The Pearl ไข่มุกมหาภัย ชาวประมงพบไข่มุกเม็ดมหึมา แต่มันนำพาโชคดีหรือโชคร้ายเข้ามา?

Share
Share

ไอติมบุ๊คคลับ ep นี้จะมาเล่าเรื่องราวจากหนังสือ The Pearl หรือชื่อไทยว่าไข่มุกมหาภัย ผลงานเขียนของจอห์น สไตน์เบ็ก นักเขียนผู้ได้รับการันตีด้วยรางวัลพูลิตเซอร์และรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม นิยายเรื่องนี้พูดถึงโศกนาฏกรรมของชาวประมงครอบครัวหนึ่ง หลังจากที่พวกเขาได้เจอกับไข่มุกเม็ดมหึมา เรื่องราวจะสะเทือนอารมณ์แค่ไหน มาฟังกันเลยครับ


ตอนที่ 1 – พบไข่มุก

ตัวเอกของเรื่องนี้ชื่อว่าคิโน่ ชายหนุ่มชาวประมง เขามีภรรยาชื่อวานน่า ทั้งคู่มีลูกชายวัยทารกชื่อโคโยติโต้ ครอบครัวของคิโน่อาศัยอยู่ในกระท่อมไม้ริมหาดในหมู่บ้านชาวประมงผู้ยากจน ชาวประมงหมู่บ้านนี้ไม่ได้ออกหาปลาเพื่อเอาไปขาย แต่พวกเขาเป็นนักงมหอยหาไข่มุก คิโน่มีเครื่องมือทำมาหากินคือเรือไม้ที่ส่งต่อมาจากรุ่นปู่

เช้าวันหนึ่งโคโยติโต้ผู้เป็นลูกชายถูกแมงป่องมีพิษต่อยเข้าที่ไหล่ ทารกน้อยร้องไห้จ้าจนชาวบ้านข้างเคียงมามุงดูที่หน้ากระท่อมว่าเกิดอะไรขึ้น อาการของหนูน้อยดูน่าเป็นห่วงมาก ปากแผลบวมนูนแข็งเป็นสีแดง วานน่ารีบตะโกนบอกชาวบ้านให้ช่วยไปตามหมอมา แต่ชาวบ้านพูดว่าหมอคงจะไม่มาหรอก ดังนั้นวานน่าจึงจะพาลูกชายไปหาหมอเอง

จากนั้นขบวนจากหมู่บ้านชาวประมงยากจนก็เดินเข้าเมือง นำโดยคิโน่ วานน่า ตามมาด้วยวานโทมัสผู้เป็นพี่ชายของคิโน่ และอโพโลเนียผู้เป็นภรรยาของวานโทมัส ถัดมาด้านหลังเป็นบรรดาชาวบ้านที่อยากรู้อยากเห็น ขบวนเดินทางมาถึงหน้าบ้านพักของหมอ ประตูบ้านหมอปิดสนิท คิโน่เคาะประตู จากนั้นประตูก็แง้มออก คนใช้ของหมอโผล่หน้าออกมา

คิโน่บอกคนใช้ว่าเขาอยากพบหมอ ลูกชายของเขาถูกแมงป่องพิษต่อย คนใช้บอกว่าเดี๋ยวจะไปแจ้งหมอให้ จากนั้นก็ปิดประตูกลับตามเดิม แล้ววิ่งไปที่ห้องนอนของหมอที่เพิ่งจะตื่นเอาตอนนี้ คนใช้บอกธุระให้ฟัง หมอดูไม่อยากรักษาให้เท่าไหร่ และสั่งให้คนใช้กลับไปถามว่าพวกนั้นมีเงินจ่ายค่ารักษาหรือเปล่า

คนใช้กลับมาหาคิโน่ ถามหาเงินค่ารักษา คิโน่ล้วงห่อไข่มุกของเขาออกมา ไข่มุกที่เขามีเป็นเม็ดเล็ก ๆ บุบ ๆ เบี้ยว ๆ จำนวนแปดเม็ด มันเป็นสีเทาไม่แวววาว ดูไม่มีราคาอะไร คนใช้หยิบห่อไข่มุกกลับไปให้หมอดู หมอเห็นแล้วก็บอกว่าให้ปฏิเสธพวกมันไปซะ คนใช้วิ่งกลับมาและคืนห่อไข่มุกให้คิโน่ พร้อมกับบอกว่าหมอไม่อยู่บ้าน เพิ่งออกไปข้างนอกเมื่อตะกี้นี้ เพราะถูกเรียกให้ไปรักษาคนไข้อาการหนัก

ทุกคนที่ตามขบวนมาด้วยรู้สึกผิดหวังและพากันแยกย้ายกลับบ้าน คิโน่เจ็บใจมาก เขาระบายความโกรธด้วยการเอาหมัดชกประตูบ้านหมอ จนข้อนิ้วมือแตกเลือดไหลซิบ คิโน่และวานน่าพาลูกชายกลับบ้าน ตอนนี้อาการบวมของหนูน้อยลามมาถึงคอและใต้ใบหู แถมดูจะเป็นไข้ด้วย วานน่าหยิบสาหร่ายสีน้ำตาลขึ้นมาจากทะเล ทำเป็นแผ่นบาง ๆ แล้วเอาแปะที่ไหล่ของลูกชาย

จากนั้นคิโน่ดันเรือแคนูลำเก่าออกทะเลเพื่อไปงมหาไข่มุกมาแลกเป็นเงินสำหรับประทังชีวิต โดยมีวานน่าและลูกชายลงเรือมาด้วย วันนี้พวกเขาออกเรือสาย มีนักงมหอยคนอื่นออกเรือมาก่อนแล้ว คิโน่เลยพายเรือมาให้ไกลกว่าคนเหล่านั้นหน่อย

พอถึงจุดที่ต้องหา คิโน่ก็กระโดดลงทะเล น้ำทะเลใสมาก จนเขามองขึ้นไปแล้วเห็นท้องเรือแคนูของตัวเอง คิโน่ยังหนุ่มแน่น เขาสามารถกลั้นหายใจใต้น้ำได้นานกว่าสองนาที พอลงมาถึงข้างล่างเขาก็มองหาหอย โดยมองหาเฉพาะตัวที่ใหญ่ที่สุด แต่ก็เจอแค่หอยตัวเล็กที่ยังไม่พร้อมจะเอาไปขาย ทันใดนั้นเองเขาก็เห็นแสงสะท้อนวิบวับ พอหันไปดูเห็นว่าเป็นหอยตัวใหญ่มากอยู่โดดเดี่ยวลำพังเพียงตัวเดียว

