ทุกนาทีในชีวิตสามารถเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินที่ถึงขั้นอันตรายต่อชีวิต เหตุการณ์ฉุกเฉินไม่เลือกสถานที่เกิด ไม่ว่าจะเป็นบนถนน ในห้างฯ หรือแม้กระทั่งบ้านของพวกเราเอง การมีความรู้เบื้องต้นในการรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉิน ช่วยให้เราลดความเสี่ยงที่เหตุการณ์นั้นจะอันตรายถึงชีวิตได้ครับ
ไอติมเล่า ep นี้มาแนะนำเนื้อหาจากหนังสือ อยู่ให้ได้ ตายให้ดี: เรียนรู้นาทีชีวิตจากห้องฉุกเฉิน เขียนโดยคุณหมอสองท่านครับคือ หมอเจี๊ยบ พญ. ลลนา ก้องธรนินทร์ และหมอยุ้ย พญ. พรรณอร เฉลิมดำริชัย ในเล่มนี้เล่าว่าหมอฉุกเฉินต้องเจอกับอะไรบ้าง บางเหตุการณ์ก็เป็นประสบการณ์จริงของหมอทั้งสองท่าน สอนวิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น และชวนให้เรากล้าพูดถึงเรื่องความตาย เพื่อพร้อมรับมือกับช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นของเราเองหรือของคนในครอบครัวครับ
หมอฉุกเฉินต้องเจอกับอะไรบ้าง?
อาชีพหมอฉุกเฉินไม่ใช่แค่มีใบประกอบวิชาชีพโรคศิลป์แล้วจะได้รักษาคนไข้ แต่ต้องมีศิลปะในการจัดการสถานการณ์ที่ซับซ้อน เพราะนอกจากหมอฉุกเฉินต้องมีความรู้ด้านการแพทย์แล้ว ยังต้องรู้จิตวิทยาในการสื่อสารกับคนไข้ ในสถานการณ์แห่งความเป็นความตาย ต้องจัดลำดับความสำคัญ และต้องพร้อมรับมือกับเรื่องที่ไม่คาดฝัน

ทุกวินาทีในห้องฉุกเฉินมีผลต่อการรอดชีวิตหรือหยุดหายใจของคนไข้ หมอฉุกเฉินถูกบีบให้ตัดสินใจในเวลาที่สั้นที่สุด ในขณะที่มีข้อมูลเกี่ยวกับตัวคนไข้น้อยมาก ไม่มีโอกาสได้ซักประวัติ ไม่รู้ว่าคนไข้มีโรคประจำตัวหรือแพ้ยาอะไร แต่ทุกวินาทีมีชีวิตเป็นเดิมพัน หมอฉุกเฉินจึงต้องพยายามตัดสินใจแทนคนไข้ ในเวลาที่คนไข้พูดหรือขออะไรไม่ได้
ความสามารถในการคิดไวของหมอฉุกเฉิน ไม่ได้มากจากนิสัยรีบร้อนหรือกล้าได้กล้าเสีย แต่มาจากประสบการณ์สะสมที่เจอจากเคสจริงซ้ำ ๆ หรือเคสจำลอง การตัดสินใจของหมอฉุกเฉินคือการวิเคราะห์ข้อมูลให้ได้ไวที่สุดภายในข้อจำกัดของเวลา ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างความเสี่ยงและประโยชน์ที่คนไข้จะได้รับ
ทุกอุบัติเหตุไม่ว่าจะเป็นหกล้ม โดนรถชน หรือจมน้ำ หมอฉุกเฉินจะมีลำดับการประเมินที่ฝังอย่างแม่นยำอยู่ในสมอง กระบวนการนี้เรียกว่า Primary Survey ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของหมอฉุกเฉินทั่วโลก โดยหลักการนี้ประกอบไปด้วยลำดับการประเมิน 6 ขั้น เรียกย่อ ๆ ว่า XABCDE
