The Old Man and the Sea เฒ่าผจญทะเล จับปลาไม่ได้มา 84 วันติด แต่วันหนึ่งกลับจับปลาตัวยักษ์ได้

Share
Share

ไอติมบุ๊คคลับ ep นี้จะมาเล่าเรื่องราวจากนิยายขนาดสั้นเรื่อง เฒ่าผจญทะเล หรือชื่อภาษาอังกฤษคือ The Old Man and the Sea ผลงานที่มีชื่อเสียงของเออร์เนสต์ เฮมิงเวย์ นักเขียนผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม

The Old Man and the Sea แปลเป็นภาษาไทยมาแล้วหลายสำนวน นอกจากชื่อเฒ่าผจญทะเลแล้ว บางสำนักพิมพ์ใช้ชื่อว่าชายเฒ่ากลางทะเลลึก, ชายชราและทะเล หรือผู้เฒ่าทะเล นิยายเรื่องนี้เฮมิงเวย์เขียนขณะอยู่ที่ประเทศคิวบา ซึ่งเหตุการณ์ในเรื่องก็เกิดขึ้นที่เมืองฮาวานา ประเทศคิวบา

เรื่องราวของเฒ่าผจญทะเลว่าด้วยชายชราคนหนึ่งที่ออกเรือหาปลาด้วยตัวคนเดียว แล้วบังเอิญตกปลาตัวใหญ่ยักษ์ได้ เขาจึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อนำปลาตัวนี้กลับเข้าฟัง เรื่องราวของเฒ่าผจญทะเลจะเป็นยังไง ไปฟังกันได้เลยครับ


ตอนที่ 1 – ชายชื่อซานติอาโก

ตัวเอกของนิยายเรื่องนี้ชื่อซานติอาโก เขาเป็นชายชราผู้ประกอบอาชีพชาวประมงมาตลอดชีวิต เขาเป็นหม้าย ภรรยาเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว ไม่มีลูก อาศัยอยู่คนเดียวในกระท่อมเก่า ๆ โทรม ๆ ในเมืองฮาวานา ชายชราออกทะเลมา 84 วันแล้ว แต่จับปลาไม่ได้สักตัวเลย

แต่ก่อนชายชรามักออกเรือไปกับ มาโนลิน เด็กหนุ่มละแวกบ้านที่ชายชราสอนวิธีตกปลาและเรื่องเกี่ยวกับทะเลให้มาตั้งแต่เด็กหนุ่มยังเป็นเด็ก มาโนลินยกย่องให้ซานติอาโกเป็นอาจารย์ และยกย่องว่าชายชราผู้นี้คือชาวประมงที่เก่งที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา

แต่ซานติอาโกเป็นเพียงชาวประมงจน ๆ ที่อุปกรณ์หาปลาไม่ได้พรั่งพร้อม พ่อของมาโนลินจึงสั่งให้ลูกชายไปทำงานกับเรือลำอื่นที่จับปลาได้มากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นมาโนลินก็แวะเวียนมาหาชายชราอยู่บ่อย ๆ ถ้าว่างจากงานก็จะออกเรือไปเป็นลูกมือให้ซานติอาโก วันหนึ่งหลังจากที่ชายชรากลับมาจากทะเล โดยไม่ได้ปลากลับมาด้วยสักตัวติดต่อกันเป็นวันที่ 84 มาโนลินก็รีบมาช่วยชายชราเก็บเครื่องมือเข้ากระท่อม

“ลุงซานติอาโก ทีนี้ฉันมาช่วยลุงได้อีกละ ไปช่วยเขาได้สตางค์มาบ้างแล้ว” เด็กหนุ่มบอก

“ไม่ดีหรอก เจ้าไปช่วยเรือที่เขามีโชคลาภน่ะดีแล้ว อยู่กับเขาต่อไปเถอะ”

“โธ่ ลุงจำได้ไหมล่ะ อีคราวนั้นที่เราออกไปตั้ง 90 วัน แล้วไม่ได้ปลาเลยสักตัวน่ะ แล้วบทมันจะได้ก็ได้ตัวโต ๆ ใหญ่ ๆ ติดกันทุกวันตั้ง 3 อาทิตย์”

“เออ จำได้ ข้ารู้ดีว่าเจ้าไม่ได้ทิ้งข้าไปเพราะไม่เชื่อมือข้าหรอก”

“พ่อเขาให้ฉันไป ฉันเป็นเด็กเลยต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่”

“เออ ข้ารู้ดี เป็นเรื่องธรรมดา”

“พ่อเขาเป็นคนไม่เชื่อใจใครและไม่เชื่อมั่นในอะไรเลย”

“แต่เราสองคนมีใช่ไหมความเชื่อมั่นน่ะ?”