ใจของคิโน่เต้นแรง เขางัดตัวหอยให้หลุดออกมาจากหิน ถือมันไว้แนบอกและรีบว่ายน้ำกลับขึ้นมาที่เรือ พอวานน่าเห็นหอยที่คิโน่เก็บได้เธอก็ถึงกับกลั้นหายใจ คิโน่ขึ้นมาบนเรือ ง้างมีดพกแล้วสอดใบมีดเข้าไปในเปลือกหอยอย่างชำนาญ จากสัมผัสเขาก็รู้ว่ากล้ามเนื้อของหอยขาดออกจากกันแล้ว เขาจึงแหวกเปลือกหอยและได้พบกับไข่มุกเม็ดมหึมา ขนาดใหญ่ราวกับไข่นกนางนวล มันเป็นไข่มุกที่ใหญ่ที่สุดในโลก สวยสมบูรณ์ราวกับดวงจันทร์ สะท้อนแสงเรืองรองออกมาอย่างงดงาม

คิโน่อารมณ์กระเจิง เขาตะโกนออกมาเสียงดังลั่นด้วยความดีใจ จนคนบนเรือลำอื่น ๆ พากันมองและงุนงง จากนั้นก็รีบพากันพายเรือมาที่เรือของคิโน่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น


ตอนที่ 2 – สิ่งที่ไข่มุกพามา

ก่อนที่คิโน่และชาวประมงคนอื่น ๆ จะกลับมาถึงฝั่ง คนบนฝั่งก็รู้กันไปทั่วแล้วถึงเรื่องที่คิโน่เจอไข่มุกเม็ดยักษ์ เริ่มจากรู้กันในหมู่บ้านชาวประมง จากกระท่อมหลังหนึ่งไปอีกหลัง ผ่านเด็ก ๆ และพวกแม่ ๆ กระจายลามเข้าไปในเขตเมือง บาทหลวงได้ยินข่าวก็นึกไปถึงว่าไข่มุกเม็ดนั้นขายแล้วน่าจะเอามาเป็นค่าซ่อมโบสถ์ได้ ท่านนึกย้อนไปว่าตัวเองเคยทำพิธีทางศาสนาให้ครอบครัวคิโน่บ้างหรือเปล่า จะได้เอาไปทวงบุญคุณ

ข่าวลามไปถึงหมอคนนั้น และเขาก็นึกโมโหตัวเองที่เคยปฏิเสธคิโน่ เขาคิดถึงสมัยที่เคยใช้ชีวิตอยู่ในกรุงปารีส และไข่มุกเม็ดนั้นน่าจะพาเขากลับไปสัมผัสชีวิตแบบนั้นได้อีกครั้ง พ่อค้าที่รับซื้อไข่มุกก็คิดถึงกำไรที่พวกเขาจะได้จากไข่มุกเม็ดนั้น ทุกคนพากันกระตือรือร้นสนใจเรื่องของคิโน่ ไข่มุกเม็ดนั้นกลายเป็นความฝัน ความปรารถนาและความต้องการของใครหลายคน แต่เจ้าของเพียงคนเดียวของไข่มุกเม็ดนั้นคือคิโน่เท่านั้น

คิโน่ไม่รู้ว่าข่าวคราวของเขาเป็นที่พูดถึงอย่างมาก เขากลับมาที่กระท่อม ชวนวานโทมัสผู้เป็นพี่ชายและอโพโลเนียผู้เป็นพี่สะใภ้มาชมความงามของไข่มุกเม็ดยักษ์นี้ด้วยกัน คิโน่ถือไข่มุกไว้ในมือ มันส่องแสงอบอุ่นและมีชีวิตชีวา เพื่อนบ้านก็พากันมอง และนึกสงสัยว่าทำไมเรื่องโชคดีแบบนี้ถึงเกิดขึ้นกับคนแค่คน ๆ เดียว วานโทมัสถามน้องชายว่า

“ตอนนี้แกกลายเป็นคนร่ำรวยแล้ว แกจะทำยังไงต่อไป?”

คิโน่หันไปมองวานน่าผู้เป็นภรรยา ตอนนี้เขามีเงินสำหรับจัดงานแต่งงานของพวกเขาได้แล้ว เขาตอบไปว่า “เราจะแต่งงานกัน จัดงานภายในโบสถ์”

คิโน่จินตนาการถึงวานน่าในชุดเจ้าสาวที่สวมผ้าคลุมผมที่ยังแข็งเพราะเป็นของใหม่ สวมกระโปรงใหม่เอี่ยม สวมรองเท้าคู่ใหม่ ส่วนเขาก็แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีขาวใหม่เอี่ยม ถือหมวกที่ตัดเย็บจากผ้าสักหลาดสีดำอย่างดี และโคโยติโต้สวมชุดกะลาสีสีน้ำเงินพร้อมกับหมวกนายเรือใบเล็ก ๆ นอกจากนี้เขาจะส่งโคโยติโต้เข้าโรงเรียนด้วย

“ลูกชายของฉันจะต้องอ่านออกเขียนได้ เขาต้องคิดเลขเป็นและรู้สิ่งต่าง ๆ ที่จะพาพวกเราออกไปสู่อิสระ เขาจะสอนเราให้รู้หนังสือด้วย”

เวลาผ่านไปจนเกือบจะมืดสนิทแล้ว ก็มีเสียงบอกต่อ ๆ กันมาว่าบาทหลวงกำลังเดินทางมาที่กระท่อมของคิโน่ พอบาทหลวงมาถึงกระท่อม คิโน่และวานโทมัสก็ลุกขึ้นยืน บาทหลวงเป็นชายที่อายุมากแล้ว มีผมขาว ผิวหนังเหี่ยวย่น แต่นัยน์ตายังคมเหมือนเด็กหนุ่ม ท่านมองคิโน่และวานโทมัสราวกับพวกเขาเป็นเด็ก ๆ

บาทหลวงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “คิโน่ ชื่อของเจ้าตั้งตามชื่อของบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ พ่อได้รู้มาว่าเจ้าพบกับโชคลาภอันมหาศาล”

