ในที่เกิดเหตุ ไม่ว่าอาชญากรจะระวังตัวมากแค่ไหน ก็มักจะทิ้งร่องรอยหรือหลักฐานบางอย่างไว้ ไม่ว่าจะเป็นรอยเท้า รอยนิ้วมือ เส้นผม คราบเลือด เมล็ดพืช หรือสภาพศพ เมื่อนำหลักฐานเหล่านั้นมาผนวกเข้ากับวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ก็ได้ให้กำเนิดหลักนิติวิทยาศาสตร์ที่ช่วยให้นักสืบสามารถปะติดปะต่อเรื่องราวย้อนกลับไปได้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในที่เกิดเหตุบ้าง
นิติวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าและแม่นยำขึ้นทุกวัน คดีในอดีตที่ไม่เคยไขได้ก็มาคลี่คลายและนำไปสู่การชี้ตัวคนร้ายได้อย่างคาดไม่ถึง ไอติมเล่า ep นี้ มาแนะนำเนื้อหาในหนังสือ Blood, Bullets, and Bones รอยตายไม่โกหก เขียนโดย บริดเจ็ท ฮอส (Bridget Heos) หนังสือเป็นแนวสารคดีที่ไล่เรียงวิวัฒนาการด้านนิติวิทยาศาสตร์ โดยยกคดีที่เกิดขึ้นจริงมาเล่า ผมหยิบเนื้อหาบางส่วนที่น่าสนใจจากหนังสือมาเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังกันครับ
นักสืบคนแรก
ในสมัยหลายร้อยปีก่อน เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเดินตรวจตราตามถนน และจับกุมอาชญากรที่กำลังก่อเหตุซึ่ง ๆ หน้า แต่หากตำรวจไม่เห็นเหตุการณ์เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา พวกเขาก็ทำอะไรมากไม่ได้ จนในปี 1880 นักสืบคนแรกของโลกสมัยใหม่ก็เกิดขึ้น เขาชื่อว่าฟรองซัวร์ เออซีน วิดอค (Eugene Francois Vidocq) อดีตของเขาฟังแล้วอาจคาดไม่ถึง นั่นคือเขาเคยเป็นนักโทษเรือนจำครับ

วิดอคเป็นชายหนุ่มคึกคะนอง ชอบขโมยของ ชอบมีเรื่องทะเลาะวิวาท และเปลี่ยนแฟนสาวมาแล้วหลายคน วันหนึ่งเขาเห็นแฟนสาวชื่อฟรานซีนกำลังนั่งกินข้าวโต๊ะเดียวกับหนุ่มคนอื่น วิดอคพุ่งเข้าไปตบตีคนทั้งคู่ทันที ฟรานซีนหนีออกไปจากร้านอาหารได้ ส่วนชายที่นั่งกินข้าวกับเธอบังเอิญเป็นทหาร เขาจับวิดอคส่งตำรวจ วิดอคโดนข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่น มีโทษจำคุก 3 เดือน แต่เขากลับหาเรื่องให้ตัวเอง จนหลายเป็นการติดคุกยาวนานหลายปี
ตอนอยู่ในคุกวิดอคปลอมแปลงเอกสารลดหย่อนโทษให้กับเพื่อนผู้ต้องขัง แลกกับคำสัญญาว่าจะจ่ายเงินให้ 100 คราวน์ หากเพื่อนนักโทษคนนั้นออกจากคุกไปได้ ปรากฎว่านักโทษคนนั้นได้รับการปล่อยตัว แต่ไม่นานตำรวจก็จับได้ว่าเอกสารฉบับนั้นเป็นของปลอม นักโทษคนนั้นกลับมาติดคุกอีกครั้งและสาวเรื่องมาจนถึงวิดอค
วิดอคถูกตัดสินว่ามีความผิดในการปลอมแปลงเอกสารราชการ เขาไม่อยากถูกย้ายไปอยู่เรือนจำที่โหดร้ายกว่าจึงตัดสินใจแหกคุก ในครั้งแรกเขาแหกคุกออกมาได้โดยการปลอมเป็นผู้คุม และแหกคุกต่ออีกหลายครั้ง จนโดนโทษจำคุก 8 ปีที่เรือนจำบาญซึ่งเป็นเรือนจำที่เขากลัว