X: Exsanguinating Hemorrhage
ตรวจดูการเสียเลือด ถ้าคนไข้มีแผลต้องทำการห้ามเลือด
A: Airway with c-spine protection
ตรวจดูทางเดินหายใจและกระดูกหลังส่วนคอ ถ้ามีอะไรมาปิดกั้นต้องทำให้โล่ง
B: Breathing with adequate oxygenation
ตรวจว่าคนไข้ยังหายใจอยู่ไหม จำเป็นต้องให้ออกซิเจนไหม
C: Circulation
ตรวจระบบการไหลเวียนเลือด ตรวจชีพจรความดัน
D: Disability
ตรวจการรู้สึกตัวและระบบประสาท เช่นการพูด หรือการตอบสนองของม่านตา
E: Exposure/Environment/Event
ตรวจการควบคุมอุณหภูมิร่างกายของคนไข้
ทั้ง 6 ขั้นตอนนี้คือลำดับชีวิตที่หมอฉุกเฉินต้องใช้ให้แม่น เพราะความแตกต่างระหว่างลำดับที่ถูกต้องและลำดับที่ผิดพลาด คือความเป็นกับความตายของคนไข้เลยครับ

แต่ถึงยังไงหมอก็คือมนุษย์คนหนึ่ง แม้จะสามารถประเมินโอกาสรอดชีวิตออกมาเป็นตัวเลขได้ แต่มนุษย์ไม่ใช่ตัวเลข และหัวใจของหมอก็รู้ดีว่าไม่ใช่ทุกอย่างจะตัดสินได้ด้วยข้อมูล บางสิ่งที่ถูกต้องทางวิชาการ อาจไม่ถูกใจในฐานะมนุษย์ แม้ไม่อาจรักษาให้หายได้ แต่หมอต้องไม่ทิ้งคนไข้ในวินาทีสุดท้ายของชีวิตพวกเขา
หมอเจี๊ยบเล่าประสบการณ์ไว้ว่าเคยรักษาคนไข้ที่เป็นชายวัย 60 กว่าปี ที่ป่วยเป็นโรคตับแข็งเพราะติดเหล้า เขาเคยมาห้องฉุกเฉินหลายครั้ง จนหมอเวรทุกคนรู้จัก และวันที่เกิดเหตุเขาก็มาห้องฉุกเฉินด้วยอาการเดิม คือความดันต่ำและอาเจียนเป็นเลือด
หมอเจี๊ยบรู้ว่านี่เป็นวัฏจักรของเขา เขาไม่ยอมเลิกเหล้าเสียที ถ้าวันนี้รักษาหาย วันหน้าเขาก็จะกลับมาด้วยอาการเดิมอีก แต่หมอเจี๊ยบรู้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์เลือกว่าจะช่วยหรือไม่ช่วย หมอจึงช่วยรักษาเขาอย่างเต็มที่ โดยให้เลือดไปหลายถุง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่รอด แม้เขาจะไม่เปลี่ยนการใช้ชีวิต แต่หมอเจี๊ยบก็ไม่เปลี่ยนหัวใจที่อยากจะช่วยคนไข้ครับ

บางครั้งหมอฉุกเฉินต้องเจอกับการตัดสินใจที่ทำใจลำบาก หมอเจี๊ยบเล่าอีกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วยโควิดระบาด โรงพยาบาลเตียงเต็ม อุปกรณ์ไม่พอ เครื่องช่วยหายใจมีอยู่จำกัด ตอนนั้นหมอถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องทำสิ่งที่ไม่มีใครอยากทำ คือการต้องเลือกว่าจะให้ใครได้ใส่เครื่องช่วยหายใจ