คิโน่ยื่นไข่มุกเม็ดมหึมาให้บาทหลวงดู ท่านเห็นแล้วก็อ้าปากด้วยความตะลึงในความงามและขนาดของไข่มุก บาทหลวงพูดออกไปว่า “พ่อคิดว่าเจ้าคงรู้ว่าต้องแสดงความขอบคุณต่อพระผู้เป็นเจ้า ขอบคุณที่พระองค์ทรงประทานสมบัติชิ้นนี้แก่เจ้า”

วานน่าพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “พวกเราจะทำค่ะคุณพ่อ เราจะแต่งงานกันในโบสถ์ คิโน่เขาบอกไว้อย่างนั้น”

บาทหลวงพูดว่า “ช่างน่ายินดีจริง ๆ ความคิดของพวกเจ้าเป็นความคิดที่ประเสริฐ ขอให้พระผู้เป็นเจ้าคุ้มครองพวกเจ้า ลูก ๆ ของพ่อ” พูดจบบาทหลวงก็หันหลังเดินกลับไปอย่างช้า ๆ ผู้คนแหวกทางให้ท่าน

แต่คิโน่กำไข่มุกในมือไว้แน่น เขาเกิดความเคลือบแคลงสงสัยในแง่ร้าย เขามีความเชื่อว่าบรรดาปวงเทพทั้งหลายไม่พอใจที่เห็นมนุษย์พบเจอกับความสุขความสำเร็จ ปวงเทพจะต้องหาทางกลั่นแกล้งแบบไหนสักทาง คิโน่ไม่มีวันยอมที่จะให้เกิดเรื่องแบบนั้น สายตาและจิตใจของเขาสอดส่ายหาถึงอันตรายก่อนที่มันจะปรากฎออกมา

ถัดจากบาทหลวง คนต่อไปที่มาเยี่ยมคิโน่ถึงกระท่อมคือหมอ เขามากับคนใช้ พอคิโน่เห็นแบบนั้นก็รู้สึกร้อนวาบตรงแผลบนข้อนิ้วมือที่ได้จากการชกประตูหน้าบ้านหมอเมื่อเช้านี้ หมอรีบพูดแก้ตัวกับคิโน่ทันทีว่า

“ตอนนายมาเมื่อเช้านี้ฉันไม่อยู่ แต่ตอนนี้พอฉันว่าง ฉันก็รีบมาดูลูกของนายทันที”

คิโน่ยืนขวางอยู่ที่ประตู แววตาของเขาฉายความเกลียดชังและแค้นเคือง เขาตอบหมอไปอย่างห้วน ๆ ว่า “ตอนนี้เด็กเกือบจะหายดีแล้ว”

หมอแสร้งยิ้ม แล้วพูดต่อไปว่า “นี่เพื่อนยาก บางครั้งพิษของแมงป่องก็จะแสดงอาการขึ้นมา ทั้งที่บางทีดูเหมือนจะหายดีแล้ว” จากนั้นหมอก็เลื่อนกระเป๋าใส่อุปกรณ์หมอสีดำใบเล็ก ๆ ให้คิโน่ดู เพราะรู้ว่าคนประเภทคิโน่เชื่อถือเครื่องมือพวกนี้ แล้วหมอก็พูดต่อว่า “บางครั้งอาจมีอาการขาลีบ ตาบอด หรือหลังโก่ง เพื่อนยาก ฉันว่าฉันช่วยรักษาลูกชายนายได้นะ”

ได้ยินแบบนั้นคิโน่ก็รู้สึกกลัวขึ้นมา จนความแค้นหายไป เขาไม่อยากเอาชีวิตของลูกชายมาเสี่ยง หมอคนนี้มีความรู้มากกว่าเขา คิโน่จึงหลีกทางให้หมอและคนใช้เข้าไปในกระท่อม หมอส่องไฟดูแผลบนไหล่ของหนูน้อย นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า

“เป็นอย่างที่ฉันคิดไว้จริง ๆ ด้วย พิษหลบในซะแล้ว และมันจะออกฤทธิ์ในไม่ช้านี้แหละ ฉันให้ยาเขาได้ จะได้ไล่พิษออกมา”

จากนั้นหมอก็หยิบขวดใบเล็ก ๆ ที่ใส่แคปซูลผงสีขาวออกมาจากกระเป๋ายา ป้อนยานั้นใส่ปากโคโยติโต้ จากนั้นหันไปบอกกับคิโน่ว่า “ฉันคิดว่าพิษจะออกฤทธิ์ภายในหนึ่งชั่วโมงนี้ ยานั้นจะช่วยเด็กไม่ให้เจ็บปวด แต่ฉันจะกลับมาใหม่ในอีกหนึ่งชั่วโมง” พูดแล้วหมอกับคนใช้ก็ออกจากกระท่อมไป

คิโน่รู้ว่าบรรดาคนที่มาเยี่ยมเขาในวันนี้มีจุดประสงค์อะไร เขาจึงเดินไปที่หีบ แล้วหยิบเศษผ้าออกมาห่อไข่มุกไว้ จากนั้นตรงไปที่มุมกระท่อม แล้วใช้มือขุดหลุมเล็ก ๆ บนพื้นดิน เขาฝังไข่มุกไว้ในนั้น แล้วเกลี่ยหน้าดินเพื่อกลบเกลื่อนร่องรอย

บรรดาเพื่อนบ้านของคิโน่ยังคงปักหลักคุยกันที่บริเวณหน้ากระท่อมของคิโน่ พวกเขาพูดคุยกันถึงขนาดของไข่มุก ถึงความสวยงามของมัน และคุยกันว่าเรื่องราวจากนี้ไปจะเป็นยังไงต่อ ความร่ำรวยจะล้างสมองครอบครัวนี้ไหม พวกเขารู้ว่าหมอมาทำไม เพราะหมอคนนั้นแสร้งทำตัวเป็นคนดีไม่เก่งเลย

เย็นวันนั้นคิโน่กินถั่วและข้าวโพดทอดเป็นมื้อเย็น หลังจากกินเสร็จก็ได้ยินวานน่าร้องเรียก เขารีบลุกไปหา และเห็นว่าใบหน้าของโคโยติโต้นั้นแดงก่ำมาก ที่ปากมีเสมหะไหลออกมาเล็กน้อย กล้ามเนื้อที่หน้าท้องชักกระตุก

“งั้นที่หมอพูดก็เป็นเรื่องจริง” คิโน่พูดเพื่อปลอบใจตัวเองและภรรยา เพราะว่าในใจของเขาเต็มไปด้วยความสงสัยในแง่ร้ายถึงผงสีขาวที่หมอเอาให้ลูกชายของเขากิน