ที่เรือนจำบาญ วิดอคถูกใช้แรงงานหนัก ถูกล่ามแขนและขาตลอดเวลา ไม่เว้นแม้กระทั่งตอนนอน นักโทษหลายคนตายก่อนที่จะรับโทษครบกำหนด ในที่สุดวิดอคก็แหกคุกออกมาจากเรือนจำบาญได้ และใช้ชีวิตอย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ โดยย้ายเมืองบ่อย ๆ และพยายามหางานสุจริตทำ
ในหมู่อาชญากรยกย่องวิดอคเพราะวีรกรรมแหกคุกออกมาได้หลายครั้ง แม้วิดอคจะเกเร แต่เขาก็ไม่ใช่อาชญากร ครั้งหนึ่งมีกลุ่มหัวขโมยมาขอให้เขาเข้าร่วมแผนการปล้น แต่เขาปฏิเสธ หัวขโมยกลุ่มนั้นไม่พอใจจึงชี้เป้าให้ตำรวจมาจับวิดอค วิดอคพลิกสถานการณ์มาเข้าข้างตำรวจ โดยอาสาจะให้ความร่วมมือตามจับหัวขโมยกลุ่มนั้น โดยแลกกับอิสรภาพ นั่นคือครั้งแรกที่วิดอคมายืนฝั่งเดียวกับกฎหมาย
ปี 1809 วิดอคย้ายมาอยู่ปารีส เมืองหลวงของประเทศฝรั่งเศส ซึ่งสมัยนั้นฝรั่งเศสเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อของนานาประเทศ ประชากรในเมืองปารีสเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนเกือบจะถึง 1 ล้านคน และจำนวนอาชญากรก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยเฉลี่ยทุก ๆ 1 ชั่วโมงจะเกิดเหตุขโมยล้วงกระเป๋าราว 5,000 ครั้ง คนรวยสมัยนั้นจึงไปไหนมาไหนโดยมีบอดี้การ์ดตามประกบ
ตอนนั้นสร้อยคอของจักรพรรดินีโจเซฟีนถูกขโมยไป วิดอคอาสาตามหาสร้อยคอนั้นส่งคืนตำรวจ เขาใช้เวลาเพียง 3 วันก็นำสร้อยคอกลับมาได้ โดยอาศัยความช่วยเหลือจากเครือข่ายอาชญากรที่เขารู้จัก หลังจากนั้นวิดอคก็สืบสวนคดีอาชญากรรมที่สำคัญจำนวนหนึ่งในฐานะสายลับคนแรกของปารีส
ความสำเร็จในการสืบสวนครั้งแล้วครั้งเล่าของวิดอคทำให้ตำรวจอนุญาตให้เขาเปิดสำนักงานนักสืบเป็นของตัวเอง โดยมีอดีตผู้ต้องขังเป็นนักสืบในสังกัด คนเหล่านี้รู้จักกับอาชญากร และในบรรดาอาชญากรก็รู้ว่าใครเป็นผู้ก่อเหตุ ในปี 1817 วิดอคและนักสืบในสังกัดอีก 12 คน สามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยได้ 772 ราย โดย 15 รายในจำนวนนั้นโดนจับข้อหาฆาตกรรม

ต่อมาสำนักงานนักสืบของวิดอคถูกยกฐานะเป็นหน่วย Sûreté Nationale ซึ่งเป็นหน่วยงานนักสืบแห่งชาติของฝรั่งเศส โดยก่อตั้งขึ้นก่อน FBI ของสหรัฐอเมริกาซะอีก นอกจากนี้วิดอคยังเป็นคนบุกเบิกในการจ้างนักสืบหญิงเข้ามาร่วมทีม ซึ่งช่วยตำรวจในคดีอาชญากรรมของคนชนชั้นสูง การค้ายา และการค้ามนุษย์ โดยสำนักข่าวสมัยนั้นยกย่องนักสืบหญิงเหล่านี้ว่า “โสด ปราดเปรียว และหลักแหลม เจ้าหน้าที่หญิงทั้ง 3 คนดูผ่อนคลายไร้กังวล ไม่ว่าจะสวมชุดราตรีไปไนต์คลับ หรือสวมหน้ากากปลอมตัวเข้าไปในโลกอาชญากรอันโสมม”
เรียกได้ว่าบรรดานักสืบยุคแรก ๆ คืออาชญากรที่กลับตัวกลับใจมาอยู่ฝั่งเดียวกับความถูกต้องตามกฎหมาย จะมีใครรู้ชั้นเชิงของอาชญากรได้ดีเท่าเหล่าอาชญากรด้วยกันเอง
การระบุตัวคนร้ายด้วยการวัดตัวและลายนิ้วมือ
