองครับ โดยการกินยูพีเอฟทุกมื้อตลอดระยะเวลา 4 สัปดาห์ อาหารแปรรูปสูงที่เขากินก็อย่างเช่นลาซานญ่าหรือพิซซ่าที่อุ่นด้วยไม่โครเวฟ ขนมกินเล่นแบบแท่ง แมคโดนัลด์และเคเอฟซี โดยก่อนทำการทดลองคริสมีน้ำหนักตัว 82 กิโลกรัม ส่วนสูง 185 เซนติเมตร ค่าดัชนีมวลกาย 24.2 และไขมันในร่างกาย 17% ซึ่งโดยรวมแล้วถือว่าเขามีรูปร่างตามค่าเฉลี่ยของผู้ใหญ่ในทุกวันนี้ที่กำลังเริ่มมีไขมันสะสมหน่อย ๆ
นอกจากนี้เขายังเจาะเลือดไปตรวจเพื่อเก็บค่าระดับความอักเสบและการตอบสนองของร่างกายต่ออาหาร ตรวจฮอร์โมน เข้าเครื่องสแกนเอ็มอาร์ไอเพื่อให้เห็นภาพส่วนต่าง ๆ ของสมองว่าเชื่อมโยงกันยังไง และทำแบบทดสอบทางจิตวิทยาเกี่ยวกับความอยากอาหาร

หลังสิ้นสุดการทดลองพบว่าน้ำหนักตัวของคริสเพิ่มขึ้นมาถึง 6 กิโลกรัม และหากเขายังกินยูพีเอฟแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ภายในเวลา 1 ปี น้ำหนักตัวของเขาสามารถเพิ่มขึ้นถึงสองเท่าได้เลย ฮอร์โมนเลปติน (Leptin) ในร่างกายเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า มันหลอกสมองว่าต้องกินอาหารเพิ่มอีก ร่างกายอยากได้พลังงานมากกว่านี้ ทำให้คริสรู้สึกหิวอยู่ตลอดเวลา C-Reactive Protein เพิ่มขึ้นสองเท่า ซึ่งเป็นโปรตีนที่ตับสร้างขึ้นเมื่อมีการอักเสบในร่างกาย และผลการสแกนสมองพบว่าระบบให้รางวัลของสมองถูกปั่นป่วน ทำให้เกิดการเสพติดยูพีเอฟ ยิ่งกินยิ่งมีความสุข และยิ่งต้องการกินในปริมาณที่มากขึ้นเรื่อย ๆ
นอกจากนี้การกินยูพีเอฟเป็นประจำยังส่งผลให้เกิดโรคอ้วน โรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็งบางชนิด โรคซึมเศร้า และยังทำลายสมดุลไมโครไบโอมหรือชุมชนจุลินทรีย์ในระบบทางเดินอาหาร ส่งผลให้เกิดโรคต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหาร และทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอ
แม้เราจะรู้ว่าอาหารแปรรูปสูงหรือยูพีเอฟไม่ดีต่อร่างกาย แต่การหยุดกินยูพีเอฟให้ได้แบบ 100% ในโลกยุคนี้เป็นไปได้ยากมากครับ เราอาจต้องทำอาหารกินเองทุกมื้อและดื่มได้แค่น้ำเปล่า แต่ถึงยังไงเนื้อสัตว์สด ๆ ที่เราเลือกซื้อเองกับมือก็อาจไม่ได้ปลอดภัยเสมอไป อย่างเนื้อไก่ก็อาจปนเปื้อนยาปฏิชีวนะได้ เพราะการเลี้ยงไก่ในระดับอุตสาหกรรมคือการเลี้ยงไก่จำนวนมหาศาลภายในพื้นที่แออัด เจ้าของฟาร์มไก่จึงต้องให้ยาปฏิชีวนะแก่ไก่ทุกตัว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อโรคไปติดไก่ทั้งฝูง
สิ่งที่เราพอทำได้คือการอ่านฉลากอาหารที่จะนำเข้าปากอย่างละเอียด และอำนาจในการเลือกว่าจะกินหรือไม่กินอะไรนั้นอยู่ในมือเราทุกคน ไม่มีใครแย่งอำนาจนี้ไปจากเราได้ครับ โดยรวมแล้วหนังสือ อร่อยลวงตาย (Ultra-Processed People) เป็นหนังสือที่ให้ความรู้เกี่ยวกับอุตสาหกรรมอาหารในปัจจุบัน ชี้ให้เห็นผลกระทบของยูพีเอฟต่อระบบเศรษฐกิจ สาธารณสุข สังคม และสิ่งแวดล้อม เนื้อหาอัดแน่นกว่า 400 หน้า เพื่อน ๆ คนไหนสนใจสามารถหาซื้อมาอ่านกันได้ครับ เล่มนี้ติดอันดับหนังสือขายดีด้วยนะครับ แปลไทยโดยสำนักพิมพ์วีเลิร์น ราคา 395 บาท
สนใจหนังสือ อร่อยลวงตาย Ultra-Processed People
สามารถสั่งซื้อได้ที่ Shopee: https://s.shopee.co.th/3LEmbTqGXo
ซื้อผ่านลิงค์เป็นการสนับสนุนช่องครับ
Leave a comment