ไอติมบุ๊คคลับ ep นี้จะมาเล่าเรื่องราวจากวรรณกรรมเยาวชนระดับโลกเรื่องเจ้าชายน้อย หรือ The Little Prince เขียนโดยอ็องตวน เดอ แซงเต็กซูเปรี นักบินและนักเขียนชาวฝรั่งเศส ตีพิมพ์ครั้งแรกปี 1943 ปัจจุบันหนังสือเล่มนี้ได้รับความนิยมไปทั่วโลก และถูกแปลไปแล้วกว่า 255 ภาษา
ถึงแม้เจ้าชายน้อยจะถูกจัดหมวดหมู่เป็นวรรณกรรมเยาวชน แต่เนื้อหาในเล่มกลับตั้งคำถามถึงโลกของผู้ใหญ่ได้อย่างลึกซึ้ง แฝงปรัชญาชีวิต ความเหงา ความรัก และความตาย มีการใช้สัญลักษณ์อย่างดอกกุหลาบ, จิ้งจอก และแกะในกล่อง ซึ่งผู้อ่านสามารถตีความไปได้หลากหลายครับ
นอกจากจะเป็นหนังสือติดอันดับขายดีที่สุดตลอดกาลแล้ว เจ้าชายน้อยยังถูกดัดแปลงไปเป็นละครเวที, แอนิเมชัน และภาพยนตร์อีกด้วยครับ เรื่องราวของเจ้าชายน้อยจะเป็นยังไง ไปฟังกันได้เลยครับ
ตอนที่ 1 – พบกับเจ้าชายน้อย
เรื่องราวในหนังสือเล่าผ่านมุมมองของชายที่ทำอาชีพนักบิน เขาเล่าว่าเมื่อ 6 ปีที่แล้วเครื่องบินของเขาตกลงกลางทะเลทรายซาฮารา เขาบินมาคนเดียว ไม่มีช่างซ่อมมาด้วย และไม่มีผู้โดยสาร เขาต้องซ่อมเครื่องบินด้วยตัวเองอย่างยากลำบาก และมีน้ำสำหรับดื่มได้อีกเพียง 8 วันเท่านั้น
คืนแรกเขานอนหลับบนพื้นทราย ห่างไกลผู้คนนับล้าน ๆ ไมล์ พอถึงรุ่งสางเขาก็ตกใจที่มีเสียงเล็ก ๆ ปลุกให้เขาตื่น เสียงนั้นบอกกับเขาว่า “กรุณาช่วยวาดแกะให้ผมตัวหนึ่งสิ” นักบินรีบลุกขึ้นยืน ยกมือขึ้นมาขยี้ตามองก็พบว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาดไป เขาเห็นเด็กตัวเล็กคนหนึ่งยืนมองเขาด้วยท่าทางเคร่งขรึม นักบินมองเด็กคนนั้นอย่างประหลาดใจ เพราะตอนนี้พวกเขาอยู่กลางทะเลทราย ห่างไกลดินแดนที่มีผู้คนอาศัยอยู่ แต่เด็กน้อยไม่มีท่าทางเหนื่อยอ่อน หิวโหย กระหายน้ำ หรือหวาดกลัวแต่อย่างใด

พอนักบินรวบรวมสติได้ เขาก็พูดกับเด็กน้อยว่า “แล้วเธอมาทำอะไรอยู่ที่นี่ล่ะ?” เด็กน้อยพูดซ้ําอีกอย่างอ่อนโยนเหมือนเป็นเรื่องสําคัญว่า “กรุณาวาดแกะให้ผมตัวหนึ่งเถอะ”
แม้นักบินจะรู้สึกว่าสถานการณ์ที่เขากำลังเจออยู่นี้ประหลาดมาก แต่เขาก็ดึงกระดาษและดินสอออกมา เนื่องจากเขาเคยเรียนแต่วิชาภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ คณิตศาสตร์และไวยกรณ์เท่านั้น ไม่เคยวาดแกะเลย แต่เด็กน้อยก็บอกว่าไม่เป็นไร ดังนั้นนักบินจึงวาดภาพแกะให้เขา เด็กน้อยมองภาพอย่างสนใจและวิจารณ์ว่า

“ไม่ใช่ แกะตัวนี้ดูไม่สบายเอามาก ๆ วาดใหม่อีกตัวสิ”
นักบินวาดแกะใหม่อีกตัว พอเด็กน้อยเห็นก็หัวเราะเบา ๆ และพูดอย่างอ่อนน้อมว่า “คุณคงจะเห็นนะว่ามันไม่ใช่แกะ แต่เป็นแพะ เพราะว่ามันมีเขา” นักบินวาดใหม่อีกครั้ง แต่เด็กน้อยก็ปฏิเสธอีกเช่นเคย และบอกว่าแกะตัวนี้แก่เกินไป เขาอยากได้แกะที่จะยังมีชีวิตอยู่ได้อีกนาน


ถึงตอนนี้นักบินหมดความอดทนแล้ว เขามีเครื่องยนต์ที่รอให้ต้องไปซ่อม ดังนั้นจึงวาดแบบเขี่ย ๆ แล้วยื่นภาพให้เด็กน้อยพร้อมกับบอกเขาว่า “เอ้า นี่คือกรง แกะที่เธอต้องการอยู่ในกรงนี้” แต่ปฏิกิริยาของเด็กน้อยทำให้นักบินต้องแปลกใจ เพราะเขามีใบหน้าสดใสขึ้นมาทันที และพูดว่า “เหมาะทีเดียว นี่แหละที่ผมอยากได้ คุณคิดว่าแกะตัวนี้กินหญ้าจุไหม?”