“มีอยู่แล้วลุง เราไปกินเบียร์ที่ร้านเทอร์เรซกันดีกว่า ฉันเลี้ยงเบียร์ลุงขวดหนึ่งเอาไหม แล้วถึงขนของเข้าบ้าน”

“ข้อนั้นไม่ขัดข้องเลย เรามันลูกทะเลเหมือนกันนี่นา”

มาโนลินรักซานติอาโกเหมือนพ่อแท้ ๆ เขาคอยเอาอาหารมาให้ชายชราเพราะรู้ว่าแกไม่ค่อยมีอะไรกิน ชายชราก็รับไว้เสมอ เพราะรู้ว่าตัวเองแก่มากแล้ว อะไรมาอยู่ใกล้มือก็ต้องคว้าไว้ก่อน และไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องน่าอับอายหรือทำให้ความภาคภูมิใจในตัวเองลดลงแม้แต่น้อย

ซานติอาโกตัดสินใจว่าพรุ่งนี้เช้าเขาจะออกเรือไปไกลจากเดิม และพอเช้ามืดเขาก็แจวเรือออกจากฝั่งไปพร้อมกับเรือลำอื่น ๆ เรือส่วนมากเคลื่อนไปในน้ำอย่างเงียบเชียบ บางทีจะได้ยินเสียงคนบนเรือคุยกันบ้าง พอพ้นปากอ่าว เรือแต่ละลำก็แยกกันไปตามจุดที่ตัวเองหวังว่าปลาจะไปออกันอยู่

พออยู่คนเดียว ซานติอาโกก็คิดอะไรไปเรื่อย แกนึกถึงเรื่องที่คนคุยกันว่าถ้าทะเลมีเพศ ทะเลจะเป็นเพศอะไร คนหาปลารุ่นเด็ก ๆ ที่ใช้เรือติดเครื่องยนต์มีความคิดว่าทะเลนั้นเป็นเพศชาย คนหนุ่มมองว่าทะเลคือคู่ต่อสู้ เป็นสถานที่หนึ่งที่ไม่มีชีวิตจิตใจ หรือบางคนคิดไปว่าทะเลเป็นศัตรูเลยก็มี

แต่สำหรับชายชรา แกมีความคิดว่าทะเลคือเพศหญิง บางทีก็ยอมโอนอ่อนผ่อนตามชายคนรัก บางทีก็เล่นตัวไม่ยอมผ่อนปรน ทะเลเปลี่ยนไปตามข้างขึ้นข้างแรม เหมือนผู้หญิงไม่มีผิด

ก่อนสว่าง ชายชราจัดการวางเบ็ด 3 คันติดไว้บนเรือ เหยื่อที่เกี่ยวเบ็ดเป็นเนื้อปลาทูน่าสดที่มาโนลินให้มา เบ็ดของแกอยู่ในระยะและตำแหน่งที่ถูกต้อง แต่ถึงอย่างนั้นเวลาผ่านมาถึงบ่าย 2 โมงก็ไม่มีทีท่าว่าจะมีปลาตัวใดมากินเบ็ด ทันใดนั้นแกก็เห็นนกตัวใหญ่บินวนอยู่ข้างหน้า แล้วร่อนโฉบลงมาบนผิวน้ำ

“มันต้องเห็นอะไรแน่” ชายชราอุทาน แล้วก็เห็นปลาบินพุ่งขึ้นมาจากน้ำแล้วถลาไปตามพื้นน้ำเหมือนตกใจหนีอะไรมา “โลมา” แกร้องดัง “โลมาตัวใหญ่ทีเดียว”

ชายชราเห็นน้ำนูนขึ้นมาเล็กน้อยเป็นทางไป แสดงว่าโลมากำลังไล่ตามปลาบินที่ว่ายหนีอยู่อย่างไม่ลดละ ปลาบินกระโจนขึ้นมาเหนือน้ำหลายต่อหลายหน แต่นกตัวนั้นกลับจับปลาบินไม่ได้สักตัว จนการไล่ล่าของโลมาและปลาบินฝูงนี้ผ่านชายชราไป แกก็ยังหวังว่าจะมีปลาหลงฝูงมาติดเบ็ดของแกสักตัว แต่ก็ไม่มี

ชายชราเห็นนกตัวเดิมยังบินวนเวียนอยู่ไม่ไกลจากเรือของแก สักพักก็มีฝูงปลาทูน่าพากันกระโดดขึ้นมาเหนือน้ำ และพวกมันยิ่งตกใจเมื่อโดนนกถลาลงไปจิก จากนั้นชายชรารู้สึกว่าเบ็ดของตัวเองตึง แกสาวเบ็ดเข้ามาจนเห็นหลังสีน้ำเงินของปลา แล้วก็เหวี่ยงปลาขึ้นมาบนเรือ มันดิ้นด้วยความทุรนทุราย ชายชราจึงเอาไม้ทุบหัวให้มันตาย

ชายชราปล่อยให้เรือไหลไปตามแรงลม เรือแกออกทะเลมาไกลจนมองไม่เห็นชายฝั่ง ด้วยระยะขนาดนี้แกจึงหวังว่าจะตกได้ปลาตัวใหญ่ ทันใดนั้นก็มีปลาตัวที่สองมากินเบ็ดของแก ชายชราใช้มือทั้งสองข้างและน้ำหนักตัวเข้าช่วยในการดึงสายเบ็ดให้เข้ามา แต่กลับไม่สามารถฉุดปลาให้เขยื้อนเข้ามาใกล้ได้แม้เพียงหนึ่งนิ้ว แถมเรือยังถูกปลาลากไปอีกด้วย