ก่อนจะมีการตรวจดีเอ็นเออย่างในสมัยนี้ ในสมัยหลายร้อยปีก่อน หลักฐานในที่เกิดเหตุที่ระบุอัตลักษณ์บุคคลได้ดีที่สุดคือลายนิ้วมือ ลายนิ้วมือของคนเราจะไม่เปลี่ยนแปลงไปตลอดชีวิต อาชญากรบางคนพยายามกำจัดลายนิ้วมือของตัวเอง โดยการใช้น้ำกรดกัดทำลายลายนิ้วมือ แต่แม้ลายนิ้วมือที่ไม่สมบูรณ์ก็ยังสามารถระบุตัวตนของผู้ต้องสงสัยได้ และคนที่ไม่มีลายนิ้วมือก็ดูมีพิรุธ จึงไม่คุ้มค่ากับการทำลายรอยนิ้วมือตัวเอง
ก่อนหน้าที่จะมีการตรวจลายนิ้วมือ เป็นเรื่องยากมากสำหรับตำรวจในการติดตามคนร้ายที่ตำรวจรู้ตัวแล้ว ช่วงปี 1820-1830 ตำรวจพึ่งพาการถ่ายรูป แต่ก็มีข้อจำกัดเพราะคนสองคนอาจดูคล้ายกันมาก และรูปพรรณสันฐานของคนเราก็เปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลา
จนเมื่ออาลฟงส์ แบร์ติยอง นักนิติวิทยาศาสตร์ของหน่วยงานนักสืบระดับชาติของฝรั่งเศสคิดค้นวิธีการระบุตัวบุคคลที่แม่นยำขึ้น ระบบแบบแบร์ติยองจะวัดส่วนสูงของอาชญากร วัดความยาวจากศอกไปถึงปลายนิ้วกลางของแขนด้านซ้าย วัดขนาดเส้นรอบวงของหัว วัดความยาวของใบหู และอื่น ๆ

เพียงแค่ปีแรกที่ระบบแบบแบร์ติยองถูกนำมาใช้ ตำรวจก็สามารถระบุตัวผู้กระทำผิดซ้ำได้ถึง 300 คน จนสำนักงานสืบสวนทั่วโลกนำระบบนี้ไปใช้ แต่จริง ๆ แล้วคนจีนและคนญี่ปุ่นใช้วิธีระบุอัตลักษณ์บุคคลที่แม่นยำกว่าระบบแบบแบร์ติยองมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว สมัยจีนโบราณเอกสารสำคัญจะถูกปิดผนึกด้วยดินเหนียวแล้วผู้เขียนจะประทับลายนิ้วมือของตัวเองลงไปเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
ช่วงปี 1880 ดร.เฮนรี ฟอล์ดส์ หมอสอนศาสนาชาวสกอตแลนด์สังเกตเห็นช่างปั้นหม้อชาวญี่ปุ่นใช้ลายนิ้วมือประทับลงไปบนผลงานของตัวเองแทนลายเซ็นต์ เขาจึงเขียนจดหมายถึงวารสาร Nature โดยเล่าว่าเขาใช้ลายนิ้วมือตามจับหัวขโมยได้คนหนึ่งในโรงพยาบาลของเขา มีคนขโมยแอลกอฮอล์ล้างแผลไปหลายขวด และทิ้งลายนิ้วมือเป็นคราบเอาไว้ เฮนรีจึงนำรอยนิ้วมือนั้นไปเทียบกับรอยนิ้วมือของพนักงานคนหนึ่งซึ่งปรากฏว่าตรงกัน
ต่อมาเซอร์ฟรานซิส กัลตัน นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังชาวอังกฤษทำการศึกษาเพื่อพิสูจน์สมมุติฐานที่ว่า จริงหรือไม่ที่ลายนิ้วมือจะไม่เปลี่ยนแปลงไปตลอดชีวิตของคนเรา งานวิจัยของเขาได้พิสูจน์ออกมาว่าจริง เซอร์ฟรานซิสเขียนหนังสือและบทความจำนวนมากเกี่ยวกับเรื่องนี้
ต่อมาฮวน บูเซติช ตำรวจชาวอาร์เจนตินาได้อ่านงานวิจัยของเซอร์ฟรานซิส เขาจึงเริ่มเก็บบันทึกลายนิ้วมือของนักโทษ และจัดทำเป็นแฟ้มจำแนกอย่างเป็นระบบ ฮวนยังเป็นคนแรกที่สามารถไขคดีฆาตกรรมในยุคสมัยใหม่ โดยอาศัยลายนิ้วมือ
แม้การพิสูจน์ลายนิ้วมือจะระบุอัตลักษณ์บุคคลได้อย่างแม่นยำ แต่มันก็ไม่ได้มาแทนระบบแบบแบร์ติยองแบบทันที ในสหรัฐอเมริกาเปลี่ยนมาใช้ระบบพิสูจน์ลายนิ้วมือหลังจากเกิดคดีวิลล์ เวสต์ซ้ำกันสองคน เรื่องของเรื่องเกิดขึ้นในปี 1903 ชายคนหนึ่งชื่อวิลล์ เวสต์ ถูกส่งตัวไปเรือนจำเลเวนเวิร์ธ เจ้าหน้าที่ทำการวัดสัดส่วนร่างกายของเขาตามระบบแบบแบร์ติยอง พบว่าผลการวัดของเขาตรงกับชายคนหนึ่งที่อยู่ในเรือนจำอยู่แล้ว ชื่อวิลเลียม เวสต์