นักบินถามว่า “ทำไมล่ะ?”
“เพราะบ้านของผมมันแคบนะสิ”
“คงพออยู่หรอก ฉันให้แกะเธอตัวเล็กนิดเดียว”
เด็กน้อยยื่นหน้าเข้าไปใกล้รูป แล้วพูดว่า “คงไม่เล็กเกินไปนะ โอ… มันกำลังหลับอยู่”
หลังจากนั้นนักบินก็กลับไปซ่อมเครื่องบิน เด็กน้อยมีท่าทีสนใจว่านักบินกำลังทำอะไรอยู่จึงชวนคุยโน่นคุยนี่ แต่นักบินไม่มีสมาธิจะคุยด้วยเท่าไหร่ ถึงอย่างนั้นก็พอจับใจความได้ว่าเด็กน้อยมาจากดาว B-612 ดวงดาวที่ใหญ่กว่าตัวเขาแค่นิดเดียว นักบินเรียกเด็กน้อยคนนี้ว่าเจ้าชายน้อย
เจ้าชายน้อยถามนักบินว่าแกะที่นักบินวาดให้เขากินต้นไทรได้หรือเปล่า นักบินตอบไปว่าต้นไทรมันใหญ่ ต่อให้เกณฑ์ช้างมาทั้งโขลงก็กินต้นไม้ชนิดนี้ไม่หมด เจ้าชายน้อยเถียงต่อไปว่า ก่อนที่ต้นไทรมันจะใหญ่โตได้ถึงขนาดนั้น มันก็ต้องเคยเป็นต้นอ่อนต้นเล็ก ๆ มาก่อน นักบินก็เห็นด้วยกับความคิดนั้น และถามต่อไปว่าทำไมเจ้าชายน้อยถึงอยากให้แกะของเขากินต้นไทร

เจ้าชายน้อยเล่าว่าบนดาว B-612 ของเขามีลักษณะคล้ายกับดาวดวงอื่น คือมีทั้งหญ้าที่ดีและหญ้าที่เลว เมล็ดพันธุ์ที่ดีจะให้หญ้าที่ดี ส่วนเมล็ดพันธุ์ที่ไม่ดีจะให้หญ้าที่เลว แต่ว่าเมล็ดพันธุ์เหล่านี้อยู่ใต้ดินซึ่งเรามองไม่เห็น มันนอนหลับอย่างเงียบเชียบอยู่ใต้ดิน รอวันที่มันอยากตื่นแล้วค่อย ๆ เหยียดกิ่งก้านทะลุดินขึ้นมา
ถ้ามันเป็นต้นหัวไชเท้าหรือต้นกุหลาบ เราก็คงปล่อยให้มันขึ้นได้ตามใจชอบ แต่ถ้าเป็นต้นไม้เลว ๆ เราก็ต้องรีบถอนทิ้ง บนดาว B-612 ถูกรุนรานด้วยต้นไทร เจ้าชายน้อยต้องรีบถอนมันออกทันทีที่เห็น ไม่อย่างนั้นมันจะขึ้นรกรุงรังเต็มดาวดวงเล็กของเขา รากของมันจะชอนไชลงไปในดิน ถ้ามีต้นไทรจำนวนมากมันก็จะระเบิดดวงดาวได้
เจ้าชายน้อยเล่าว่าเมื่อเขาแต่งตัวเสร็จในตอนเช้า เขาต้องดูแลความสะอาดของดวงดาว เขาต้องกำจัดต้นไทรอย่างสม่ำเสมอ มันเป็นงานที่น่าเบื่อ แต่ก็เป็นงานที่ง่ายมาก สำหรับบางเรื่องการผัดวันประกันพรุ่งอาจไม่ได้สร้างความเสียหายอะไร แต่ถ้าเป็นเรื่องต้นไทรล่ะก็ปล่อยเอาไว้ไม่ได้

ในวันที่สี่ของการพบกัน นักบินได้รู้ว่าชีวิตที่แสนเศร้าของเจ้าชายน้อยมีเพียงการนั่งดูพระอาทิตย์ตกดินเท่านั้นที่เป็นสิ่งเพลิดเพลินใจ วันนั้นเจ้าชายน้อยเอ่ยปากชวนนักบินไปดูพระอาทิตย์ตก นักบินรับปาก แต่บอกว่าต้องรอหน่อยนะ เจ้าชายน้อยรู้ตัวเดี๋ยวนั้นเองว่าพระอาทิตย์บนดาวโลกไม่เหมือนบนดาวของเขา
ถ้าที่สหรัฐเป็นเวลาเที่ยงวัน ที่ฝรั่งเศสก็จะเป็นเวลาพระอาทิตย์ตก ถ้าเราสามารถเดินทางไปฝรั่งเศสได้ภายใน 1 นาที เราก็จะไปดูพระอาทิตย์ตกได้ น่าเสียดายที่ฝรั่งเศสอยู่ไกลเกินไป แต่บนดาว B-612 ดาวดวงเล็กของเจ้าชายน้อย เพียงแค่เลื่อนเก้าอี้ไปสัก 2-3 ก้าว เราก็จะได้เห็นพระอาทิตย์ตกอีกครั้ง ในหนึ่งวันเจ้าชายน้อยสามารถชมพระอาทิตย์ตกได้ 44 ครั้ง เจ้าชายน้อยบอกนักบินว่า “คุณรู้ไหม ในยามที่เศร้า คนเราชอบดูพระอาทิตย์ตก” นักบินพูดกลับไปว่า “เธอดูพระอาทิตย์ตกดินตั้งวันละ 44 ครั้ง เธอคงเศร้ามากสินะ” เจ้าชายน้อยได้ยิน แต่ไม่ตอบอะไร