ปลาว่ายต่อไปด้วยความเร็วสม่ำเสมอ ทั้งคนทั้งปลาเคลื่อนที่ไปอย่างช้า ๆ ในท้องทะเลอันราบเรียบ ชายชราพูดคนเดียวว่า

“ได้เด็กมาช่วยก็วิเศษน่ะซี เรากำลังถูกปลาลากเสียแล้ว ไม่ใช่ลากปลา ต้องถูลู่ถูกังกันไปอย่างนี้แหละ แต่เรายังไม่รู้เลยว่าต้องทำยังไง ถ้าเกิดมันดำลงไปหรือมันว่ายจนหมดแรง แต่ยังไงก็ต้องหาวิธีให้ได้ เราจะไม่ยอมจนแต้มเด็ดขาด”

ชายชราเอาสายเบ็ดพาดหลังไว้และใช้สองมือกำไว้แน่น เแกคิดว่าอีกหน่อยปลาคงหมดแรง มันสู้ไปได้อีกไม่กี่น้ำหรอก แต่ผ่านมา 4 ชั่วโมงแล้ว ปลาก็ยังว่ายต่ออย่างไม่ลดละ ชายชราพูดขึ้นมาว่า “ติดเบ็ดตั้งแต่เที่ยง จนถึงตอนนี้ยังไม่เห็นตัวมันเลย”

ชายชราคิดว่าเขาจะอาศัยแสงพระอาทิตย์ตกดินนำทางกลับฮาวานา ซึ่งก็อีกตั้ง 2 ชั่วโมงกว่าพระอาทิตย์จะตกดิน ซึ่งปลาอาจจะขึ้นมาก่อนหน้านั้นก็ได้ แต่หากตอนนั้นยังไม่ขึ้น มันก็อาจจะขึ้นตอนพระจันทร์ขึ้น ถ้าตลอดคืนมันไม่ขึ้นเลย ถึงยังไงมันก็ต้องขึ้นมาในตอนเช้า ชายชราคิดว่ากำลังของตัวเองยังคงมีอยู่ แต่เจ้าปลาน่ะจะทนไหวแค่ไหน


ตอนที่ 2 – ชายชรากับปลามาร์ลิน

เวลาผ่านมาจนตกกลางคืน ปลาก็ยังลากเรืออยู่อย่างนั้น ชายชราเริ่มสงสารมันขึ้นมา แกไม่เคยเห็นปลาที่มีกำลังมหาศาลขนาดนี้มาก่อนเลย แถมมันยังฉลาดเกินกว่าจะตกใจกระโดดโครมคราม แสดงว่าปลาตัวนี้คงเคยติดเบ็ดมาแล้ว มันรู้ว่าต้องสู้ไปแบบนี้ถึงจะรอดได้ สู้แบบทรหดและเยือกเย็น ไม่มีตื่นเลย

ชายชราตัดสินใจว่าจะตัดสายจากเบ็ดตัวอื่นมาต่อสายเบ็ดที่แกกำลังต่อสู้อยู่ ระหว่างที่แกขยับตัวจะไปตัดสายเบ็ด ปลาก็กระชากอย่างแรง จนแกหน้าคะมำไปโขกกับเรือ ใต้ขอบตาของแกแตกเป็นแผลเล็กน้อย เลือดไหลลงไปที่แก้ม

ชายชรานึกแปลกใจว่าเมื่อกี้ปลามันกระโจนพรวดพราดทำไม แต่ถึงมันจะตัวใหญ่โตสักแค่ไหนก็คงลากเรือไปได้อีกไม่นานหรอก แกตัดสายเบ็ดอันอื่นมาต่อเพิ่มความยาวสายเบ็ดอันนี้ และขยับสายเบ็ดที่พาดไหล่ให้ไปอยู่ที่ใหม่ เพราะรู้สึกเจ็บบ่าขึ้นมาแล้ว

ชายชราพูดคนเดียวว่า “เจ้าปลาเอ๋ย ข้ายอมตายติดไปกับเจ้าแบบนี้แหละ รอให้สว่างเสียก่อนแล้วเราจะได้เห็นดำเห็นแดงกัน”

อากาศช่วงก่อนรุ่งเช้าแบบนี้หนาวจัด ชายชราจึงเอาตัวไปซุกกับซอกตรงหัวเรือเพื่อความอบอุ่น เมื่อพระอาทิตย์เริ่มโผล่ขึ้นมาแล้ว สายเบ็ดก็ยังคงตึงเปรี๊ยะ เรือยังคงถูกปลาลากไปเรื่อย ๆ เหมือนเดิม แต่พอพระอาทิตย์เริ่มสูงขึ้น ชายชราก็เห็นแล้วว่าปลาไม่มีทีท่าว่าจะเหนื่อยเลย