ข่าวการป่วยของหนูน้อยกระจายไปอย่างรวดเร็ว จากกระท่อมหลังหนึ่งไปยังอีกหลัง เพื่อนบ้านคนหนึ่งพูดว่า “ความมีโชคดีไง เห็นไหมล่ะ มันพาเอาความขมขื่นมาให้ด้วย” พอหมอได้ยินข่าวก็มาที่กระท่อมของคิโน่อย่างรีบร้อนพร้อมด้วยคนใช้

“พิษร้ายออกฤทธิ์แล้ว ฉันว่าฉันเอาชนะมันได้ เอาล่ะ ขอน้ำหน่อย” เมื่อได้น้ำมา หมอก็หยดแอมโมเนียลงไปในแก้วสามหยด จากนั้นกรอกน้ำนั้นเข้าปากหนูน้อย คิโยติโต้สำลักน้ำแล้วก็ร้องไห้ลั่น แต่หลังจากนั้นอาการชักกระตุกของหนูน้อยก็ค่อย ๆ ทุเลาและผล็อยหลับไป “เขาจะหายดีแล้วล่ะตอนนี้ นายคิดว่าจะจ่ายเงินค่ารักษาให้ฉันได้เมื่อไหร่”

“เมื่อฉันขายไข่มุกได้แล้ว ฉันจะจัดการจ่ายเงินให้หมอ” คิโน่บอก

“นายมีไข่มุกเหรอ เป็นไข่มุกที่ดีไหม?” หมอแกล้งทำเป็นว่าไม่รู้เรื่องไข่มุกยักษ์ของคิโน่ “แล้วนายเก็บมันไว้ในที่ปลอดภัยไหม นายอยากเอามาฝากไว้ในตู้เซฟของฉันไหมล่ะ?”

“ฉันเก็บมันไว้ปลอดภัยดีแล้ว พรุ่งนี้เมื่อขายมันได้ ฉันจะจ่ายเงินให้หมอ”

หมอยักไหล่ เขารู้ว่าคิโน่ต้องเก็บไข่มุกนั้นไว้ในกระท่อมนี่แหละ เขามองสายตาของคิโน่ หวังว่าคิโน่จะหันไปมองตรงที่ที่ซ่อนไข่มุกไว้ “คงขายหน้าแย่นะ ถ้ามันถูกขโมยไปก่อนที่จะทันได้เอาไปขาย” หมอพูด แล้วเขาก็เห็นสายตาของคิโน่ตวัดอย่างไม่ตั้งใจไปมองพื้นใกล้กับเสาข้างกระท่อม

หมอและคนใช้กลับไปแล้ว เพื่อนบ้านก็กลับกระท่อมของตัวเองเพื่อเข้านอนกันแล้ว แต่คิโน่นอนไม่หลับ เขาตรงไปยังที่ที่ฝังไข่มุกไว้ ขุดมันขึ้นมา จากนั้นมาขุดหลุมใต้เสื่อที่เขานอนและฝังไข่มุกลงไป วานน่าเห็นแบบนั้นก็ถามเขาว่า “เธอกลัวใครกัน?”

คิโน่นิ่ง และในที่สุดเขาก็ตอบว่า “ทุกคน”

จากนั้นคิโน่และวานน่าก็เข้านอน พวกเขาหลับไปได้แปบเดียวก็ต้องลืมตาตื่น เพราะได้ยินเสียงฝีเท้าเดินอยู่รอบ ๆ กระท่อม ตามมาด้วยเสียงขุดพื้นดินด้วยมือ สิ่งที่คิโน่กลัวกำลังเกิดขึ้นแล้ว เขาหยิบมีดออกมาแล้วย่องไปที่มุมกระท่อม จากนั้นแทงมีดไปในความมืด เขารู้สึกว่ามีดแทงทะลุผ่านผ้าเข้าไป แล้วคิโน่ก็ถูกตีเข้าที่กลางหัว คนร้ายรีบวิ่งหนีออกไปทางประตู

คิโน่รู้สึกว่ามีเลือดอุ่น ๆ ไหลลงมาตามหน้าผาก วานน่าเข้ามาหาด้วยความตื่นตระหนัก จากนั้นเธอก็จัดการทำแผลให้สามี วานน่ารู้สึกเครียดจนอดกลั้นอีกต่อไปไม่ไหว เธอพูดออกมาว่า “สิ่งนี้เป็นปีศาจ ไข่มุกเม็ดนี้เหมือนตัวบาป มันจะทำลายเรา โยนมันทิ้งไปเถอะคิโน่ หรือเราช่วยกันเอาหินทุบมันเสีย”

คิโน่นิ่งเฉย ความตั้งใจของเขาไม่เปลี่ยนแปลง “นี่เป็นโอกาสเพียงครั้งเดียวเท่านั้นของเรา ลูกเราต้องได้เข้าโรงเรียน”

วานน่าบอกว่า “มันจะทำลายล้างเราหมดทุกคน แม้แต่ลูกของเราก็เถอะ”

“เงียบเถอะ อย่าพูดต่ออีกเลย ตอนเช้าเราก็จะเอาไข่มุกไปขายแล้ว และเจ้าปีศาจร้ายก็จะหายไป จะเหลือแต่สิ่งที่ดีงามเท่านั้น”


ตอนที่ 3 – ขายไข่มุก

รุ่งเช้าคนทั่วทั้งเมืองต่างตื่นเต้นและพูดถึงเรื่องที่คิโน่จะนำไข่มุกเม็ดยักษ์ไปขาย เรื่องนี้รู้กันตั้งแต่บรรดาเพื่อนบ้าน บรรดาชาวประมง เจ้าของร้านของชำ คนในโบสถ์ หรือแม้กระทั่งขอทานที่จะไปรอหน้าร้านรับซื้อไข่มุก โดยหวังว่าจะได้แบ่งปันน้ำใจสักเล็กน้อยจากคิโน่

พ่อค้าผู้รับซื้อไข่มุกแต่ละแห่งก็เตรียมตัวกันสำหรับเรื่องนี้ แม้ดูภายนอกจะเข้าใจว่าแต่ละร้านต่างฝ่ายก็ต่างทำธุรกิจของใครของมัน แข่งกันเสนอราคารับซื้อที่ดีที่สุด แต่ความเป็นจริงทุกร้านมีเจ้าของคนเดียวกัน พ่อค้าที่นั่งหน้าร้านเป็นลูกจ้างรับเงินเดือน ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับกำไรส่วนต่างการขายต่อไข่มุก พวกเขาฮั้วกันมาแล้วว่าจะกดราคาให้ต่ำสุดที่เท่าไหร่