พ่อหนุ่มตระกูลเวสต์ทั้งสองคนอ้างว่าไม่ได้รู้จักกัน ไม่ได้เป็นญาติกัน แม้ว่าทั้งสองจะมีรูปพรรณสันฐานเหมือนกันทุกอย่าง แต่ถึงอย่างนั้นลายนิ้วมือของทั้งสองคนไม่เหมือนกัน ผลจากการสืบสวนพบว่าพ่อหนุ่มเวสต์ทั้งสองเป็นฝาแฝดแท้ท้องแม่เดียวกัน คดีนี้เองที่เป็นแรงผลักดันให้ตำรวจเปลี่ยนวิธีระบุอัตลักษณ์จากระบบการวัดแบบแบร์ติยองมาเป็นลายนิ้วมือแทน
ไขคดีได้เพราะเมล็ดพืช
หลายคดีเป็นคดีฆาตกรรมอำพราง แต่ศพซ่อนอยู่ตลอดไปไม่ได้ อาจมีหมาวิ่งซนไปเจอ อาจมีคนได้กลิ่นเหม็นเน่า นับตั้งแต่มีแพทย์นิติเวช เราก็มีหลายวิธีในการระบุอัตลักษณ์ของศพ แม้แต่ศพที่เน่าเปื่อยมากแล้วก็ยังสามารถระบุช่วงเวลาและสาเหตุการตายได้ แม้ศพจะไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุก็ตาม
มีคดีหนึ่งที่น่าสนใจในการไขปริศนาการฆาตกรรมอำพรางศพครับ วันที่ 2 พฤศจิกายน 1942 ชายคนหนึ่งกำลังเดินเล่นกับสุนัขอยู่ในสวนเซ็นทรัลพาร์ก จู่ ๆ สุนัขของเขาก็เห่าขึ้น เขาเดินตามมันเข้าไปในบริเวณที่มีหญ้าขึ้นสูง แล้วก็พบกับร่างของผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกบีบคอจนเสียชีวิต
นักสืบระบุได้ว่าศพนั้นคือหลุยส์ อัลโมโดวาร์ พนักงานเสิร์ฟสาววัย 24 ปีที่อยู่อาศัยกับพ่อแม่ของเธอ มีรายงานว่าเธอายตัวไปในวันก่อนหน้านั้น แม้จะไม่พบกระเป๋าสตางค์ติดอยู่ที่ตัวของศพ แต่สร้อยคอทองคำที่เธอสวมอยู่ไม่ได้ถูกขโมยไป ดังนั้นเหตุจูงใจในการลงมือก่อคดีจึงไม่น่าจะใช้การปล้นทรัพย์
นักสืบพุ่งความสนใจไปที่อานิบาล อัลโมโดวาร์ สามีของเธอที่ทิ้งเธอไปเมื่อ 5 เดือนก่อนเพราะเขาเป็นเสือผู้หญิง เมื่อถูกสอบสวนอานิบาลแสดงความดีใจตอนที่รู้ว่าหลุยส์เสียชีวิตแล้ว เขาบอกว่าหลุยส์เพิ่งจะมาตบแฟนใหม่ของเขาไปเมื่อไม่นานมานี้ และช่วงเกิดเหตุเขาก็มีพยานที่อยู่
แพทย์นิติเวชระบุเวลาตายของหลุยส์เอาไว้ระหว่าง 3-4 ทุ่ม ของวันที่ 1 พฤศจิกายน ซึ่งช่วงนั้นอานิบาลอยู่ที่รุมบาพาเลซซึ่งเป็นสถานที่เต้นรำ เขาอยู่ที่นั่นกับแฟนใหม่ แฟนคนที่โดนหลุยส์ตบหน้านั่นเอง มีพยานหลายคนบอกว่าเห็นเขาอยู่ที่รุมบาพาเลซ ซึ่งทำให้อานิบาลดูเหมือนว่าจะหลุดพ้นจากการตกเป็นผู้ต้องสงสัย
แต่เมื่อตำรวจลงตรวจสอบพื้นที่ก็พบว่ารุมบาพาเลซอยู่ห่างจากสวนเซ็นทรัลพาร์กแค่หนึ่งช่วงตึก เขาอาจจะแอบย่องออกไปก่อเหตุ แล้วรีบกลับมาโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็นก็เป็นได้ ทั้งยังมีการตรวจพบเมล็ดหญ้าอยู่ในกระเป๋ากางเกงและในซอกขากางเกงของอานิบาล แต่เขาอ้างว่าตัวเองไม่ได้เข้าไปในสวนเซ็นทรัลพาร์กมา 2 ปีแล้ว ดังนั้นเมล็ดหญ้าที่พบก็คงมาจากสวนสาธารณะแห่งอื่น