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้แกใจชื้นขึ้น นั่นคือสายเบ็ดเริ่มเฉเป็นมุมแคบกับพื้นน้ำ ไม่ปักเกือบตรงดิ่งเหมือนเดิม นั่นหมายความว่าปลาเริ่มขึ้นมาอยู่ในระดับตื้นขึ้น ชายชราภาวนาให้ปลากระโดดขึ้นมาเหนือน้ำ แกจะได้จัดการมันสักที

ทันใดนั้นปลาก็กระชากไปข้างหน้าอย่างแรง ดึงชายชราคะมำไปที่หัวเรือ ถ้าแกไม่ขืนตัวไว้และผ่อนสายเบ็ด มีหวังปลาได้ลากแกตกทะเลลงไปแน่ ชายชราคิดว่าปลาคงรู้สึกเจ็บตรงจุดที่ตะขอเกี่ยวด้านในปากของมัน แกเลยลองดึงสายเบ็ดดูว่าจะทำให้ปลาว่ายขึ้นมาได้ไหม แต่พอสายเบ็ดตึงแกก็หยุดดึง เพราะกลัวว่ามันจะขาด

มือซ้ายของชายชราเริ่มเป็นตะคริว แกเกลียดการเป็นตะคริว เพราะคิดว่ามันคือการที่ร่างกายกำลังทรยศตัวเอง แกนึกถึงมาโนลิน ถ้าตอนนี้เด็กหนุ่มอยู่บนเรือด้วย เขาคงจะช่วยนวดมือให้แกได้ แล้วทันใดนั้นแกก็รู้สึกว่าแรงดึงจากสายเบ็ดเปลี่ยนแปลงไป มุมที่สายเบ็ดทำกับน้ำก็แคบเข้าด้วย

“มันกำลังจะโผล่” ชายชราอุทาน “ขึ้นมาเถอะเจ้าปลา ขึ้นมาเสียทีเถอะ”

สายเบ็ดที่จมอยู่ในน้ำค่อย ๆ โผล่มาทีละน้อย พื้นน้ำที่หัวเรือก็นูนขึ้น จนในที่สุดปลาก็โผล่ขึ้นมาพ้นน้ำ ตัวปลาเป็นมันเลื่อมในแสงแดดแรงกล้า เห็นลายสีม่วงอ่อนเป็นแถบโตพาดลำตัวทั้งสองข้าง ปากมันยาวเท่าไม้ตีลูกเบสบอลและเรียวแหลมเหมือนดาบ เมื่อมันโผล่พ้นนำ้ขึ้นมาสุดตัว มันก็ดำลงไปอีกอย่างคล่องแคล่วเหมือนนักกระโดดน้ำ คราวนี้ชายชราเห็นหางอันใหญ่ของมันที่มีลักษณะเหมือนเคียว

ปลาตัวนี้คือปลามาร์ลิน หรือปลากระโทงสีน้ำเงิน ปลาตัวนี้ลำตัวยาวกว่าเรือของชายชราตั้ง 2 ฟุต สายเบ็ดเริ่มวิ่งปรูดออกไปอีก แต่เป็นไปอย่างสม่ำเสมอ แสดงว่าปลาไม่ได้ตื่นตกใจ ชายชราพยายามใช้สองมือดึง เพราะถ้าแกไม่สามารถบังคับให้ปลาช้าลงได้ มันจะลากสายเบ็ดไปจนสุดและหลุดมือไปได้

ในชีวิตของชายชราเคยเห็นปลาตัวใหญ่มานักต่อนักแล้ว เคยเห็นปลาที่หนักกว่าพันปอนด์และเคยจับปลาตัวขนาดนั้นมาได้ถึง 2 ตัวแล้ว แต่ไม่ได้จับคนเดียว มีคนอื่นช่วยจับด้วย แต่ปลาตัวนี้ใหญ่กว่าที่เคยเห็นมาเสียอีก และตอนนี้แกก็อยู่ตัวคนเดียวลำพัง แถมมือข้างซ้ายยังเป็นตะคริวอีก

ตอนนี้ปลากลับมาว่ายช้าอย่างเก่าแล้ว ชายชราสงสัยว่าเมื่อกี้มันกระโดดขึ้นมาทำไม หรือมันอยากแสดงให้เห็นว่าตัวมันขนาดใหญ่แค่ไหน แต่ชายชราขอให้มันไม่รู้ว่าคู่ต่อสู้ของมันคนนี้อ่อนแอแค่ไหน

พอตกเที่ยงมือซ้ายของชายชราก็หายเป็นตะคริวและปลายังไม่หยุดว่าย ชายชราเริ่มสวดอธิฐานต่อพระแม่มารี ขอให้ทรงบันดาลให้ปลาตัวนี้สิ้นชีพด้วยเถิด เมื่อสวดวิงวอนจบ จิตใจของแกก็แจ่มใสขึ้น แต่ยังมีความร้อนรนอยู่