ตอนนั้นมีคนไข้ที่เป็นหญิงชราอายุ 83 ปี ซึ่งเป็นแม่ของเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลที่หมอเจี๊ยบทำงานอยู่ เจ้าหน้าที่คนนั้นมาขอร้องทั้งน้ำตาว่าขอให้แม่ของเธอได้ใส่เครื่องช่วยหายใจได้ไหม แม้ในใจหมอเจี๊ยบจะอยากตอบไปว่าได้ แต่ตอนนั้นมีคนไข้อีกคนที่ต้องการใช้เครื่องช่วยหายใจเหมือนกัน เธออายุ 35 ปี และมีลูกเล็กที่ต้องการให้แม่กลับไปเลี้ยงดู
ตอนนั้นหมอเจี๊ยบเลือกให้หญิงที่มีลูกเล็กได้ใช้เครื่องช่วยหายใจครับ ทุกวันนี้หมอเจี๊ยบยังจำแววตาและน้ำเสียงของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลคนนั้นได้ชัด หมอเจ็บปวดกับการเลือกในครั้งนี้ ไม่น้อยไปกว่าเจ้าหน้าที่ที่สูญเสียแม่เลยครับ
บางครั้งหมอมีเจตนาที่ดีต่อคนไข้ แต่ญาติคนไข้กลับไม่เข้าใจ และคิดว่าหมอไม่ใส่ใจที่จะรักษา ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าน้อยใจมาก หมอเจี๊ยบเล่าเรื่องคนไข้คนหนึ่งที่ถูกงูกัดในตอนกลางคืน งูเลื้อยหนีไปได้ เลยไม่รู้ว่าเป็นงูสายพันธุ์อะไร และอาการของคนไข้ยังไม่ถึงขั้นต้องให้ยาต้านพิษงู เพราะยานี้อันตราย ผลข้างเคียงสูง จึงต้องชั่งใจให้ดีว่าจะให้ยาเผื่อไว้หรือรอให้แน่ใจก่อนค่อยฉีดยาให้
วันนั้นหมอเจี๊ยบเลือกที่จะยังไม่ให้ยาต้านพิษงูแก่คนไข้ เพราะข้อบ่งชี้ยังไม่ครบ ญาติคนไข้ที่คิดว่าคนโดนงูกัดต้องรีบได้รับยาต้านพิษ จึงโวยวายกับหมอว่าหมอใจเย็นเกินไป แม้คนไข้คนนั้นจะรอดชีวิต แต่การเลือกที่จะไม่ทำบางอย่างของหมอ กลับถูกเหมารวมว่าเป็นการไม่ใส่ใจ และหมอหลายคนต้องเจ็บปวดเพราะเรื่องนี้ครับ
การปฐมพยาบาลผู้ป่วยฉุกเฉินเบื้องต้น
ในกรณีที่มีผู้ป่วยฉุกเฉิน เช่น หมดสติ ไม่หายใจ หรือหัวใจหยุดเต้น สิ่งที่ต้องทำเป็นอย่างแรกเพื่อปฐมพยาบาลคือการทำ CPR หรือการปั๊มหัวใจให้กับผู้ป่วย เหตุการณ์ฉุกเฉินเกิดขึ้นอย่างกระทันทันแบบไม่เลือกสถานที่ ไม่ว่าจะเป็นในโรงพยาบาล ริมถนน หรือแม้แต่ในบ้านของผู้ป่วยเอง บางครั้งเราต้องปั๊มหัวใจทั้งที่ยังไม่มั่นใจเต็มร้อย ไม่แนใจว่าเขาจะตอบสนองและรอดหรือเปล่า แต่ถึงยังไงเราควรเลือกที่จะปั๊มหัวใจเอาไว้ก่อน เพราะหากรออาจจะสายเกินไปสำหรับการช่วยชีวิตผู้ป่วยครับ
ในหลายเคสการทำ CPR ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 30 นาทีหรือมากกว่านั้น และสำหรับคนทั่วไปที่ไม่มีพื้นฐานด้านการแพทย์ การช่วยปฐมพยาบาลไม่จำเป็นต้องเป่าปากหรือผายปอดครับ เพราะโอกาสทำผิดพลาดสูง สิ่งสำคัญจริง ๆ คือการกดหน้าอกถูกตำแหน่ง และกดแรงพอที่จะให้เลือดไหลเวียนได้อย่างต่อเนื่อง