เจ้าหน้าที่สืบสวนสงสัยจึงส่งเมล็ดหญ้าที่พบให้ศาสตราจารย์ด้านพฤกษศาสตร์ตรวจสอบดู พบว่านั่นเป็นเมล็ดของหญ้าที่ในเมืองนิวยอร์กพบได้แค่แห่งเดียวคือในสวนเซ็นทรัลพาร์ก จากนั้นอานิบาลบอกว่าเขาเพิ่งนึกออกว่าเคยไปเดินในสวนเซ็นทรัลพาร์กเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา แต่คำตอบนี้ทำให้เขาพลาด เพราะช่วงนั้นหญ้าเหล่านี้ไม่ได้ออกเมล็ด สุดท้ายอานิบาลจึงยอมรับสารภาพ เขานัดพบกับหลุยส์ที่สวนเซ็นทรัลพาร์ก ทั้งสองทะเลาะกัน อาบิบาลโมโหจนขาดสติและพลั้งมือฆ่าเธอ คดีนี้ถูกไขได้เพราะเบาะแสจากเมล็ดหญ้าครับ
พิสูจน์กระดูกราชวงศ์โรมานอฟ
หลังจากเหตุการณ์สังหารหมู่ราชวงศ์โรมานอฟแห่งรัสเซียในปี 1918 ซึ่งเป็นผลมาจากการปฏิวัติทางการเมือง มีข้อสันนิษฐานว่าอาจมีราชวงศ์บางคนหนีรอดมาได้ ผู้หญิงคนหนึ่งอ้างตัวว่าเป็นอนาสตาเซีย โรมานอฟ อยู่เป็นเวลาหลายสิบปีเลยครับ
ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ทหารรัสเซียเสียชีวิตกว่า 1.7 ล้านนาย บาดเจ็บ โดนจับและสูญหายกว่า 7.5 ล้านนาย เศรษฐกิจของรัสเซียระส่ำระส่ายเพราะใช้เงินไปกับการทำสงครามมากเกินไป ประชาชนเกิดความไม่พอใจ และโทษว่าเป็นความผิดของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ว่าเป็นต้นเหตุของหายนะครั้งนี้
พระเจ้าซาร์สละราชสมบัติในปี 1917 และรัฐบาลรักษาการเข้ายึดอำนาจ หลายเดือนต่อมาพรรคบอลเชวิคหัวรุนแรง ซึ่งนำโดยวลาดิมีร์ เลนิน เข้าโค่นล้มรัฐบาลรักษาการ และเลนินกลายเป็นผู้นำเผด็จการ กองทัพขาวซึ่งประกอบด้วยกลุ่มพันธมิตรของราชวงศ์และกลุ่มต่อต้านบอลเชวิครวมตัวกันต่อสู้เพื่อทวงคืนอำนาจกลับมา ตอนนั้นราชวงศ์โรมานอฟถูกทหารบอลเชวิคควบคุมตัวไว้ในคฤหาสน์แห่งหนึ่ง กองทัพขาวกำลังรีบเข้าไปช่วยเหลือสมาชิกราชวงศ์ออกมา

วันที่ 17 กรกฎาคม 1918 สมาชิกราชวงศ์โรมานอฟถูกปลุกขึ้นกลางดึก พวกเขาถูกสั่งให้ย้ายไปยังบ้านอีกหลัง โดยอ้างว่าละแวกนั้นมีเหตุยิงกัน สมาชิกราชวงศ์ประกอบด้วยพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 พระมเหสีอเล็กซานดรา พระธิดาทั้งสี่ ได้แก่ โอลกา ทาเทียนา มาเรีย อนาสตาเซีย และพระโอรสอเล็กเชย์
นอกจากนี้ยังมีข้ารับใช้ ได้แก่แพทย์ประจำพระองค์ พ่อครัว คนรับใช้ และแม่บ้าน ทุกคนถูกสั่งให้ลงไปที่ห้องชั้นล่างเพื่อรอการเคลื่อนย้าย ไม่นานยาคอฟ ยูรอฟสกี้ นายทหารบอลเชวิคก็เข้ามาพร้อมทีมสังหาร เขาอ่านคำสั่งประหารชีวิตและยิงพระเจ้าซาร์ก่อน จากนั้นทีมสังหารก็กราดยิงคนที่เหลือ
การสังหารหมู่ครั้งนี้ถูกปิดเป็นความลับ ยูรอฟสกี้นำศพไปช่อนในเหมืองร้างแห่งหนึ่ง แต่พอมีคนรู้ที่ซ่อน เขาจึงย้ายศพไปไว้ที่อื่น และเผาศพพระเจ้าซาร์และพระมเหสี หลังจากนั้นกองทัพขาวของรัสเซียเข้าตรวจค้นเหมืองร้างแห่งนั้น พวกเขาพบหลักฐานว่าเคยมีศพอยู่ที่นั่น แต่ไม่รู้ตำแหน่งที่ซ่อนศพแห่งใหม่ ซึ่งเป็นปริศนาต่อไปอีกหลายปีหลังจากนั้น ทำให้ผู้คนพากันสงสัยว่ามีสมาชิกราชวงศ์โรมานอฟรอดชีวิตหรือไม่