ตอนที่ 2 – การเดินทางของเจ้าชายน้อย
ที่ดาว B-612 มีต้นกุหลาบแสนสวยที่เอาแต่ใจ ซึ่งเจ้าชายน้อยดูแลมันเป็นอย่างดี ทั้งคอยรดน้ำให้ หาฉากมาเป็นที่กั้นลมให้ แต่ถึงยังไงกุหลาบต้นนั้นก็ยังพูดจาเหน็บแนม จนเจ้าชายน้อยรู้สึกเป็นทุกข์ เจ้าชายน้อยจึงบอกกับตัวเองว่า “ฉันต้องไม่ฟังเรื่องที่ดอกไม้บ่น ฉันควรสนใจแค่เชยชมมันและดมมันเท่านั้น ดอกไม้ทำให้โลกของฉันหอมหวล แต่ฉันไม่รู้สึกปลาบปลื้มเลย”


ดังนั้นเจ้าชายน้อยจึงตัดสินใจหนีออกมาจากต้นกุหลาบ โดยฉวยโอกาสที่นกป่าอพยพย้ายถิ่นที่อยู่หนีมาด้วย ระหว่างทางเจ้าชายน้อยแวะท่องเที่ยวไปตามดวงดาวต่าง ๆ เพื่อหาสิ่งที่น่าสนใจ ดาวดวงแรกที่เขาแวะเป็นดาวที่ประทับของพระราชา เมื่อพระราชาเห็นเจ้าชายน้อยก็พูดขึ้นว่า “แน่ะ ข้าราชบริพารมาคนหนึ่งแล้ว เข้ามาใกล้ ๆ ให้ฉันมองดูเจ้าชัด ๆ หน่อยซิ”

เจ้าชายน้อยยืนหาวด้วยความเหนื่อยล้า พระราชาก็พูดขึ้นว่า “เจ้าต้องไม่หาวต่อหน้ากษัตริย์ มันเป็นการผิดมารยาท ฉันขอสั่งห้าม” เจ้าชายน้อยตอบกลับไปว่า “ก็ผมกลั้นไม่ได้นี่ ผมเดินทางมานานและไม่ได้นอนเลย”
พระราชาพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันอนุญาตให้เจ้าหาวได้ ฉันไม่เห็นคนหาวมานานแล้ว การหาวนับว่าเป็นของแปลกสำหรับฉัน เอ้า หาวเร็วเข้าสิ นี่เป็นคำสั่งนะ” เจ้าชายน้อยหน้าแดงและตอบไปว่า “ท่านทำให้ผมอาย ผมหาวไม่ออกแล้ว”
พระราชารู้สึกเคือง เพราะพระราชายึดถือเรื่องที่คนอื่นต้องเคารพ เชื่อฟัง และปฏิบัติตามคำสั่ง เจ้าชายน้อยมองไปรอบ ๆ เห็นว่าดาวดวงนี้เล็กมาก เขาสงสัยว่าพระราชาได้ปกครองอะไรบ้าง จึงถามไปว่า “ผมขอถามหน่อยได้ไหม พระองค์ปกครองอะไรบ้าง” พระราชาตอบว่าปกครองทุกสิ่ง พร้อมกับโบกมือไปรอบ ๆ ดาวเล็ก ๆ ของพระองค์และดาวอื่นรอบ ๆ
ในเมื่อพระราชาปกครองทุกสิ่ง เจ้าชายน้อยจึงขอให้พระราชาสั่งให้พระอาทิตย์ตกดิน แต่พระราชาตอบมาว่า “ถ้าฉันสั่งให้นายพลคนหนึ่งบินเหมือนผีเสื้อ แล้วนายพลคนนั้นทำไม่ได้ ใครเล่าที่เป็นคนผิด แน่นอนว่าคนสั่งย่อมเป็นฝ่ายผิด เราต้องไม่ขอให้ใครทำอะไรที่เกินกำลังของเขา อำนาจต้องอยู่ในพื้นฐานของเหตุและผล เรื่องพระอาทิตย์ตกเจ้าจะได้เห็น แต่ต้องรอก่อน มันเป็นเทคนิคของการปกครอง ฉันต้องรอให้สถานการณ์เอื้ออำนวยเสียก่อน”
เจ้าชายน้อยหาว เขารู้สึกเบื่อที่นี่แล้ว จึงบอกกับพระราชาว่า “ผมไม่มีอะไรจะทำที่นี่แล้ว ผมจะไปละนะ” แต่พระราชาที่เพิ่งจะมีข้าราชบริพารกับเขาก็รั้งเจ้าชายน้อยไว้ “อย่าเพิ่งไปเลย ฉันจะแต่งตั้งเจ้าเป็นรัฐมนตรีว่าการยุติธรรม” แต่เจ้าชายน้อยไม่เห็นว่าบนดาวดวงนี้ของพระราชาจะมีอะไรให้ตัดสิน จึงเดินทางออกจากดาวดวงนั้นมา
ดาวดวงที่สองมีชายหลงตัวเองอาศัยอยู่ เขาร้องขึ้นเมื่อเห็นเจ้าชายน้อยมาไกล “อ้า มีคนนิยมชมชอบฉันมาหาคนหนึ่งละ” เจ้าชายน้อยทักชายหลงตัวเองว่า “หมวกของคุณประหลาดดี” เขาตอบว่า “ฉันใส่ไว้เพื่อถอดโค้งคำนับ เวลามีคนตบมือโห่ร้องให้ฉัน แต่โชคร้ายหน่อยที่ไม่มีใครผ่านมาทางนี้เลย” ชายหลงตัวเองบอกให้เจ้าชายน้อยตบมือให้ พอเจ้าชายน้อยตบมือ ชายคนนั้นก็ถอดหมวกโค้งคำนับ