เวลาตกบ่ายเข้าแล้ว เรือยังคงเคลื่อนไปในน้ำด้วยความเร็วสม่ำเสมอ ชายชราพูดกับตัวเองว่า “ถ้าเจ้ายังไม่เหนื่อย เจ้าก็คงเป็นปลาประหลาด” ส่วนชายชราตอนนี้นั้นรู้สึกเหนื่อยมาก และอีกไม่ช้าก็จะค่ำแล้ว จะเข้าสู่คืนที่สองของการต่อสู้กับปลาตัวนี้แล้ว และแกยังไม่ได้นอนเลยสักงีบ

ชายชราบอกตัวเองว่าต้องนอนเอาแรงบ้าง แต่แกต้องขืนตัวสู้กับปลา ถ้าเอาสายเบ็ดผูกติดเข้ากับอะไรสักอย่างให้แน่นก็จะช่วยเบาแรงได้มาก แต่หากทำอย่างนั้นแล้วปลากระโจนพรวดเดียวสายเบ็ดก็จะขาด แกต้องเอาร่างกายตัวเองรับแรงดึงและคอยผ่อนสายเบ็ดอยู่เสมอ

ชายชราเอามือขวากำสายเบ็ดไว้แน่นและเอามือซ้ายทับไว้ แกหลับไปในท่านั้น จากนั้นก็เริ่มฝัน ตอนนั้นพระจันทร์ขึ้นนานแล้ว และแกก็ต้องตกใจตื่นเมื่อสายเบ็ดครูดกับมือขวาของแกอย่างรวดเร็วจนรู้สึกร้อนเหมือนกำลังจับไฟ ปลากระโจนขึ้นมาแล้วก็ตกลงมาตูมใหญ่ มันกระโดดขึ้นมาอีกหลายครั้งติดต่อกัน ชายชราก็ดึงเชือกจนตึงแทบขาดไม่ขาดแหล่

ชายชราพูดคนเดียวว่า “เอาซี กระโดดขึ้นมาตั้งหลายครั้ง เดี๋ยวลมก็เข้าไปในถุงลมจนเต็ม แล้วจมลงไปลึกอีกไม่ได้แล้ว อีกเดี๋ยวเจ้าก็ต้องว่ายวน พอวนมาอยู่ใกล้มือ ข้าก็จัดการได้เลย”

ปลาว่ายวนอยู่ใกล้ผิวน้ำอย่างที่ชายชราว่าจริง ๆ แกค่อย ๆ สาวสายเบ็ดลากปลาเข้ามาใกล้เรือซึ่งใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมง ชายชราเหงื่อโชกตามตัวและเหนื่อยสายตัวแทบขาด แถมเหงื่อก็ไหลเข้าตา รู้สึกเวียนหัวจนเกือบจะเป็นลมไปถึงสองหน

“เราจะยอมเสียชื่อตายคาปลาตัวนี้ไม่ได้” ชายชรากล่าวหนักแน่น “มันกำลังจะแพ้อยู่แล้ว พระเจ้าช่วยลูกด้วยเถิด ลูกจะสวดสรรเสริญพระเจ้าและพระแม่มารี 100 จบเลย แต่สวดเวลานี้ไม่ได้แน่”


ตอนที่ 3 – ชัยชนะและความพ่ายแพ้

พระอาทิตย์เริ่มขึ้นเป็นครั้งที่สามตั้งแต่ชายชราลงเรือมา ปลาว่ายวนไปเรื่อย ๆ ขณะที่ชายชราก็สาวสายเบ็ดให้มันเข้ามาใกล้เรือ แกดึงสายเบ็ดสู้กับแรงปลา จนมือถลอกปอกเปิกไปหมด จนในที่สุดปลาก็เข้ามาในระยะที่ปากยาวของมันเกือบชนเข้ากับด้านข้างของเรือ

ชายชราปล่อยมือจากสายเบ็ดแล้วเอาเท้าเหยียบไว้แทน แกเอื้อมไปหยิบฉมวก เงื้อฉมวกขึ้นสูงแล้วปาพุ่งลงไปสุดแรงเกิดที่สีข้างของปลาตรงใต้ครีบ แกรู้สึกว่าฉมวกจมลงไปในเนื้อปลา แกจึงโถมเข้าไปทั้งตัวเพื่อให้ฉมวกจมเข้าไปให้ลึกที่สุด

ทันใดนั้นปลาก็ดิ้นโครมคราม กระโจนขึ้นไปบนอากาศจนสุดตัว ทำให้เห็นความใหญ่โตและลักษณะอันงดงามของมันได้ชัด ไม่นานปลาก็นอนหงายท้องอยู่ที่พื้นน้ำ เห็นท้องสีเงินของมันชัดเจน เห็นน้ำบริเวณรอบตัวมันเป็นสีแดงจนเกือบดำจากเลือดที่ทะลักออกมา