สำหรับคนทั่วไป หนังสือแนะนำขั้นตอนการทำ CPR อย่างถูกวิธีไว้ดังนี้ครับ
- ตรวจสอบว่าผู้ป่วยไม่ตอบสนอง และไม่หายใจหรือหายใจเฮือก
- โทร 1669 หรือโทรเรียกรถพยาบาลที่ใกล้ที่สุด หรือขอให้คนรอบข้างโทรทันที
- เริ่มกดหน้าอก:
– วางส้นมือข้างหนึ่งบนกลางหน้าอก วางมืออีกข้างบนมือด้านล่าง แล้วประสานนิ้วมือ
– กดหน้าอกลึกประมาณ 5-6 ซม. ด้วยจังหวะ 100-120 ครั้งต่อนาที
– ปล่อยให้หน้าอกคลายเต็มที่ก่อนกดซ้ำแต่ละครั้ง
*ถ้าเป็นไปได้ให้เปลี่ยนคนกดทุก 2 นาที - ถ้ามีเครื่อง AED ให้นำมาใช้ทันทีเมื่อพร้อม
- กดหน้าอกไปเรื่อย ๆ จนกว่าผู้ป่วยจะหายใจได้เองหรือรู้สึกตัว
- ถ้าผู้ป่วยกลับมาหายใจได้ปกติให้จัดอยู่ในท่าพักฟื้น โดยให้ผู้ป่วยนอนราบลงบนพื้นแข็ง
เราอาจเคยเห็นในหนังหรือในละครว่าการทำ CPR ต้องทำคู่กับการเป่าปากหรือการผายปอด แต่คุณหมอบอกว่าไม่ต้องทำ เพราะการกดหน้าอกให้ลึกอย่างเหมาะสมจะมีอากาศไหลเวียนเล็กน้อยอยู่แล้ว และหลายคนกลัวว่าทำ CPR แล้วคนป่วยจะซี่โครงหัก แต่คุณหมอบอกว่าซี่โครงหักอาจเกิดจากการวางมือผิดตำแหน่ง ไม่ได้วางบนกระดูกหน้าอก อย่างไรก็ตามถ้าซี่โครงหักก็ให้ปั๊มหัวใจต่อเนื่องเหมือนเดิม
เพื่อน ๆ คงเคยเห็นเครื่อง AED วางไว้ตามสถานที่สาธารณะ เครื่องนี้มีชื่อเต็มว่า Automated External Defibrillator หรือเครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจแบบอัตโนมัติ เป็นอุปกรณ์ที่สามารถอ่านและวิเคราะห์คลื่นไฟฟ้าหัวใจของผู้ป่วย โดยถ้าเครื่องตรวจพบว่าคลื่นไฟฟ้าหัวใจของผู้ป่วยต้องได้รับการรักษาแบบช็อกไฟฟ้า เครื่องจะบอกให้ผู้ปฐมพยาบาลกดปุ่มช็อกไฟฟ้า ถ้าเครื่องไม่บอกให้ช็อกมันจะสั่งให้ผู้ปฐมพยาบาลปั๊มหัวใจผู้ป่วยต่อไป และทุก ๆ 2 นาที เครื่องจะทำการวิเคราะห์ใหม่ ทุกคนสามารถใช้เครื่องนี้ได้ ไม่ต้องเป็นหมอก็สามารถใช้ได้ เพราะเครื่องจะสั่งการเราทีละขั้นตอน กรณีที่ควรใช้เครื่อง AED คือในผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัว หมดสติ ไม่ว่าจะจากสาเหตุใดก็ตาม

ขั้นตอนการใช้เครื่อง AED
- เปิดเครื่อง
- แปะแผ่น pads ที่หน้าอกทั้งซ้ายและขวา
- ปล่อยให้เครื่องวิเคราะห์ประมาณ 5-15 วินาที โดยช่วงนี้ห้ามสัมผัสตัวผู้ป่วย
- ถ้าเครื่องสั่งให้ช็อก ให้ถอยห่างจากผู้ป่วย และดูให้แน่ใจว่าไม่มีใครสัมผัสตัวผู้ป่วยแล้วจึงกดปุ่มช็อก ถ้าเครื่องสั่งว่า “Start CPR” หรือ “No Shock is needed” ให้ทำการปั๊มหัวใจผู้ป่วย
ข้อควรระวัง