“สนุกกว่าไปเยี่ยมพระราชาอีก” เจ้าชายน้อยคิด และเขาก็เริ่มตบมือใหญ่ ชายหลงตัวเองก็โค้งคำนับพลางถอดหมวก แต่หลังจากทำอย่างนั้นอยู่ราว 5 นาทีได้ เจ้าชายน้อยก็เริ่มเบื่อกับการเล่นซ้ำ ๆ ซาก ๆ ชายหลงตัวเองถามเจ้าชายน้อยว่า “เจ้านิยมชมชอบฉันมากจริง ๆ หรือเนี่ย”
“นิยมชมชอบแปลว่าอะไร?” เจ้าชายน้อยถาม “ก็หมายความว่าเธอยอมรับว่าฉันเป็นคนหล่อที่สุด แต่งตัวดีที่สุด รวยที่สุด และฉลาดที่สุดบนดาวดวงนี้น่ะสิ”
เจ้าชายน้อยตอบไปว่า “แต่คุณอยู่คนเดียวบนดาวดวงนี้นี่” ชายหลงตัวเองขอร้องว่า “ช่วยให้ฉันมีความสุขเถิด นิยมชมชอบฉันเถอะ ถึงแม้จะมีฉันเพียงแค่คนเดียว” เจ้าชายน้อยยักไหล่และพูดออกไปว่า “ผมนิยมชมชอบคุณ ว่าแต่มันก่อให้เกิดประโยชน์อะไรกับคุณ” จากนั้นเจ้าชายน้อยก็ออกเดินทางจากดาวดวงนี้
ดาวดวงต่อไปที่เขาแวะเป็นที่อยู่ของนักดื่มคนหนึ่ง เจ้าชายน้อยอยู่ดาวดวงนี้แค่แป๊บเดียว แต่ก็ทำให้เขาเศร้าสลดใจมากทีเดียว นักดื่มนั่งเอียงหน้าอยู่หน้าขวดเปล่ากองหนึ่ง และขวดเหล้าเต็มอีกกองหนึ่ง เขาพูดอย่างเศร้าซึมว่า “ฉันดื่มอยู่”

“ทำไมคุณถึงดื่ม?” เจ้าชายน้อยถาม “ก็เพื่อลืมน่ะสิ” นักดื่มตอบ “เพื่อลืมอะไร?” เจ้าชายน้อยถามด้วยความสงสาร “เพื่อลืมว่าฉันต้องอับอายขายหน้า” นักดื่มสารภาพพลางก้มหน้า
“อับอายเรื่องอะไร?” เจ้าชายน้อยอยากช่วยเขาจึงถามต่อ “อายเรื่องที่ดื่มเหล้า” นักดื่มตอบแล้วก็นิ่งเงียบ เจ้าชายน้อยงง จากนั้นเขาก็เดินทางออกจากดาวดวงนี้
ตอนที่ 3 – พ่อค้า คนจุดโคมไฟ และนักภูมิศาสตร์
ดาวดวงที่สี่เป็นของพ่อค้า ชายคนนี้ยุ่งเสียจนไม่มีเวลาเงยหน้ามองตอนที่เจ้าชายน้อยมาถึง แม้เจ้าชายน้อยจะทักทาย แต่พ่อค้าก็เอาแต่นับตัวเลขในบัญชี เลขที่เขานับเป็นหลักล้าน เจ้าชายน้อยถามว่าอะไรเป็นล้าน พ่อค้าตอบว่าดวงดาวบนฟ้าไง เจ้าชายน้อยถามต่อว่า “คุณทำอะไรกับดาว 500 ล้านดวงล่ะ?”
พ่อค้าตอบว่าเขาไม่ได้จะทำอะไรกับมัน เขานับเพราะว่าเขาเป็นเจ้าของมัน เจ้าชายน้อยก็ทักขึ้นว่า “แต่ผมเห็นพระราชาที่ดาวดวงหนึ่ง” พ่อค้าก็อธิบายว่าพระราชาไม่ได้เป็นเจ้าของ พระองค์แค่ปกครอง สองอย่างนี้ต่างกันมากนะ เจ้าชายน้อยถามต่อว่า “แล้วการที่เป็นเจ้าของดวงดาวมากมายมีประโยชน์อะไร?” พ่อค้าตอบว่า “มันก็ทำให้ฉันร่ำรวยน่ะสิ”