แม้จะจัดการปลาได้แล้ว แต่ก็มีเรื่องให้ต้องทำอีกมาก ปลาตัวนี้ใหญ่เกินกว่าจะเอาขึ้นมาบรรทุกไว้บนเรือ ชายชราจึงต้องผูกมันไว้ข้างเรือ แล้วกางใบเรือแล่นกลับบ้าน ตอนนี้ชายชรารู้สึกสดชื่นมาก ปลาตัวนี้หนักอย่างน้อย 1,500 ปอนด์ ชำแหละไส้พุงออกแล้วอาจจะเหลือน้ำหนัก 2 ใน 3 ซึ่งจะขายได้เงินมาเท่าไหร่ “ต้องมีดินสอถึงจะคิดได้ คิดในใจไม่ได้หรอก” ชายชราพูด

เรือแล่นไปได้เร็วพอสมควร แม้จะมีน้ำหนักถ่วงเอาไว้ ชายชรามองดูปลาและถามตัวเองว่านี่กำลังฝันไปหรือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง แต่เมื่อดูแผลที่มือ แกก็รู้ว่านี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองจริง ๆ ไม่ใช่ความฝัน

เรือแล่นไปได้ 1 ชั่วโมงก็มีฉลามตัวหนึ่งปราดเข้ามา มันได้กลิ่นคาวเลือดและติดตามเรือมา พอชายชราเห็นมันว่ายเข้ามา เขาก็คว้าฉมวก ฉลามว่ายมาที่ท้ายเรือ อ้าปากงับเนื้อปลาตรงเหนือหาง ชายชราพุ่งฉมวกไปที่หัวของฉลามเต็มแรง ตรงจุดที่เป็นสมองของมัน ฉลามพลิกตัวไปมา ฟาดหางไปมา ปากพะงาบ ๆ แล้วก็จมน้ำหายไปพร้อมกับฉมวก

ชายชราคาดคะแนว่าฉลามตัวนั้นกินปลาของแกไปได้สัก 40 ปอนด์ และฉลามตัวนั้นคงไม่ใช่อุปสรรคตัวสุดท้าย หลังจากนี้ต้องมีฉลามอีกหลายตัวตามรอยกลิ่นมากินปลาใหญ่ของแกตัวนี้แน่ แล้วจะทำยังไงดี อาวุธแกก็ไม่มี ฉมวกติดไปกับร่างฉลามตัวนั้นแล้ว แต่มนุษย์ฉลาดกว่าฉลาม นั่นล่ะคืออาวุธที่แกมี

เรือแล่นไปอย่างราบรื่น ลมที่พัดก็ชวนให้สดชื่น ชายชรามองดูแค่เพียงท่อนหัวของปลาก็รู้สึกจิตใจแจ่มใส เปี่ยมไปด้วยความหวัง แกคิดว่าการท้อแท้เป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง แต่ถึงยังไงเมื่อมองไปรอบ ๆ ก็ไม่เห็นเรือเลยสักลำ แกแล่นเรือมาได้ 2 ชั่วโมงแล้ว นับจากที่ฆ่าฉลามตัวนั้นไป ทันใดนั้นแกก็เห็นฉลามอีกตัวว่ายเข้ามาใกล้ และมีอีกตัวตามหลังมา

ชายชราหยิบไม้พายขึ้นมาแล้วเอามีดมัดติดไว้ที่ปลาย สายตาจับอยู่ที่ฉลาม ตัวหนึ่งว่ายลอดครูดท้องเรือ จนทำให้เรือสะเทือน อีกตัวโผล่หัวมามองแกด้วยดวงตาสีเหลือง และพุ่งเข้ากัดปลาใหญ่ตรงแผลเก่าที่ฉลามตัวแรกกัดไว้

ชายชราพุ่งหอกที่ประดิษฐ์ขึ้นเองใส่ดวงตาสีเหลืองเหมือนแมวของฉลาม มันปล่อยจากปลาใหญ่ทันที จากนั้นขย้อนเนื้อปลาที่กัดไปออกมา แล้วร่างไร้ชีวิตของมันก็จมดิ่งสู่ก้นทะเล

พอฉลามมอีกตัวโผล่ออกมาจากใต้ท้องเรือ ชายชราก็พุ่งหอกประดิษฐ์ใส่มัน แต่หนังของมันหนา คมมีดจึงจมเข้าไปได้นิดเดียว มันผลุบลงไปทีหนึ่งแล้วโผล่มากัดปลาใหญ่ ชายชราเอาหอกประดิษฐ์แทงมันตรงกลางกระหม่อม ชักหอกออกแล้วแทงซ้ำที่เดิมอีกครั้ง แต่มันก็ไม่ยอมปล่อยปลาที่งับไว้ แกจึงแทงมันที่ตาซ้าย มันก็ยังไม่ยอมปล่อยปลาอีกเหมือนเดิม

คราวนี้ชายชราแทงลงไปตรงระหว่างกระดูกสันหลังและสมอง แกรู้สึกว่ากระดูกอ่อนตรงนั้นถูกตัดขาดสะบั้น แล้วมันก็จมลงสู่ทะเล ชายชราพิจารณาดูปลาใหญ่ของแก ฉลามพวกนั้นกัดเนื้อปลาไปได้ 1 ใน 4 แถมกัดส่วนที่ดีที่สุดไปด้วย ต่อจากนี้แกไม่อยากมองปลาเลย เลือดมันไหลออกจนหมด ปลาใหญ่ในตอนนี้สีดูซีดเหมือนกับปรอท