ปี 1920 ผู้หญิงคนหนึ่งได้รับการช่วยชีวิตขึ้นมาจากคลองแห่งหนึ่งในเบอร์ลิน หลังจากที่พยายามฆ่าตัวตาย เธอถูกนำตัวส่งสถานบำบัดแห่งหนึ่ง เธออ้างตัวว่าเป็นอนาสตาเซีย โรมานอฟ และเล่าเรื่องราวอันน่าทึ่งที่เธอรอดชีวิตจากการสังหารหมู่ วันนั้นเสื้อยกทรงรัดรูปของเธอช่วยกันกระสุนไว้ได้ เธอแค่สลบไป และเมื่อตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองกำลังอยู่บนรถบรรทุกที่เต็มไปด้วยศพ เธอหลบหนีออกมาและมาลงเอยอยู่ที่เบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี
แต่มีคนที่เคลือบแคลงสงสัยในตัวเธอ นักสืบเอกชนที่ราชวงศ์เคยจ้างกล่าวว่า หญิงคนที่อ้างว่าเป็นเจ้าหญิงอนาสตาเซียแท้จริงแล้วคือฟรานซิสกา ชานซ์คอฟสกา หญิงชาวนาชาวโปแลนด์ โดยเธอมีประวัติป่วยทางจิต แต่ถึงยังไงเธอยังคงยืนกรานว่าเรื่องราวของเธอเป็นความจริง จนกระทั่งเสียชีวิตในปี 1984
ต่อมาในปี 1992 ทีมนักนิติวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันขุดค้นหลุมฝังศพของราชวงศ์โรมานอฟ เพื่อตรวจสอบว่ามีใครเสียชีวิตในเหตุสังหารหมู่ครั้งนั้นบ้าง ทีมค้นพบโครงกระดูกจำนวน 9 โครงแทนที่จะเป็น 11 โครง พวกเขาสามารถบอกได้ว่าโครงกระดูกแต่ละโครงเป็นของสมาชิกราชวงศ์พระองค์ใด
โครงกระดูกของหญิงสาวโครงหนึ่งมีข้อต่อข้อเท้าที่ขยายตัว ซึ่งเกิดจากการย่อตัวหรือนั่งคุกเข่า โครงกระดูกนี้จึงเป็นของแม่บ้าน โครงกระดูกหนึ่งไม่มีฟันบนซึ่งเป็นของหมอ โครงกระดูกสูงใหญ่เป็นของคนรับใช้ซึ่งเขาสูงกว่า 180 เซนติเมตร ทีมระบุโครงกระดูกของพระเจ้าซาร์ได้จากโหนกคิ้วที่นูนเด่นออกมา และสะโพกที่ผิดรูปเนื่องจากการขี่ม้า การทำฟันของพระมเหสีตรงกับโครงกระดูกอีกโครงหนึ่ง โครงกระดูกหนึ่งมีส่วนสูงตรงกับทาเทียนา ซึ่งสูงที่สุดในบรรดาพี่น้อง โครงกระดูกของโอลกามีหน้าผากกว้าง โครงกระดูกของพ่อครัวซึ่งเป็นผู้ใหญ่เพศชายถูกระบุได้ด้วยการตัดตัวเลือก และโครงกระดูกที่มีฟันกรามไม่สมบูรณ์ อาจเป็นของมาเรียหรือไม่ก็ของอนาสตาเซีย
นั่นคือโครงกระดูกทั้งหมดที่ค้นพบ แล้วโครงกระดูกของอเล็กเซย์ และของมาเรียหรืออนาสตาเซียล่ะอยู่ไหน? เป็นไปได้หรือไม่ว่าฟรานซิสกาอาจพูดความจริงเรื่องที่ว่าเธอคือเจ้าหญิงอนาสตาเซียที่รอดชีวิต

ต่อมาในปี 2007 ทีมงานหนึ่งกำลังค้นหาศพสูญหายใกล้ ๆ กับหลุมฝังศพของราชวงศ์โรมานอฟ ปรากฏว่าพวกเขาพบโครงกระดูกที่เสียหายอย่างหนักจากกรดและไฟ และผลตรวจดีเอ็นเอตรงกับราชวงศ์โรมานอฟ อเล็กเชย์และพี่สาวของพระองค์ถูกค้นพบแล้ว ปริศนาของราชวงศ์โรมานอฟสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้