เจ้าชายน้อยถามพ่อค้าต่อว่าการที่ร่ำรวยนั้นทำอะไรให้คุณบ้าง พ่อค้าตอบว่าก็จะทำให้เขาซื้อดาวดวงใหม่เพิ่มได้ เจ้าชายน้อยถามต่อว่าแล้วคุณจะเอาดวงดาวไปทำอะไร พ่อค้าตอบว่าเขาก็จะระเบียบมัน นับมันแล้วนับมันอีก แล้วเขียนจำนวนดวงดาวของเขาทั้งหมดใส่กระดาษใบเล็ก ๆ จากนั้นก็เก็บใส่ลิ้นชักแล้วล็อกกุญแจ
เจ้าชายน้อยคิดในใจว่าความคิดนี้ของพ่อค้าตลกดี เขาบอกว่าเขาเป็นเจ้าของดวงดาวมากมาย แต่กลับไม่ทำประโยชน์อะไรให้พวกมันเลย เจ้าชายน้อยเป็นเจ้าของดาวของเขาเพราะเขาดูแลทำความสะอาด สร้างประโยชน์ให้กับดาวดวงนั้น จากนั้นเจ้าชายน้อยก็เดินทางออกจากดาวของพ่อค้า
ดาวดวงที่ห้าเป็นดาวดวงเล็กที่สุด มันมีที่พอให้แค่ตั้งเสาไฟและคนจุดโคมไฟยืนได้เท่านั้น เจ้าชายน้อยคิดว่าคนจุดโคมไฟมีความหมายมากกว่าพระราชา คนหลงตัวเอง นักดื่ม และพ่อค้าเสียอีก เพราะเขาเป็นคนทำให้ดาวดวงหนึ่งสว่างสดใส นับว่าหน้าที่ของคนจุดโคมไฟเป็นงานที่มีประโยชน์อย่างแท้จริง

พอเจ้าชายน้อยไปถึงที่ดาวดวงนั้น คนจุดโคมไฟก็ดับไฟ เจ้าชายน้อยถามว่าดับไฟทำไมล่ะ คนจุดโคมไฟก็ตอบว่าเพราะเป็นคำสั่งน่ะสิ จากนั้นคนจุดโคมไฟก็จุดไฟขึ้นมาใหม่ เจ้าชายน้อยงง เขาไม่เข้าใจว่าทำไมต้องจุด ๆ ดับ ๆ คนจุดโคมไฟก็บอกว่าไม่เห็นจำเป็นต้องเข้าใจเลย คำสั่งก็คือคำสั่ง เขาก็แค่ทำตามหน้าที่ไป แต่ก่อนอาชีพนี้ของเขาเป็นอาชีพที่ดีอยู่หรอก เขามีหน้าที่ดับไฟในตอนเช้าและจุดไฟในตอนเย็น ระหว่างวันเขาสามารถพักผ่อนได้ แต่เดี๋ยวนี้ดาวดวงนี้หมุนไวขึ้น เขาต้องจุดและดับไฟทุก ๆ หนึ่งนาที
เจ้าชายน้อยคิดในใจว่าชายคนนี้เป็นคนเดียวที่เขาพอจะคบเป็นเพื่อนได้ แต่ดาวของเขาแสนจะคับแคบ มันไม่มีที่พอสำหรับสองคน แล้วเจ้าชายน้อยก็เดินทางจากมา
ดาวดวงที่หกมีขนาดใหญ่กว่าดวงที่แล้วถึง 10 เท่า มีชายแก่อาศัยอยู่ เขากำลังเขียนหนังสือเล่มโต เมื่อเห็นเจ้าชายน้อยมาเยือน ชายแก่ก็ทักว่า “อ้อ นี่คือนักสำรวจคนหนึ่งนี่เอง เธอมาจากไหนล่ะ?” เจ้าชายน้อยไม่ตอบ แต่ถามชายแก่ว่า “หนังสือเล่มโตนี่คืออะไรครับ แล้วคุณทำอะไรอยู่ที่นี่?”

ชายแก่บอกว่าเขาคือนักภูมิศาสตร์ และอธิบายให้เจ้าชายน้อยเข้าใจว่านักภูมิศาสตร์คือนักปราชญ์ที่รอบรู้ว่าทะเล แม่น้ำ เมือง ภูเขา และทะเลทรายตั้งอยู่ตรงไหน เจ้าชายน้อยกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ดาวดวงนี้ พบว่าเป็นดาวที่มีทิวทัศน์สวยงามมาก เขายังไม่เคยเห็นดาวดวงไหนสวยงามเท่านี้ และถามนักภูมิศาสตร์ว่าดาวดวงนี้มีมหาสมุทรไหม
นักภูมิศาสตร์ตอบว่าเขาไม่ทราบ เจ้าชายน้อยถามต่อว่า แล้วมีภูเขาไหม นักภูมิศาสตร์ก็ไม่ทราบอีกเช่นกัน เจ้าชายน้อยแปลกใจ “เอ้า แต่คุณเป็นนักภูมิศาสตร์นี่” นักภูมิศาสตร์แก้ตัวว่าเขาไม่ใช่นักสำรวจ หน้าที่ของนักภูมิศาสตร์สำคัญเกินกว่าจะออกไปเดินเล่นได้ เขาจะไม่ออกไปนอกที่ทำงานของเขา หน้าที่เขาคือต้อนรับนักสำรวจ ไถ่ถามและบันทึกความทรงจำที่นักสำรวจเล่าให้ฟัง
จากนั้นนักภูมิศาสตร์ก็กางสมุดบันทึกและบอกให้เจ้าชายน้อยเล่าถึงสถานที่ที่เขาจากมา เจ้าชายน้อยเล่าว่าที่ที่เขาเคยอยู่ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจ มันเล็กนิดเดียว มีภูเขาไฟสามลูก และมีดอกกุหลาบด้วย นักภูมิศาสตร์บอกว่าเขาจะไม่บันทึกเรื่องดอกไม้ เจ้าชายน้อยก็แย้งว่าทำไมล่ะ อีกฝ่ายตอบมาว่า “เพราะดอกไม้เป็นสิ่งชั่วคราว ไม่ถาวร”
“หมายความว่าอะไรไม่ถาวร?” เจ้าชายน้อยถาม และได้คำตอบกลับมาว่า “หนังสือภูมิศาสตร์เป็นตำราที่มีค่าที่สุด ไม่มีวันล้าสมัย การที่ภูเขาไฟเคลื่อนตัวหรือน้ำในมหาสมุทรเหือดแห้ง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นนานครั้ง เราเขียนบันทึกแต่สิ่งที่คงอยู่ชั่วนิรันดร์ คำว่าไม่ถาวรหมายความว่าถูกคุกคามให้หายไปในเวลาอันสั้น”
เจ้าชายน้อยตระหนักได้ว่าดอกกุหลาบของเขาไม่จีรังยั่งยืน มันมีหนามเพียงแค่ 4 หนามเท่านั้น เพื่อปกป้องตัวเองจากโลกทั้งโลก เขาได้ปล่อยมันไว้เดียวดายในโลกของเขา นั่นเป็นความรู้สึกเสียใจครั้งแรกของเขา แต่เขาก็ทำใจเข้มแข็ง ถามนักภูมิศาสตร์ว่ามีสถานที่แนะนำให้ไปบ้างไหม นักภูมิศาสตร์แนะนำให้เจ้าชายน้อยมาที่โลกมนุษย์
ตอนที่ 4 – เจ้าชายน้อยมาเยือนโลกมนุษย์
ดาวดวงที่เจ็ดที่เจ้าชายน้อยเดินทางมาถึงคือโลกมนุษย์ ตอนแรกเขาแปลกใจมากที่ไม่พบใครเลย และกลัวว่าจะมาผิดที่ แต่ก็เหลือบไปเห็นงูบนพื้นทราย เจ้าชายน้อยจึงถามงูตัวนั้นว่าที่นี่ที่ไหน และได้รับคำตอบว่าที่นี่คือโลกมนุษย์ ในทวีปแอฟริกา ไม่มีใครอยู่ในทะเลทรายแบบนี้หรอก และโลกใบนี้ก็กว้างมากด้วย