เพราะปลาใหญ่ถูกกัดเป็นแผล จึงปล่อยกลิ่นคาวฟุ้งตลบ ซึ่งทำให้บรรดาฉลามไม่ว่าอยู่ใกล้หรืออยู่ไกลได้กลิ่นกันทั่ว ฉลามตัวต่อมาเป็นฉลามหัวแบนที่ว่ายมาตัวเดียว ชายชรารอให้มันกัดปลาก่อน แล้วค่อยพุ่งหอกประดิษฐ์ไปตรงจุดที่เป็นสมองของมัน คราวนี้ใบมีดหัก และฉลามหัวแบนตัวนั้นก็จมลงสู่ทะเล

ชายชราหยิบกระบองขึ้นมาเป็นอาวุธชิ้นต่อไป กระบองนี้ยาวประมาณ 2 ฟุตครึ่ง แกเลื่อยเอาไว้นานแล้วจากไม้พายอันเก่าที่หัก แกคิดว่าตอนนี้ตัวเองแก่เกินกว่าจะฆ่าฉลามด้วยกระบองได้ แต่ถึงยังไงก็ต้องพยายามสู้ให้ถึงที่สุด

คราวนี้ฉลามมาด้วยกันสองตัว แกปล่อยให้ตัวแรกกัดปลาใหญ่ให้จมเขี้ยว แล้วจัดการเอากระบองตีตรงปลายจมูกของมัน แกตีซ้ำ ๆ จนมันผละออกจากปลาใหญ่ แล้วจึงหันไปตีอีกตัว แกเงื้อกระบองสุดแขน แล้วกระหน่ำลงไปเต็มแรง คราวนี้ถูกกระดูกที่ฐานสมองของมันอย่างจัง มันผละออกแล้วจมหายไป ส่วนอีกตัวหนีหายไปไหนไม่รู้

ชายชราไม่อยากมองดูปลาใหญ่อีกต่อไป แกรู้ว่ามันถูกกัดจนยับเยิบไปครึ่งตัวแล้ว ตอนนั้นพระอาทิตย์ตกแล้ว แกคิดว่าคงเข้ามาใกล้ฝั่งแล้ว อีกหน่อยคงเห็นแสงไฟจากเมืองฮาวานา แกหวังว่าจะไม่มีใครเป็นห่วงแก ที่แน่ ๆ ล่ะมีคนหนึ่งคือมาโนลิน แต่แกแน่ใจว่าเด็กหนุ่มเชื่อมั่นในตัวแกว่าจะต้องไม่เป็นอะไร อาจจะมีเพื่อนชาวประมงรุ่นเก่า ๆ หลายคน หรือเพื่อนบ้านบ้างคนนึกเป็นห่วงแกอยู่บ้าง

ตอนนี้ชายชราอยู่บนเรือท่ามกลางความมืดมิด พร้อมกับปลาใหญ่ที่ผูกติดไว้กับเรือซึ่งเหลือเพียงแค่ครึ่งตัว แกรู้สึกเพลียเอามาก ๆ จึงเอนหลังพิงท้ายเรือ พอราว ๆ สี่ทุ่มแกเริ่มเห็นแสงเรือง ๆ จากในเมืองจับท้องฟ้า

พอราวเที่ยงคืนฉลามมากันฝูงใหญ่ แกเอาไม้ตีฉลามหลายที ตีจนไม้แตกเป็นง่ามแกก็เปลี่ยนเป็นเอาไม้ใช้แทง แกสู้ฉลามฝูงใหญ่ทั้งฝูง จนฉลามตัวสุดท้ายว่ายหนีไปเพราะไม่เหลือเนื้อปลาให้กินแล้ว

สายลมพัดใบเรือพาชายชราแล่นกลับเข้าอ่าว ตอนนี้ในเมืองดับไฟหมดแล้ว ทุกคนเข้านอนกันหมด แกปล่อยให้เรือไถลขึ้นมาจอดบนชายหาด เก็บเสาและใบเรือเดินกลับบ้าน แกเพิ่งรู้ว่าตัวเองเหนื่อยมากแค่ไหนก็ตอนที่ขึ้นมาบนฝั่ง แกหยุดพักครู่หนึ่งแล้วหันไปมองที่เรือตัวเอง เห็นหัวปลาและหางปลาขนาดใหญ่มหึมาอยู่ตรงท้ายเรือ ระหว่างหัวและหางมีเพียงกระดูกสันหลังสีขาว ไม่มีเนื้อปลาติดอยู่เลย

ชายชราเดินเข้าไปในกระท่อม วางเสาและใบเรือพิงข้างฝา จากนั้นยกขวดน้ำขึ้นมาดื่มน้ำอึกใหญ่ แล้วจึงเอนตัวนอนบนเตียง คืนนั้นแกหลับสนิท พอตอนเช้ามาโนลินมาหาแกที่กระท่อม แกยังไม่ตื่น เช้าวันนั้นลมพัดจัดจนชาวประมงไม่ออกเรือ