- อย่าลืมเปิดเครื่องก่อนเป็นอันดับแรก
- ทำตามคำสั่งเสียงจากเครื่องทุกขั้นตอน
- ห้ามโดนตัวผู้ป่วยระหว่างที่เครื่องทำการวิเคราะห์ และช่วงที่จะกดปุ่มช็อก
- ถ้าผู้ป่วยตัวเปียกน้ำ ให้เช็ดบริเวณหน้าอกให้แห้ง ก่อนจะแปะแผ่น pads
เคสเลือดออกหนักแบบฉับพลันมักมาแบบไม่ให้เตรียมใจ อาจจะเป็นอุบัติเหตุรถชน โดนของมีคม หรือเลือดออกจากภายในโดยไม่มีแผลภายนอกเลย วินาทีนั้นสิ่งที่ต้องทำคือการห้ามเลือด เพราะเลือดเปรียบเสมือนเส้นชีวิต เลือดมีหน้าที่ลำเลียงออกซิเจนและสารอาหารไปยังอวัยวะต่าง ๆ ทั่วร่างกาย ถ้าเลือดไหลออกจากร่างกายมากเกินไป อวัยวะสำคัญจะเริ่มล้มเหลว ภายในไม่กี่วินาทีหัวใจจะหยุดเต้น ถึงแม้ว่าเราจะไม่ใช่หมอ แต่เราสามารถช่วยห้ามเลือดให้ผู้ป่วยได้ครับ
วิธีเบื้องต้นในการห้ามเลือด
- ใช้ผ้าสะอาด หรือเสื้อผ้าแห้ง ๆ กดลงตรงจุดที่เลือดออก กดลงไปตรง ๆ ให้แรงพอที่จะกดเส้นเลือดได้ โดยไม่ต้องเปิดดูว่าเลือดหยุดหรือยัง ถ้าเลือดยังไม่หยุดให้หาผ้าสะอาดมากดเพิ่ม โดยไม่ต้องเอาผ้าเก่าออก
- ถ้ามีผ้ายืดหรือผ้าพันแผล ให้พันรอบแผลเพื่อเพิ่มแรงกด แต่อย่าพันแน่นเกินจนเลือดไม่ไหลเวียน
- อย่ารอรถพยาบาล ถ้าอาการหนัก มีเลือดพุ่งออกไม่หยุด มักเกิดจากหลอดเลือดแดงฉีกขาด ให้กดห้ามเลือดและรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลเองทันที

นอกจากนี้ในหนังสือยังแนะนำวิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้นสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉินอื่น ๆ อีกด้วยครับ
สารเคมีเข้าตา
- ล้างตาด้วยน้ำสะอาดที่ไหลผ่านต่อเนื่อง 20 นาที
- ห้ามขยี้ตา
- รีบพบแพทย์โดยเร็วที่สุด
กินยาเกินขนาด/กินสารพิษ
- ห้ามกระตุ้นให้อาเจียน
- ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าการดื่มนมหรือน้ำช่วยเจือจางพิษได้ และอาจกระตุ้นให้อาเจียน จึงไม่แนะนำให้ดื่มนมหรือน้ำ
- เก็บขวดยาหรือชื่อสารไว้ให้หมอ
สำลัก
- หากยังไอได้ ให้ไอแรง ๆ เพื่อเอาสิ่งแปลกปลอมออก
- หากไอไม่ได้ ไม่มีเสียง มีริมฝีปากเขียว ให้ทำ Heimlich maneuver ซึ่งคือการกอดรัดเอวผู้ป่วย แล้วกดแรง ๆ ที่ท้องเหนือสะดือใต้ลิ้นปี่
โดนสัตว์กัด
- ล้างแผลด้วยน้ำและสบู่ให้สะอาด
- ห้ามเลือดโดยใช้ผ้าสะอาดกดแรง ๆ
- รีบพาไปโรงพยาบาล
- หากโดนสัตว์ที่อาจเป็นพาหะนำโรคพิษสุนัขบ้ากัด ต้องได้รับวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้าและบาดทะยัก