งูถามเจ้าชายน้อยบ้างว่าเขามาทำอะไรที่นี่ เจ้าชายน้อยบอกว่าเขาทะเลาะกับดอกไม้ของตัวเอง แล้วทั้งคู่ก็เงียบโดยไม่พูดอะไรเลยสักพัก หลังจากนั้นเจ้าชายน้อยพูดขึ้นว่า “แล้วคนอยู่ที่ไหนกัน เราออกจะโดดเดี่ยวในทะเลทราย” งูกล่าวแบบติดปรัชญาว่า “แม้ในหมู่คน เราก็อยู่อย่างโดดเดี่ยว”
เจ้าชายน้อยมองงูอยู่นาน ในที่สุดเขาก็พูดถึงว่า “เธอเป็นสัตว์ประหลาด ผอมยังกับนิ้วมือ” งูกล่าวว่า “แต่ว่าฉันมีอำนาจมากกว่านิ้วมือของพระราชาเสียอีก แม้ฉันจะไม่มีขา แต่ฉันสามารถพาเธอไปได้ไกลกว่าเรืออีกนะ คนไหนที่ถูกฉันกัด ฉันจะคืนเขาแด่พระแม่ธรณีซึ่งเขาได้เกิดขึ้นมา”

จากนั้นทั้งคู่ก็แยกย้ายกัน เจ้าชายน้อยเดินตัดทะเลทรายและปีนขึ้นไปบนภูเขาลูกหนึ่ง เขาส่งเสียงออกไปว่า “สวัสดี” และมีเสียงสะท้อนกลับมาว่า “สวัสดี… สวัสดี… สวัสดี”
“คุณคือใคร”
“คุณคือใคร… คุณคือใคร… คุณคือใคร”
“มาเป็นเพื่อนผมเถอะ ผมอยู่คนเดียว”
“ผมอยู่คนเดียว… ผมอยู่คนเดียว… ผมอยู่คนเดียว”

เจ้าชายน้อยคิดขึ้นว่าทำไมดาวดวงนี้ประหลาดจัง มันช่างแสนจะแห้งแล้ง และพวกมนุษย์ก็ช่างขาดจินตนาการ เอาแต่พูดตามที่คนอื่นพูดให้ฟัง จากนั้นเจ้าชายน้อยเดินฝ่าทะเลทราย หินผา หิมะ จนมาพบกับสวนแห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยดอกกุหลาบ ดอกกุหลาบบนดาวของเขาบอกว่าเธอเป็นดอกกุหลาบดอกเดียวในจักรวาล แต่ตอนนี้เขาอยู่ท่ามกลางดอกไม้ชนิดเดียวกันตั้ง 5,000 ดอกในสวนเพียงแห่งเดียว

เจ้าชายน้อยเคยเข้าใจว่าเขาเป็นเจ้าของดอกไม้ที่มีดอกเดียวในโลก แต่แท้จริงแล้วเขามีเพียงกุหลาบธรรมดาเพียงหนึ่งดอกเท่านั้นเอง และเขาเป็นเจ้าของภูเขาไฟ 3 ลูกที่สูงถึงแค่เข่าของเขา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เขาเป็นเจ้าชายที่สำคัญยิ่งใหญ่อะไรเลย คิดได้แบบนั้นเขาก็นอนเหยียดลงบนพื้นหญ้าและร้องไห้ออกมา