ตอนที่มาโนลินเห็นฝ่ามือของชายชราที่เป็นแผลเหวอะหวะ เขาร้องไห้ออกมาเพราะสงสารชายชรา จากนั้นออกมาจากกระท่อมเพื่อไปหากาแฟมาไว้ให้ชายชราได้ดื่ม หากแกตื่นขึ้นแล้ว

บรรดาชาวประมงพากันไปล้อมดูซากปลาที่เรือของชายชรา ทุกคนต่างพิศวงงงงวยกับขนาดความยาวและความใหญ่ของปลา ชาวประมงคนหนึ่งตะโกนถามมาโนลินที่เดินผ่านมาว่าชายชราเป็นยังไงบ้าง เด็กหนุ่มตอบไปว่าแกยังหลับอยู่

มาโนลินมาที่ร้านเทอร์เรซ สั่งกาแฟร้อน ๆ ใส่นมและน้ำตาลเยอะ ๆ และเอากลับไปที่กระท่อม เขาอยู่นั่งเฝ้าจนชายชราตื่น ระหว่างนั้นได้อุ่นกาแฟไปแล้วหนึ่งครั้ง ชายชรารับกาแฟขึ้นมาดื่ม แล้วพูดกับเด็กหนุ่มว่า

“มันเอาชนะข้าได้ มาโนลินเอ๋ย มันปราบข้าแพ้ราบคาบ”

“ลุงแพ้อะไร ไม่ใช่ปลาตัวนั้นแน่ล่ะ”

“ถูกแล้ว ไม่ใช่ปลาตัวนั้นหรอก เจ้าจับอะไรได้บ้างล่ะ?”

“วันแรกได้หนึ่งตัว วันที่สองได้หนึ่งตัว วันที่สามได้สองตัว คราวนี้เราก็จะออกเรือไปด้วยกันได้ละลุง”

“อย่าเลย ข้ามันโชคไม่ดี ไม่เหมือนเมื่อก่อนซะแล้ว”

“โชคเชิคอะไรกัน ฉันนี่แหละจะเอาโชคมาให้ลุง ลุงต้องหายไว ๆ นะ มีอีกหลายอย่างที่ฉันต้องเรียนรู้ และมีลุงแค่คนเดียวที่สอนฉันได้ แล้วลุงเจ็บมากไหม?”

“มากทีเดียวล่ะ”

“ฉันจะไปหาของกินกับหนังสือพิมพ์ช่วงที่ลุงไม่อยู่มาให้ ลุงพักผ่อนให้หายเหนื่อยเถอะ แล้วฉันจะหายาใส่มือมาให้ด้วย”

ระหว่างที่เด็กหนุ่มเดินออกไปจากกระท่อม เขาร้องไห้ไปตลอดทาง ภายในกระท่อม ชายชรานอนหลับต่อ โดยมีเด็กหนุ่มกลับมานั่งเฝ้าอยู่ข้าง ๆ


จบแล้วครับกับเรื่องราวในเฒ่าผจญทะเล เรื่องนี้เป็นนิยายขนาดสั้น เนื้อหาเลยมีไม่มากนัก แม้เฮมิงเวย์เคยบอกไว้ว่าเขาเขียนเรื่องนี้โดยไม่ได้ต้องการจะสื่อถึงแง่คิดปรัชญาอะไร แต่หลายคนที่ได้อ่านก็ตีความได้ถึงจิตใจของการเป็นนักสู้ การต่อสู้เพื่อความภาคภูมิใจในตนเอง ซึ่งบางครั้งแม้จะได้รับชัยชนะ แต่มันอาจนำความรู้สึกว่างเปล่ามาให้เราได้

เฒ่าผจญทะเลเป็นผลงานที่ทำให้เฮมิงเวย์ได้รับรางวัลต่าง ๆ มากมาย เรื่องนี้ตีพิมพ์เมื่อปี 1952 พอปี 1953 เฮมิงเวย์ก็ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ซึ่งเป็นรางวัลเกียรติยศระดับสูงสุดในวงการสิ่งพิมพ์และวรรณกรรม และปีต่อมาเฮมิงเวย์ก็ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ใครสนใจอยากอ่านนิยายเรื่องนี้เพิ่มเติม สามารถหาซื้อได้ตามร้านหนังสือครับ มีแปลหลายสำนวนเลย หาซื้อไม่ยากครับ

สนใจหนังสือ เฒ่าผจญทะเล The Old Man and the Sea
สามารถสั่งซื้อได้ที่ Shopee: https://s.shopee.co.th/1VknDs0nZg
ซื้อผ่านลิงค์เป็นการสนับสนุนช่องครับ

Share

Leave a comment

Leave a Reply

What's New

สรุปเนื้อหาและแนะนำหนังสือที่น่าสนใจ ชวนเพื่อน ๆ มาพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้นในทุก ๆ วันไปด้วยกันครับ

Copyright 2025 Aitim and Co. All rights reserved

error: Content is protected !!