สำหรับคิโน่และวานน่า เช้าวันนี้เปรียบเสมือนรุ่งอรุณแห่งชีวิตใหม่ของพวกเขาทั้งสอง วานน่าแต่งตัวดีให้โคโยติโต้ สองสามีภรรยาใส่เสื้อผ้าที่รุ่งริ่งน้อยที่สุดที่พวกเขามี แต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปพวกเขาจะได้ใส่เสื้อผ้าใหม่เอี่ยมแล้ว พอพวกเขาออกจากกระท่อมก็พบว่าเพื่อนบ้านได้แต่งตัวดี เตรียมพร้อมรอติดตามพวกเขาไปขายไข่มุกด้วย

ระหว่างทางผู้คนก็ทยอยออกมาจากกระท่อมทุกหลังเพื่อมาสมทบ วานโทมัสเดินเคียงมากับน้องชาย และพูดกับคิโน่ว่า “แกต้องระวังอย่าให้พวกเขาโกงแกได้”

คิโน่ตอบไปว่า “เราจะรู้ได้ยังไงว่าพวกเขาให้ราคาที่ยุติธรรม ถ้าเราไม่รู้ว่าพ่อค้าที่อื่นให้ราคาเท่าไหร่?”

วานโทมัสเล่าให้ฟังว่า “ก่อนที่แกจะเกิดมา พวกผู้ใหญ่ก็คิดหาทางที่จะได้เงินค่าไข่มุกที่มากขึ้น พวกเขาเลยเสนอให้มีตัวแทนรวบรวมไข่มุกของชาวประมงในหมู่บ้านไปขายในเมือง แต่พอส่งตัวแทนคนนั้นไป เขาก็ไม่กลับมาอีกเลย พอหาตัวแทนคนใหม่ก็หายไปอีกเหมือนกัน พวกผู้ใหญ่เลยต้องเลิกวิธีนั้น และหันมาใช้วิธีเดิม”

คิโน่เลือกเข้าร้านรับซื้อไข่มุกร้านหนึ่ง เขาบอกพ่อค้าผู้ดูแลร้านไปว่าต้องการขายไข่มุก และยื่นไข่มุกให้พ่อค้าตีราคา พ่อค้าดูไข่มุกแล้วโยนมันลงในถาดกำมะหยี่ ใบหน้าของเขาแสยะยิ้ม

“ฉันเสียใจจริง ๆ เพื่อนยาก ไข่มุกเม็ดนี้มันใหญ่เกินไป ใครจะไปอยากซื้อมัน มันเป็นของที่ผิดธรรมชาติ นายคิดว่ามันมีค่าเหรอ มันเป็นเพียงแค่ของประหลาดเท่านั้นเอง บางทีอาจมีพิพิธภัณฑ์สักแห่งอยากเก็บมันเอาไว้ ฉันเสนอราคาให้ 1,000 เปโซก็แล้วกัน”

คิโน่รีบสวนไปว่า “แต่มันมีค่าถึง 50,000 เปโซ แกก็รู้ดี แกต้องการจะโกงฉัน”

“อย่าเพิ่งด่าฉัน ฉันเป็นแค่คนประเมินราคา แกลองเอาไข่มุกนี้ไปถามร้านอื่น ๆ ดูสิ หรือจะให้พวกเขามาดูที่ร้านของฉันก็ได้ เผื่อแกกลัวว่าพวกเราจะสมรู้ร่วมคิดกัน” จากนั้นพ่อค้าก็เรียกเด็กรับใช้ให้ไปตามพ่อค้าจากร้านอื่น ๆ มาที่นี่

บรรดาเพื่อนบ้านที่รออยู่ด้านนอกร้านได้แอบฟังและพากันซุบซิบถึงเรื่องนี้ บางคนบอกว่าคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าไข่มุกมันไม่มีค่า บางคนบอกว่าเงิน 1,000 เปโซก็ไม่ควรปล่อยให้หลุดมือไป อย่างน้อยเงินก้อนนี้ก็เยอะมากสำหรับคิโน่และวานน่าที่เมื่อวานเป็นคนที่ไม่มีอะไรเลย

จากนั้นพ่อค้าไข่มุกอีกสามคนก็เข้ามาในร้าน พ่อค้าคนแรกหยิบไข่มุกขึ้นมาดูแล้วบอกว่า “ฉันไม่ยุ่งเรื่องนี้ดีกว่า ฉันจะไม่เสนอราคาใด ๆ ฉันไม่อยากได้มัน นี่ไม่ใช่ไข่มุก มันเป็นของประหลาดต่างหาก”

พ่อค้าคนที่สองหยิบแว่นขยายออกมาส่องไข่มุก แล้วหัวเราะออกมาเบา ๆ “มีไข่มุกปลอมที่ทำด้วยกาวที่ดูดีกว่านี้ซะอีก ไอ้นี่สีมันเลือน ๆ และจะซีดจางไปในอีก 2-3 เดือน”

พ่อค้าคนที่สามหยิบไข่มุกมาดูแล้วพูดว่า “ลูกค้าคนหนึ่งของฉันชอบของอย่างนี้ ฉันเสนอราคาให้แก 500 เปโซ”

ได้ยินบรรดาพ่อค้าพูดกันแบบนั้น คิโน่ก็คว้าไข่มุกกลับมา แล้วพูดอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “ฉันโดนโกง ไข่มุกของฉันไม่เหมาะจะขายที่นี่ ฉันจะเอาไปขายที่เมืองหลวง”

ตอนนี้บรรดาพ่อค้าต่างชำเลืองมองกันและกัน ถ้าพวกเขาหลอกซื้อไข่มุกเม็ดยักษ์มาไม่สำเร็จ พวกเขาจะถูกเจ้าของร้านลงโทษ พ่อค้าที่เสนอราคาคนแรกสุดรีบแก้สถานการณ์โดยพูดว่า “ฉันอาจให้ราคาสูงถึง 1,500 เปโซก็ได้นะ”