ตอนนั้นเองที่จิ้งจอกปรากฎตัวขึ้นทักทาย เจ้าชายน้อยชวนให้จิ้งจอกมาเล่นด้วยกัน เพราะตอนนี้เขาเศร้ามาก แต่จิ้งจอกปฏิเสธเพราะมันยังไม่ถูกทำให้เชื่อง เจ้าชายน้อยถามด้วยความสงสัยว่าทำให้เชื่องหมายความว่าอะไร และได้คำตอบว่ามันคือการสร้างสายสัมพันธ์ เมื่อไหร่ที่เธอกับฉันคุ้นเคยใกล้ชิดกัน เมื่อนั้นเราก็ต่างต้องการซึ่งกันและกัน เธอจะเป็นเด็กชายคนเดียวในโลกสำหรับฉัน และฉันจะเป็นจิ้งจอกตัวเดียวบนโลกสำหรับเธอ
หลังจากนั้นเจ้าชายน้อยใช้เวลาอยู่กับจิ้งจอกอยู่หลายวัน ทั้งสองเกิดความสนิทสนมและสายสัมพันธ์ เมื่อถึงเวลาที่ต้องจากลากัน ทั้งสองก็ทำท่าจะร้องไห้ จิ้งจอกบอกให้เจ้าชายน้อยไปดูกุหลาบที่อยู่ในสวน แล้วเขาจะเข้าใจว่ากุหลาบของเขามีอยู่ดอกเดียวในจักรวาล จากนั้นจิ้งจอกจะบอกความลับอย่างหนึ่งให้เจ้าชายน้อยรู้

เจ้าชายน้อยเดินไปที่หมู่ดอกกุหลาบ และพูดกับกุหลาบเหล่านั้นว่า “พวกเธอไม่เหมือนกุหลาบของฉัน พวกเธอไม่มีความหมาย เพราะฉันไม่ได้สร้างสายสัมพันธ์กับพวกเธอ เหมือนจิ้งจอกของฉันในตอนแรก ซึ่งเหมือนกับจิ้งจอกตัวอื่น ๆ เป็นหมื่นตัว แต่ตอนนี้เขาเป็นเพื่อนของฉัน เขาจึงเป็นจิ้งจอกตัวเดียวในโลกสำหรับฉัน”
เจ้าชายน้อยพูดกับดอกกุหลาบต่อไปว่า “สำหรับคนที่เดินผ่านไปมาคงคิดว่าดอกกุหลาบของฉันไม่มีความหมาย แต่ดอกกุหลาบของฉันดอกเดียวมีความหมายสำหรับฉันมากกว่าพวกเธอทั้งหมด เพราะเป็นดอกกุหลาบที่ฉันรดน้ำ หาฉากมาบังลมให้ กำจัดหนอนให้ ฉันทนฟังเธอบ่น ทั้งหมดที่ทำก็เพราะเป็นกุหลาบของฉัน”
จากนั้นเจ้าชายน้อยก็กลับมาหาจิ้งจอกและพูดว่า “ลาก่อนนะ” จิ้งจอกตอบกลับว่า “ลาก่อน และนี่คือความลับที่ฉันจะบอกเธอ สิ่งสำคัญนั้นมองไม่เห็นด้วยตา ต้องมองด้วยหัวใจ เวลาที่เธอเสียไปให้ดอกกุหลาบของเธอ ทำให้กุหลาบดอกนั้นมีค่ามากขึ้น เธอต้องรับผิดชอบทุกสิ่งที่เธอมีสายสัมพันธ์ด้วย”
ตอนที่ 5 – เจ้าชายน้อยกลับบ้าน
นักบินกับเจ้าชายน้อยติดอยู่ในทะเลทรายซาฮาราเข้าวันที่แปดแล้ว หลังจากที่เครื่องบินของนักบินเสีย และตอนนี้เขาก็ดื่มน้ำที่นำมาด้วยหมดไปแล้ว ทั้งสองจึงชวนกันออกไปเดินหาบ่อน้ำ เดินตั้งแต่เช้าจนถึงค่ำก็ยังไม่เจอบ่อน้ำเลย นักบินต้องเดินอุ้มเจ้าชายน้อยไปด้วย เพราะเจ้าชายน้อยหลับ พอถึงรุ่งเช้าพวกเขาก็เจอบ่อน้ำบ่อหนึ่ง
บ่อน้ำนี้แปลกเพราะมันตั้งอยู่เดี่ยว ๆ โดยไม่มีหมู่บ้านในแถบนั้นเลย นักบินค่อย ๆ สาวถังลงไปตักน้ำในบ่อ หลังจากอดน้ำมาหนึ่งวันเต็ม เมื่อนักบินยกถังขึ้นดื่ม เขาก็หลับตาพริ้มลิ้มรสหวานชื่นเหมือนอยู่ในงานฉลอง

เจ้าชายน้อยบอกว่าเขาตกลงมาบนโลกตรงจุดใกล้ ๆ ที่นี่แหละ และพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันครบรอบ นักบินรู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมาอย่างประหลาด เจ้าชายน้อยพูดต่อว่า “คุณมีงานที่ต้องทำต่อ คุณกลับไปซ่อมเครื่องยนต์เถอะ ผมจะรออยู่ที่นี่ พรุ่งนี้เย็นค่อยกลับมาใหม่”
นักบินนึกถึงเรื่องจิ้งจอกที่เจ้าชายน้อยเล่าให้ฟังขึ้นมา ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนจะร้องไห้ ไม่กี่วันที่ผ่านมาเขาได้สร้างสายสัมพันธ์กับเจ้าชายน้อยขึ้นมาแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็กลับไปซ่อมเครื่องยนต์ และกลับมาใหม่ในเย็นวันต่อมา
ใกล้ ๆ กับบ่อน้ำมีกำแพงหินเก่า ๆ นักบินมาถึงก็เห็นเจ้าชายน้อยนั่งอยู่บนนั้น เขาแอบดูอยู่ห่าง ๆ เห็นเจ้าชายน้อยกำลังคุยกับงูอยู่ “เธอมีพิษแรงดีใช่ไหม เธอแน่ใจนะว่ามันจะไม่ทำให้ผมต้องเจ็บปวดนาน ๆ” พูดแล้วเจ้าชายน้อยก็กระโดดลงไปหางู