ปัจจุบันเพียงแค่มีกะโหลกศีรษะหรือประวัติทันตกรรม เราก็สามารถระบุตัวตนของเหยื่อได้ กระดูกเชิงกรานและกะโหลกบ่งบอกได้ว่าเป็นเพศชายหรือเพศหญิง เราสามารถบอกอายุได้จากจำนวนกระดูกในร่างกาย เด็กเกิดมามีกระดูก 270 ชิ้น เมื่อเวลาผ่านไปกระดูกเหล่านี้จะเชื่อมติดกัน โดยผู้ใหญ่มีกระดูก 206 ชิ้น นอกจากนี้กระดูกยังบอกได้อีกด้วยว่าคนนั้นถนัดมือขวาหรือมือซ้าย กระดูกแขนข้างที่ถนัดมักมีความหนาแน่นสูงกว่าและยาวกว่าข้างที่ไม่ถนัดเล็กน้อย
กรุ๊ปเลือดและดีเอ็นเอ
ก่อนจะมีการใช้ดีเอ็นเอไขคดีอาชญากรรม นักสืบต้องเจอกับเรื่องยุ่งยากในการระบุให้ได้ว่าเลือดในที่เกิดเหตุเป็นเลือดของมนุษย์หรือสัตว์ ทุกวันนี้อาจจะดูแปลก ๆ หากใครมีเลือดสัตว์ติดอยู่บนเสื้อผ้า แต่ในอดีตผู้คนมีเสื้อผ้าแค่ไม่กี่ชิ้น พวกเขาไม่ค่อยซักผ้าและมักจะชำแหละสัตว์ด้วยตัวเอง ดังนั้นคนที่ทำไส้กรอกในห้องครัวที่บ้านของตัวเองเมื่อสัปดาห์ก่อน อาจถูกกล่าวหาว่าก่อเหตุฆาตกรรมเพราะมีคราบเลือดติดอยู่บนเสื้อผ้า แม้ว่าเขาจะเป็นผู้บริสุทธิ์ก็ตาม
ตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 เป็นต้นมา แพทย์ใช้การถ่ายเลือดเพื่อรักษาผู้ป่วยและผู้ได้รับบาดเจ็บ วิธีการรักษานี้ได้ผลกับผู้ป่วยบางคน แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่เกิดภาวะช็อกและเสียชีวิต นักวิทยาศาสตร์พบว่าบางครั้งเลือดมนุษย์ก็ทำปฏิกิริยากับเลือดมนุษย์ด้วยกัน จนจับตัวกันเป็นก้อน เลือดของคนหนึ่งไม่สามารถเข้ากันได้กับเลือดของอีกคน

คาร์ล แลนด์สไตน์เนอร์ นักวิทยาศาสตร์ชาวออสเตรีย ทดลองหยดเลือดของตัวเองลงไปในหลอดทดลองที่แต่ละหลอดมีเลือดของเพื่อนร่วมงานคนอื่นอยู่ ผลลัพธ์คือเลือดในหลอดทดลองบางหลอดจับตัวกันเป็นก้อน แต่บางหลอดก็ไม่เป็นแบบนั้น การทดลองนี้นำไปสู่การค้นพบกรุ๊ปเลือดของมนุษย์อย่างที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน
การจำแนกกรุ๊ปเลือดอาศัยสิ่งที่เรียกว่าแอนติเจนและแอนติบอดีที่อยู่ในเลือดของคนเรา แอนติเจนคือโปรตีนที่อยู่ในเซลล์เม็ดเลือดแดง ส่วนแอนติบอดีคือโปรตีนในพลาสมาเลือด เลือดกรุ๊ปเอมีแอนติเจนเอและแอนติบอดีบี เลือดกรุ๊ปบีมีแอนติเจนบีและแอนติบอดีเอ เมื่อเลือดกรุ๊ปเอและกรุ๊ปบีผสมกัน แอนติบอดีและแอนติเจนจะทำปฏิกิริยากัน ส่งผลให้เลือดจับตัวกันเป็นก้อน
ส่วนเลือดกรุ๊ปเอบีมีแอนติเจนทั้งเอและบี แต่ไม่มีแอนติบอดีเลย ทำให้ผสมกับกรุ๊ปเลือดอะไรก็ไม่เกิดการจับตัวเป็นก้อน ดังนั้นคนที่มีเลือดกรุ๊ปเอบีจึงสามารถรับเลือดจากผู้บริจาคกรุ๊ปเลือดอะไรก็ได้ ลักษณะนี้เรียกว่าผู้รับสากล (Universal Recipient)
ส่วนเลือดกรุ๊ปโอตรงข้ามกับเลือดกรุ๊ปเอบีครับ คือไม่มีแอนติเจน คนกรุ๊ปเลือดนี้เรียกว่าผู้ให้สากล (Universal Donor) ที่สามารถบริจาคเลือดให้ได้กับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นกรุ๊ปเอ บี เอบี หรือโอ แต่สามารถรับเลือดได้จากเฉพาะคนกรุ๊ปเลือดโอด้วยกันเท่านั้น