แต่คิโน่ไม่สนใจจะขายแล้ว เขาเดินออกมาจากร้าน แหวกฝูงชนแล้วเดินออกไปโดยมีวานน่าอุ้มลูกน้อยตามหลังมา เย็นวันนั้นคิโน่ได้ปรึกษากับพี่ชายว่าจะเอายังไงเรื่องไข่มุกดี ปรึกษากันไปมา จนคิโน่ตัดสินใจว่าจะเอาไข่มุกเข้าไปขายในเมือง

กลางดึกคืนนั้นมีเงาคนมาทำลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่หน้ากระท่อมของคิโน่ คิโน่รู้เลยว่าจุดประสงค์ของคน ๆ นั้นคือขโมยไข่มุก เขาจึงหยิบมีดแล้วไล่วิ่งตามหัวขโมยไป เกิดเสียงต่อสู้และเสียงหายใจฟืดฟาด วานน่ารีบตามออกมา เห็นคิโน่นอนเหยียดอยู่บนพื้นดิน รอบตัวเขาไม่มีใครอยู่ใกล้เลย

วานน่าเข้าไปประคองคิโน่ หัวของเขามีเลือดไหลและเสื้อผ้าฉีดขาด เธอพาเขาเข้ามาในกระท่อมและทำแผลให้ พร้อมกับถามว่าคนร้ายเป็นใคร แต่คิโน่มองไม่เห็นหน้าคนร้าย วานน่าที่รู้สึกใจไม่ดีอยู่แล้วจึงพูดทำนองเดิมว่า

“คิโน่ ไข่มุกเม็ดนี้เป็นสิ่งเลวร้าย เราทำลายมันเสียเถอะ เอาหินทุบให้มันแตกไปซะ หรือจะเอาไปโยนกลับลงทะเลตรงที่เดิมที่มันเคยอยู่ก็ได้ คิโน่ มันเป็นสิ่งเลวร้าย”

ขณะที่รับฟังภรรยา แววตาของคิโน่ก็ฉายความอยากเอาชนะ “ไม่ จะไม่มีใครมาแย่งเอาความโชคดีไปจากพวกเราได้ เชื่อฉันเถอะ พรุ่งนี้เช้าเราจะออกเรือข้ามทะเลข้ามภูเขาไปยังเมืองหลวง เธอกับฉันจะต้องไม่ถูกโกง เธอไม่กลัวที่จะไปกับฉันใช่ไหม?”

วานน่าตอบว่าไม่กลัว คิโน่มองเธอด้วยสายตาอ่อนโยนและอบอุ่นกว่าเดิม เขาเอามือแตะแก้มเธอเบา ๆ แล้วชวนเธอเข้านอน เพื่อที่พรุ่งนี้จะได้ออกไปแต่เช้า


ตอนที่ – 4 ไข่มุกเปื้อนเลือด

ยังไม่ทันจะรุ่งเช้า คิโน่ก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวอยู่ในกระท่อม เขาลืมตาตื่นและเห็นวานน่าหยิบไข่มุกออกมาจากที่ซ่อนและถือวิ่งออกไปจากกระท่อม ทันใดนั้นเองคิโน่ก็เกิดความโมโหและรีบวิ่งตามเธอไป วานน่าวิ่งไปที่ทะเลและตั้งท่าจะขว้างไข่มุกเม็ดยักษ์กลับลงไปในทะเล

คิโน่คว้ามือวานน่าได้ทันและแย่งไข่มุกมาจากเธอ เขาตบหน้าเธอ ทำให้เธอล้ม แถมยังเตะเธอเข้าที่ชายโครงอีกหนึ่งครั้ง วานน่าจ้องแขม็งมองเขาโดยไม่มีความกลัวเลยสักนิด แล้วความโกรธก็หายไปจากตัวของคิโน่ กลายเป็นความเอือมระอาเข้ามาแทนที่ จึงถือไข่มุกแล้วเดินกลับกระท่อม

ระหว่างทางคิโน่รู้สึกตัวว่ามีคนตามหลังมา พอใครคนนั้นกระโจนเข้าใส่จากด้านหลัง คิโน่ก็จ้วงมีดพกสวนกลับไป ทางด้านของวานน่าได้ลุกขึ้นมาและกำลังเดินกลับกระท่อม เธอเดินมาเห็นไข่มุกเม็ดยักษ์ร่วงอยู่ที่พื้นจึงเก็บขึ้นมา มองไปข้างหน้าเห็นร่างดำ ๆ สองร่างนอนอยู่บนพื้น ร่างหนึ่งเป็นของคิโน่ อีกร่างเป็นชายแปลกหน้าที่มีเลือดสีเข้มไหลออกมาจากแผลตรงลำคอ

คิโน่อยู่ในอาการมึนงง พลางเคลื่อนไหวแขนขาไปมาเพื่อคลายความเจ็บปวด เห็นแบบนั้นวานน่าก็รู้ทันทีว่าชีวิตดั้งเดิมของพวกเขาเปลี่ยนไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ คิโน่เป็นฆาตกรไปแล้ว แต่เธอก็รู้ดีว่าเรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้ว ไม่มีอะไรให้แก้ไขได้แล้ว เธอต้องเป็นฝ่ายปกป้องครอบครัวของตัวเองบ้าง

วานน่าสลัดความเจ็บปวดในใจทิ้งไป แล้วจัดการลากร่างคนตายไปซ่อนไว้ในพุ่มไม้ จากนั้นเข้าไปหาคิโน่ที่เริ่มจะได้สติกลับมาแล้ว เขาคร่ำครวญกับเธอด้วยความไม่รู้ว่า “พวกมันขโมยไข่มุกไปแล้ว ทุกอย่างมันจบสิ้นแล้ว”

วานน่าปลอบคิโน่ว่า “นิ่งซะเถอะนะ นี่ยังไงล่ะไข่มุกของเธอ ฉันเจอมันที่ทางเดิน เธอฆ่าชายคนหนึ่งตาย เราต้องไปจากที่นี่ พวกเขาจะตามหาเรา เธอเข้าใจใช่ไหม เราต้องไปจากที่นี่ก่อนจะขึ้นวันใหม่”

“ฉันถูกลอบทำร้าย ฉันแทงมันเพื่อป้องกันตัว” คิโน่พูดอย่างไม่สบายใจ

“เธอคิดว่าคำอธิบายนี้จะช่วยตัวเธอไว้ได้เหรอ?”