น้ำร้อนลวก หรือโดนไฟไหม้
- ล้างด้วยน้ำอุณหภูมิห้องทันที
- ปิดแผลด้วยผ้าก๊อซหรือผ้าสะอาด แต่อย่าใช้สำลี
- หากมีตุ่มพอง ไม่ควรเจาะตุ่ม
- หากเป็นแผลลึกหรือกว้าง ให้รีบนำส่งโรงพยาบาล
ไฟดูด
- อย่าแตะตัวผู้ป่วยทันที
- รีบตัดไฟ
- ใช้วัสดุที่ไม่เป็นสื่อนำไฟฟ้าแยกตัวผู้ป่วยออกมา
- โทร 1669 หากคนป่วยไม่หายใจให้ปั๊มหัวใจระหว่างรอเจ้าหน้าที่

เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน หลายคนมักจะลังเลว่า ควรโทรเรียกรถพยาบาลเลยหรือยัง? จะดูเวอร์ไปหรือเปล่า? แต่ในเหตุการณ์ฉุกเฉินความเร็วสำคัญกว่าความแน่ใจครับ การโทรเร็วเกินไปดีกว่าช้าเกินไปเสมอ
การโทรขอความช่วยเหลือ ไม่ใช่แค่แจ้งว่ามีคนป่วย แต่ต้องให้ข้อมูลที่ทีมกู้ชีพนำไปใช้ตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ ก่อนโทรสายด่วน 1669 ควรสังเกตและรวบรวมข้อมูลเบื้องต้นดังนี้ครับ
- เกิดอะไรขึ้นกับคนไข้ เช่น ล้มหมดสติ โดนรถชน โดนไฟดูด
- สถานที่เกิดเหตุ เช่น หน้าปากซอย ห้าง โรงเรียน พร้อมบอกจุดสังเกต
- จำนวนผู้บาดเจ็บ
- อาการหลักของผู้ป่วย เช่น ยังรู้สึกตัวไหม หายใจอยู่ไหม มีเลือดออกไหม
- ความเสี่ยงอื่นในบริเวณนั้น เช่น มีไฟไหม้ เกิดแก๊สรั่ว หรือเหตุอาชญากรรม
- มีใครเริ่มปฐมพยาบาลเบื้องต้นแล้วหรือยัง
หลายคนเข้าใจว่าแค่ตกบันได เป็นลม หรือปวดหัวก็โทรเรียก 1669 ได้ แต่การช่วยเหลือฉุกเฉินควรสงวนไว้สำหรับเหตุที่คุกคามชีวิตทันที การใช้ผิดวัตถุประสงค์อาจทำให้ผู้ป่วยฉุกเฉินจริง ๆ ไม่ได้รับการช่วยเหลือทันเวลาครับ
6 สัญญาณเตือนที่ควรโทร 1669 ทันที
- หมดสติ ไม่รู้สึกตัว
- หายใจผิดปกติ หรือไม่หายใจ
- มีเลือดออกมาก ห้ามเลือดไม่อยู่
- เจ็บแน่นหน้าอก ปวดร้าวไปที่แขนหรือกราม
- แขนขาอ่อนแรงเฉียบพลัน พูดไม่ชัด
- อุบัติเหตุรุนแรง เช่น โดนรถชน ถูกไฟไหม้ หรือตกจากที่สูง
หากเกิดอาการเหล่านี้ให้รีบโทร 1669 ทันที และแจ้งข้อมูลให้ชัดเจน ทีมกู้ชีพจะได้มาถึงเร็วและเตรียมพร้อมได้ตรงจุดครับ
การวางเพื่อรับมือกับช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต
ตอนที่เริ่มเรียนหมอ หมอยุ้ยเชื่อเหมือนใครหลายคนว่าเป้าหมายของหมอคือการรักษาให้หาย และทำให้ผู้ป่วยมีชีวิตยืนยาวที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป หมอยุ้ยพบว่าแม้จะพยายามสักแค่ไหน แต่โรคก็รักษาไม่หายหรือร่างกายของผู้ป่วยก็ไม่กลับมาเหมือนเดิม แม้จะยื้อชีวิตได้อีกหนึ่งวัน แต่หนึ่งวันนั้นกลับเต็มไปด้วยท่อ หลอด ยา และความทรมาน วันหนึ่งหมอยุ้ยจึงตั้งคำถามใหม่ว่า การยืดชีวิตออกไป คือการยืดคุณภาพชีวิตหรือแค่ยืดระยะเวลา