นักบินที่อยู่ห่างไป 20 เมตรรีบพุ่งเข้าไปหาเจ้าชายน้อย หยิบปืนพกในกระเป๋าออกมายิ่งขู่จนงูเลื้อยหนีไป แล้วเขาก็คว้าตัวเจ้าชายน้อยซึ่งตอนนี้มีร่างซีดเหมือนหิมะ เจ้าชายน้อยมองนักบินอย่างเคร่งขรึม และกอดคอนักบินไว้แน่น เสียงหัวใจของเจ้าชายน้อยตอนนี้เต้นเหมือนนกที่กำลังจะตาย
“ผมดีใจที่คุณพบว่าเครื่องยนต์ของคุณขาดอะไรไป คุณกำลังจะได้กลับบ้าน” เจ้าชายน้อยพูด
“เธอรู้ได้ยังไง ฉันกำลังจะบอกเธอพอดีว่าฉันซ่อมเครื่องบินสำเร็จ ทั้ง ๆ ที่หมดหวังไปแล้ว”
“ผมเองก็เช่นกัน วันนี้ผมจะกลับบ้าน แต่บ้านของผมออกจะไกลมากทีเดียว ยากมากที่จะกลับไป คืนนี้จะครบหนึ่งปี ดาวของผมจะโคจรมาอยู่ตรงตำแหน่งที่ผมตกลงมาเมื่อปีที่แล้ว”
จากนั้นเจ้าชายน้อยก็ลุกขึ้นยืน แล้วก้าวไปข้างหน้า นักบินมองอยู่นิ่ง ๆ มีแสงสะท้อนแวบ ๆ สีเหลืองใกล้ข้อเท้าของเจ้าชายน้อย เขานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วค่อย ๆ ล้มเหมือนต้นไม้ล้ม โดยไม่ก่อให้เกิดเสียงเลย เพราะล้มลงบนพื้นทราย

เนื้อหาของเรื่องเจ้าชายน้อยมีประมาณนี้ครับ อย่างที่บอกเพื่อน ๆ เอาไว้ตั้งแต่ต้น วรรณกรรมเรื่องนี้ออกไปทางปรัญชา ต้องอาศัยการตีความไปด้วยระหว่างที่อ่าน แต่ละคนอ่านแล้วอาจเกิดความรู้สึกแตกต่างกันตามประสบการณ์ของแต่ละคน และว่ากันว่าวรรณกรรมเรื่องนี้เติบโตไปพร้อมคนอ่าน เมื่อกลับมาอ่านใหม่ตอนที่อายุเพิ่มขึ้น การตีความของเราก็จะเปลี่ยนไปตามประสบการณ์ชีวิตที่สะสมมาครับ
ผมอ่านเรื่องเจ้าชายตอนครั้งแรกตอนเรียนมหาลัยปี 1 อายุช่วงนั้นประมาณ 18-19 ปี ครั้งนั้นผมไม่ชอบเรื่องนี้เลยครับ รู้สึกว่าเรื่องราวไม่มีที่มาที่ไป ไม่ปะติดปะต่อกัน ครั้งที่สองผมอ่านตอนอายุ 30 ปี ครั้งนี้กลายเป็นว่าผมชอบเรื่องนี้มาก รู้สึกประทับใจและมีความรู้สึกร่วมกับหนังสือ บางช่วงแค่ได้อ่านประโยคสั้น ๆ ก็รู้สึกว่ามันสื่อความหมายท่วมท้น เหมือนได้คุยกับเพื่อนที่รู้ใจ ที่เคยผ่านทุกข์ผ่านสุขมาเหมือนกัน แค่พูดกันไม่มีคำก็เข้าอกเข้าใจกันเป็นอย่างดี ไม่รู้ว่าถ้าผมอายุ 40 ปี แล้วกลับมาอ่านเจ้าชายน้อยอีกครั้งจะรู้สึกแตกต่างไปจากครั้งนี้ยังไงบ้าง
ถ้ามีโอกาสผมอยากให้เพื่อน ๆ อ่านหนังสือเล่มนี้ด้วยตัวเองครับ อยากให้เพื่อน ๆ มีช่วงเวลาได้ใช้ความคิดไปกับเหตุการณ์และเรื่องราวในหนังสือ วรรณกรรมเรื่องเจ้าชายน้อยกลายเป็น public domain หรือสมบัติสาธารณะแล้วครับ เพื่อน ๆ สามารถหาฉบับภาษาอังกฤษอ่านได้ฟรีบนอินเตอร์เน็ตเลย หรือจะหาฉบับพิมพ์ภาษาไทยก็มีขายตามร้านหนังสือซึ่งหาซื้อไม่ยาก ผมเห็นทำออกมาหลายสำนักพิมพ์เลยครับ มีทั้งปกอ่อน ปกแข็ง ฉบับภาพประกอบดั้งเดิม และภาพประกอบวาดใหม่ เวอร์ชั่นดัดแปลงเป็นการ์ตูนมังงะก็มี เพื่อน ๆ เลือกตามที่สะดวกได้เลยครับ
สนใจหนังสือ เจ้าชายน้อย The Little Prince
สามารถสั่งซื้อได้ที่ Shopee: https://s.shopee.co.th/gE1QiWae5
ซื้อผ่านลิงค์เป็นการสนับสนุนช่องครับ
Leave a comment