คิโน่สูดหายใจเข้าเต็มปอด “มันช่วยอะไรไม่ได้ เธอคิดถูกแล้ว ไปที่กระท่อมของเราแล้วอุ้มลูกมา ฉันจะไปลากเรือแคนูลงน้ำ แล้วเราจะได้ไปกัน”

จากนั้นทั้งสองก็รีบแยกย้าย คิโน่มาที่เรือของเขาและเห็นว่าที่ท้องเรือมีรูขนาดใหญ่ ในใจของคิโน่เต็มไปด้วยความเศร้าเสียใจและโกรธแค้น เรือลำนี้ถูกส่งต่อมาตั้งแต่รุ่นปู่ของเขา แต่ถึงแม้อย่างนั้นเขาก็ไม่คิดจะขโมยเรือของเพื่อนบ้านเพื่อใช้หนี

ตอนนี้ไก่เริ่มขัน และหลายครอบครัวเริ่มตื่นขึ้นมาจุดไฟทำอาหารแล้ว คิโน่รีบตรงไปยังกระท่อมของเขา พอมาถึงก็พบว่ากระท่อมของเขามีไฟโหมลุกโชน วานน่าวิ่งอุ้มลูกชายออกมาหาเขา และบอกกับเขาว่า

“ข้างในกระท่อมถูกรื้อกระจุยกระจาย ตามพื้นก็ถูกขุดขุ้ยไปทั่ว และฉันก็เห็นพวกมันจุดไฟเผากระท่อมเราจากข้างนอก”

“ใคร?” คิโน่ถาม

“ฉันไม่รู้ มันดำมืดไปหมด”

ตอนนี้ชาวบ้านออกมาข้างนอกเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น คิโน่รีบจูงมือวานน่าหลบสายตาของชาวบ้านและมาที่กระท่อมของวานโทมัส และเล่าเรื่องที่เขาเผลอฆ่าคนให้พี่ชายและพี่สะใภ้ฟัง พวกเขาได้ข้อสรุปกันว่าจะซ่อนตัวคิโน่ วานน่าและคิโยติโต้ไว้ในกระท่อมของวานโทมัสจนกว่าจะถึงกลางคืน แล้วตอนนั้นคิโน่กับครอบครัวของเขาถึงจะหนีออกไปจากหมู่บ้าน

วานโทมัสรวบรวมอาหารและของใช้จำเป็นมาให้คิโน่ และบอกให้คิโน่เลี่ยงให้ห่างจากฝั่งทะเล ตอนนี้มีคนออกตามหาคิโน่ตามชายฝั่ง คิโน่บอกว่าเขาจะเดินทางขึ้นเหนือ เส้นทางนั้นมีลมพัดแรงซึ่งจะช่วยกลบรอยเท้าของพวกเขาได้ เย็นวันนั้นคิโน่พาภรรยาและลูกชายของเขาออกเดินทาง


ตอนที่ 5 – ไข่มุกมหาภัย

เส้นทางที่คิโน่เลือกเดินเป็นถนนขรุขระเต็มไปด้วยทราย ข้างทางเต็มไปด้วยพุ่มไม้เตี้ย ๆ ลมที่พัดแรงช่วยพัดทรายให้กลบรอยเท้าของพวกเขา พวกเขาเดินทางต่อเนื่องจนพระจันทร์ข้างแรมขึ้นเหนือท้องฟ้า จนแสงแรกของวันใหม่มาถึง ตอนนั้นพวกเขาถึงตกลงกันว่าจะหยุดเพื่อนอนพักใต้พุ่มไม้ข้างทาง วานน่าพูดกับคิโน่ว่า

“พวกเขาจะตามเรามาไหม เธอคิดไหมว่าพวกเขาจะต้องตามหาเรา?”

“พวกมันต้องพยายามแน่”

วานน่าเอ่ยขึ้นมาว่า “บางทีพวกพ่อค้าอาจพูดถูก ว่าไข่มุกเม็ดนี้ไม่ได้มีค่าอะไร”

คิโน่หยิบไข่มุกออกมาส่องกับแสงดวงอาทิตย์ “ไม่หรอก พวกมันจะไม่พยายามพากันมาขโมยหรอก ถ้าหากว่ามันไม่มีค่า”

“เธอรู้ไหมว่าใครเป็นคนลอบทำร้ายเธอ เป็นพวกพ่อค้าหรือเปล่า?”

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉันมองไม่เห็นพวกมันเลย เมื่อเราขายไข่มุกนี้ได้ ฉันจะซื้อปืนไรเฟิลสักกระบอก”

คิโน่นอนหลับเพื่อเอาแรง แต่วานน่านอนไม่หลับ พอคิโน่ตื่นขึ้น เขาก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนมาทางนี้ เขาแอบออกไปดูก็เห็นชายสามคนมากับม้าหนึ่งตัว พวกเขาเดินมากันอย่างช้า ๆ ชายสองคนที่ไม่ได้นั่งบนหลังม้ามองดูที่พื้นเหมือนกำลังสะกดรอย เห็นแบบนั้นคิโน่ก็นิ่งแข็งทื่อ เกือบจะหายใจไม่ออก พอพวกนักสะกดรอยเดินผ่านไป คิโน่ก็รีบพาวานน่าเดินขึ้นไปบนภูเขาหิน ที่ซึ่งจะไม่ทิ้งรอยเท้าของพวกเขาไว้

พวกเขาเดินขึ้นภูเขาที่สูงชันขึ้นเรื่อย ๆ จนมาถึงยอดเขาที่มีน้ำพุและแอ่งน้ำ พวกเขาพักดื่มน้ำและยืดเส้นยืดสาย จากนั้นคิโน่ออกมาสอดส่องมองออกไปจากริมหน้าผา เขาเห็นนักสะกดรอยสามคนอยู่ไกล ๆ เป็นจุดเล็ก ๆ กำลังเดินตามขึ้นมา

แถวนั้นตรงไหล่เขามีถ้ำเล็ก ๆ คิโน่จึงพาวานน่าและลูกชายไปซ่อนตัวอยู่ในนั้น ในที่สุดเมื่อตกเย็น นักสะกดรอยทั้งสามก็ขึ้นมาถึงยอดเขา พวกเขานั่งพักที่แอ่งน้ำ ชายคนหนึ่งวางปืนไรเฟิลของเขาไว้ข้างตัว จุดบุหรี่สูบระหว่างที่ให้เพื่อนอีกสองคนนอนพัก