เมื่อเข้าใจธรรมชาติของชีวิต หมอยุ้ยจึงหันมาศึกษาแนวทางการดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care) ซึ่งเป็นแนวทางการรักษาที่เน้นความสุข ความสงบ และศักดิ์ศรีของคนไข้ในช่วงสุดท้ายของชีวิต โดยการดูแลแบบประคับประคองไม่ใช่การรักษาแค่ตัวโรค แต่เป็นการรักษา “คน” ที่มีทั้งร่างกายและจิตใจ
หมอยุ้ยเลือกที่จะรักษาอาการเจ็บ เหนื่อย หรือปวดให้ผู้ป่วย เพื่อลดความทรมานลง และให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่เลือกที่จะไม่รักษาและไม่ทำอะไรที่ไม่เกิดประโยชน์กับตัวผู้ป่วย เพียงเพื่อจะยื้อเวลาหรือลมหายใจที่มีแต่เจ็บปวดของเขา โดยทั้งหมดหมอยุ้ยยึดตามความต้องการของผู้ป่วยเป็นหลักครับ
จากประสบการณ์ของหมอยุ้ย หลายครั้งหมอพบว่าคนไข้พร้อมแล้วที่จะจากไปอย่างสงบ แต่ญาติยังไม่พร้อมปล่อยให้ไป บางคนไม่เคยดูแลพ่อแม่เลย แต่พอถึงเวลาที่พ่อแม่จะจากไป กลับกลายเป็นโรคกตัญญูเฉียบพลัน ต้องการให้หมอทำทุกอย่าง ยื้อทุกทาง โดยไม่สนใจว่าพ่อแม่จะทรมานแค่ไหน คุณภาพชีวิตในวาระสุดท้ายจะเป็นยังไง พวกเขาต้องการเพียงแค่จะรักษาใจตัวเองที่ยังไม่พร้อมให้พ่อแม่จากไปเท่านั้นครับ
หลายครั้งญาติเลือกที่จะให้หมอรักษาให้เต็มที่ ทั้งที่ผู้ป่วยไม่ได้ต้องการ บางคนเลี่ยงไม่อยากพูดถึงความตาย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราทุกคนจะไม่ตาย การที่ทั้งญาติและคนไข้มีเวลาวางแผนและตัดสินใจร่วมกันในช่วงเวลาที่มีสติ จึงดีกว่าการต้องตัดสินใจในสถานการณ์เร่งด่วนแน่นอนครับ

หมอยุ้ยได้เล่าประสบการณ์ของตัวเองในการรับมือกับการจากไปของคนในครอบครัว คุณพ่อของหมอยุ้ยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ หลังผ่าตัดเอามะเร็งออก คุณพ่อก็สามารถใช้ชีวิตต่อมาได้อีกประมาณ 7 ปี แล้วมะเร็งก็กลับมาและลามไปที่ตับ คุณพ่อเริ่มรักษาด้วยคีโมอีกครั้ง ในใจหมอคิดว่าผลลัพธ์คงเหมือนครั้งที่แล้วที่ทำคีโม 12 ครั้งแล้วมะเร็งก็หาย
แต่ครั้งนี้แม้คุณพ่อจะทำคีโมไปถึง 30 ครั้ง อาการก็ยังไม่ดีขึ้น สุดท้ายร่างกายอ่อนล้า ติดเชื้อ และไม่ตอบสนองต่อการรักษา หมอยุ้ยจึงตัดสินใจในฐานะลูกว่าจะเลือกแนวทางการรักษาแบบประคับประคอง เพื่อให้พ่อได้ใช้ชีวิตที่เหลืออย่างมีความหมาย