ช่วงทศวรรษที่ 1910 เริ่มมีการนำกรุ๊ปเลือดมาใช้ในการไขคดีอาชญากรรม กรุ๊ปเลือดที่ตรงกันสามารถใช้กดดันให้ผู้ก่อเหตุยอมรับสารภาพ แต่ความเป็นจริงโอกาสที่คนเราจะมีกรุ๊ปเลือดเดียวกันนั้นเป็นไปได้มากอยู่ครับ คนกรุ๊ปเลือดโอมีอยู่ประมาณ 45% คนกรุ๊ปเลือดเอมีอยู่ประมาณ 40% คนกรุ๊ปเลือดบีมีอยู่ประมาณ 11% ดังนั้นถ้าผู้ต้องสงสัยไม่ได้มีกรุ๊ปเลือดเอบีที่มีอยู่ประมาณ 4% ก็ไม่ได้ช่วยตัดจำนวนผู้ต้องสงสัยออกไปได้มากนัก
ต่อมาปี 1953 มีการค้นพบโครงสร้างดีเอ็นเอ โดยเจมส์ วัตสัน, ฟรานซิส คริก, โรซาลินด์ แฟรงคลิน และมอริซ วิลกินส์ การค้นพบนี้เผยให้เห็นถึงส่วนผสมที่ปรุงแต่งสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลกขึ้นมา ร่างกายของมนุษย์ประกอบไปด้วยเซลล์นับล้านล้านเซลล์ แต่ละเซลล์มีข้อมูลดีเอ็นเอทั้งหมดของบุคคลนั้นบรรจุอยู่
หลายสิบปีต่อมาหลังจากการค้นพบดังกล่าว ดีเอ็นเอก็เข้ามามีบทบาทในนิติวิทยาศาสตร์ ช่วงทศวรรษที่ 1980 อเล็ก เจฟฟรียส์ แห่งมหาวิทยาลัยเลสเตอร์ พัฒนาวิธีตรวจสอบเลือดเพื่อระบุลายพิมพ์ดีเอ็นเอ และเสนอว่าสามารถนำวิธีนี้ไปใช้ในการสืบสวนสอบสวนคดีอาชญากรรมได้
มาตรฐานของสหรัฐอเมริกากำหนดให้ตรวจสอบดีเอ็นเอ 13 ตำแหน่ง โอกาสที่ผลจะออกมาซ้ำกันคือหนึ่งในล้านล้านเท่านั้น ซึ่งมากกว่าจำนวนประชากรทั้งหมดบนโลก นี่คือวิธีที่เจ้าหน้าที่สืบสวนเชื่อมโยงตัวอย่างดีเอ็นเอไปหาผู้ต้องสงสัยเพียงหนึ่งรายได้แม่นยำมากกว่าการตรวจสอบกรุ๊ปเลือดครับ
การมาถึงของเทคโนโลยีการตรวจสอบดีเอ็นเอ ทำให้ช่วงหนึ่งคณะลูกขุนไม่กล้าตัดสินความผิดในคดีที่ไม่มีหลักฐานจากดีเอ็นเอ แม้ว่าจะมีหลักฐานที่หนักแน่นอื่น ๆ ก็ตาม และปัจจุบันเราสามารถตรวจสอบดีเอ็นเอได้ เพียงแค่มีเศษเซลล์ผิวหนังที่พบในรอยนิ้วมือเพียงหนึ่งรอย
การตรวจสอบดีเอ็นเอปริมาณเล็กน้อยเช่นนี้อาจตรวจพบดีเอ็นเอของคนที่ไม่เคยอยู่ในที่เกิดเหตุ เช่น ผมจับมือกับเพื่อน แล้วเพื่อนคนนั้นไปปล้นธนาคาร เซลล์ผิวหนังของผมที่ติดอยู่ที่มือของเพื่อน อาจไปติดอยู่บนตู้เซฟของธนาคารก็เป็นได้
แม้จะดูโบราณ แต่หลักฐานอย่างรอยเท้า ลายนิ้วมือ หรือเส้นผม ยังมีความสำคัญต่อการไขคดีอยู่ครับ ทุกวันนี้นิติวิทยาศาสตร์ช่วยนำความยุติธรรมคืนสู่เหยื่อ ช่วยพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผู้ที่ถูกกล่าวหาโดยมิชอบ ทำให้อาชญากรหลบซ่อนตัวได้ยากขึ้น หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่อ่านสนุกอีกเล่ม เป็นแนว True Crime เล่าบทเรียนจากนักนิติวิทยาศาสตร์จากคดีจริง เพื่อน ๆ คนไหนสนใจสามารถหามาอ่านได้ครับกับหนังสือ Blood, Bullets, and Bones รอยตายไม่โกหก เขียนโดย Bridget Heos ตีพิมพ์เป็นภาษาไทยโดยสำนักพิมพ์อินโฟเพรส ราคา 380 บาท
สนใจหนังสือ Blood, Bullets, and Bones: รอยตายไม่โกหก
สามารถสั่งซื้อได้ที่ Shopee: https://s.shopee.co.th/2g0rl9dYmZ
ซื้อผ่านลิงค์เป็นการสนับสนุนช่องครับ
Leave a comment