คิโน่กระซิบบอกวานน่าถึงแผนการของเขาว่า เขาจะแอบย่องลงไปหาคนที่มีปืนไรเฟิลแล้วจัดการคนนั้นก่อน จากนั้นคิโน่ก็ย่องลงไปด้านหลังคนที่มีปืนไรเฟิลอย่างช้า ๆ คิโน่รอจังหวะที่จะจัดการ แต่โคโยติโต้กลับร้องไห้จ้า ทำให้นักสะกดร้องทั้งหมดตื่น

“นั่นเสียงอะไรกัน?” ชายที่เพิ่งตื่นถาม

“อาจจะเป็นหมาป่าโคโยเต้ตัวเมียที่มีลูกอ่อน ฉันเคยได้ยินเสียงลูกหมาป่าโคโยเต้ร้อง มันร้องเสียงเหมือนเด็กทารก” ชายที่เพิ่งตื่นอีกคนพูด

“ถ้าเป็นหมาป่า งั้นปืนนี่ก็หยุดมันได้” พูดแล้วคนที่มีปืนก็ยกปืนไรเฟิลขึ้นเล็งไปยังจุดที่มาของเสียง

คิโน่รีบกระโจนเข้าใส่ แต่ไม่ทันก่อนที่เสียงปืนจะดังขึ้น เขาหยิบมีดเล่มใหญ่ออกมาฟันอย่างสะเปะสะปะ การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วทำให้คิโน่ดูเหมือนเครื่องจักรที่น่ากลัว เขาฟันคนที่มีปืนตรงที่คอยาวไปจนถึงหน้าอก ฟันหัวชายอีกคนเหมือนฟันลูกแตงโม ชายคนสุดท้ายพยายามจะวิ่งหนี แต่ลื่นตกลงไปในแอ่งน้ำ คิโน่หยิบปืนไรเฟิลออกมาเล็งอย่างตั้งใจตรงระหว่างตาของชายคนนั้นแล้วยิงออกไป

จากนั้นคิโน่ก็ยืนขึ้นอย่างงง ๆ ทุกอย่างผิดพลาดไปหมด กบและจั๊กจั่นพากันเงียบเสียง เขาได้ยินแต่เสียงแหลมร้องไห้คร่ำครวญของวานน่าที่แสดงออกถึงอาการตกใจสุดขีด ดังมาจากถ้ำเล็ก ๆ ตรงไหล่เขา

ทุกคนในเมืองเห็นการกลับมาของครอบครัวของคิโน่ วันนั้นเป็นบ่ายที่ร้อนจัด ข่าวแพร่กระจายออกไป ทุกคนรีบร้อนพากันออกมาดู คิโน่เดินนำหน้า ส่วนวานน่าเดินตามหลัง พวกเขาเหมือนเดินแบกเอาความดำมืดมาด้วย คิโน่มีปืนไรเฟิลพาดอยู่ที่แขน เขาขบขากรรไกรแน่น วานน่าอุ้มห่อเล็ก ๆ ที่อ่อนปวกเปียกและเต็มไปด้วยคราบเลือดแห้งกรัง ใบหน้าของเธอดูเหนื่อยอ่อน สายตาดูล่องลอย ผู้คนพากันพูดไปว่าทั้งสองคนผิดปกติจากมนุษย์สามัญธรรมดาไปแล้ว

คิโน่และวานน่าเดินผ่านหมู่บ้านชาวประมง วานโทมัสโบกมือทักทายแต่พวกเขาก็เหมือนไม่เห็น ทั้งสองเดินผ่านกองเถ้าถ่านที่เคยเป็นกระท่อมของพวกเขาโดยที่ไม่ได้มองดูมันเลย เดินผ่านเรือแคนูที่ชำรุดของคิโน่โดยที่ไม่มองเลยเช่นกัน

เมื่อมาถึงริมทะเลพวกเขาก็หยุด คิโน่วางปืนลงแล้วล้วงเอาไข่มุกเม็ดยักษ์ออกมา ตอนนี้สำหรับเขาไข่มุกเม็ดนี้ดูน่าเกลียด มันเป็นสีเทาหม่นเหมือนกับเนื้องอกร้าย แล้วคิโน่ก็ยื่นไข่มุกนั้นให้วานน่า วานน่ามองไปที่ไข่มุกในมือของคิโน่อยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็เอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาว่า

“ไม่ล่ะ เธอเอาเลย”

จากนั้นคิโน่ก็ขว้างไข่มุกออกไปสุดแรง ทั้งสองมองเห็นน้ำแตกกระจายอยู่ไกล ๆ และยืนนิ่งมองอย่างนั้นอยู่เป็นเวลานาน ไข่มุกตกลงไปในน้ำทะเลสีเขียวสดใส ค่อย ๆ ร่วงลงไปยังก้นทะเล และจมลงไปบนพื้นทรายกลางหมู่ไม้น้ำในทะเล


ไข่มุกมหาภัย เป็นนิยายขึ้นหิ้งอีกเรื่องของจอห์น สไตน์เบ็ก นักเขียนชาวอเมริกันที่ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ในปี 1940 และรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมในปี 1962 งานเขียนของเขาส่วนใหญ่เน้นไปทางสะท้อนวิถีชีวิตของคนชนชั้นแรงงาน

นอกจากเรื่องนี้แล้ว ผลงานเรื่องอื่น ๆ ของเขาก็ควรค่าแก่การอ่านเช่นกัน ตัวอย่างเช่น Of Mice and Men ซึ่งแปลไทยในชื่อเพื่อนยาก, Tortilla Flat ซึ่งแปลไทยในชื่อ โลกียชน สำหรับเรื่องไข่มุกมหาภัยมีแปลเป็นไทยหลายสำนวน เพื่อน ๆ คนไหนสนใจอยากอ่าน สามารถหามาอ่านกันได้ครับ เล่มนี้หาซื้อไม่ยากเท่าไหร่

สนใจหนังสือ The Pearl: ไข่มุกมหาภัย
สามารถสั่งซื้อได้ที่ Shopee: https://s.shopee.co.th/6AVWB9oV1f
ซื้อผ่านลิงค์เป็นการสนับสนุนช่องครับ

Share

Leave a comment

Leave a Reply

What's New

สรุปเนื้อหาและแนะนำหนังสือที่น่าสนใจ ชวนเพื่อน ๆ มาพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้นในทุก ๆ วันไปด้วยกันครับ

Copyright 2025 Aitim and Co. All rights reserved

error: Content is protected !!