หมอยุ้ยถามคุณพ่อว่าถ้าเลือกได้พ่ออยากเสียชีวิตที่ไหน คุณพ่อตอบว่าที่บ้าน หลังจากนั้นคือช่วงเวลา 5 เดือนที่คุณพ่อได้ใช้ชีวิตอยู่ที่บ้าน ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ ได้คุย ได้หัวเราะ และได้ใช้เวลากับครอบครัว จนถึงวันสุดท้ายของชีวิตก็ไม่มีเรื่องอะไรค้างคาใจ นับว่าเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญที่หมอยุ้ยไม่มีวันลืม

แม้เราเลือกวันตายไม่ได้ แต่เราเลือกได้ว่าจะใช้ชีวิตแบบไหนในช่วงสุดท้ายของชีวิต การวางแผนชีวิตช่วงสุดท้าย หรือที่เรียกว่า Advance Care Planning ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวหรือเป็นลางร้าย แต่คือการเตรียมตัวอย่างมีสติเหมือนกับการเตรียมตัวสอบ หรือเก็บกระเป๋าก่อนเดินทางไกลครับ
หนึ่งในรูปแบบสำคัญของ Advance Care Planning คือการเขียน Living Will หรือพินัยกรรมชีวิต ซึ่งเป็นเอกสารที่แสดงเจตนาล่วงหน้าว่าเราต้องการหรือไม่ต้องการให้แพทย์ทำอะไรเมื่อเจ็บป่วยรุนแรง ในขณะที่เราไม่สามารถสื่อสารได้แล้ว
Living Will หรือพินัยกรรมชีวิต ควรเขียนตอนที่มีสติสัมปชัญญะครบถ้วน อย่ารอจนเกิดเหตุแล้วค่อยคิด เพราะอาจไม่มีโอกาส และการพูดถึงการเจ็บปวดและความตายไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่ควรพูดได้เป็นเรื่องธรรมดาในครอบครัวครับ
Living Will เปลี่ยนแปลงได้เสมอ ถ้าเขียนไว้แล้วเกิดเปลี่ยนใจก็สามารถแก้ไขใหม่ได้ ไม่มีอะไรล็อกตายตัว ถ้าไม่รู้จะเริ่มต้นเขียน Living Will หรือพินัยกรรมชีวิตยังไงดี สามารถเริ่มได้ง่าย ๆ ด้วยสมุดเบาใจ ซึ่งเป็นเอกสารแจกฟรีที่ออกแบบมาให้ทุกครอบครัวเริ่มต้นพูดคุยเรื่องการเจ็บป่วยและการตาย โดยสามารถดาวน์โหลดได้ที่ https://baojai.co ครับ
หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มเล็ก ๆ หนาแค่ 144 หน้าเท่านั้นเองครับ แต่อัดแน่นไปด้วยเรื่องราวและสาระความรู้มากมาย แต่ถึงอย่างนั้นกลับไม่ได้อ่านยาก ในเล่มมีการ์ตูนสั้นประกอบเรื่องราว มีอินโฟกราฟิกที่ช่วยให้เข้าใจเนื้อหาง่ายขึ้น ใครสนใจสามารถหามาอ่านได้ครับกับหนังสือ อยู่ให้ได้ ตายให้ดี: เรียนรู้นาทีชีวิตจากห้องฉุกเฉิน ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ขายหัวเราะ Studio ราคา 215 บาทครับ
สนใจหนังสือ อยู่ให้ได้ ตายให้ดี: เรียนรู้นาทีชีวิตจากห้องฉุกเฉิน
สามารถสั่งซื้อได้ที่ Shopee: https://s.shopee.co.th/5VN0LUhMcI
ซื้อผ่านลิงค์เป็นการสนับสนุนช่องครับ
Leave a comment