คนที่มีบุคลิกเก็บตัวสามารถประเมินความรู้สึกคนรอบข้างได้มากกว่าคนที่เปิดเผย เพราะคนที่มีบุคลิกเก็บตัวอ่อนไหวต่อแรงกระตุ้นจากภายนอก จึงมักเป็นผู้ฟังที่ดีมากกว่าพูด ถ้านำข้อดีนี้มาใช้ คนอื่นอาจรู้สึกว่าคนที่มีบุคลิกเก็บตัวเป็นคนที่พึ่งพาได้ เนื่องจากอ่านใจฝ่ายตรงข้ามออก
การสร้างคอนเน็กชั่นไม่ใช่พรสวรรค์ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด แต่คือเทคนิคและการลงมือปฎิบัติ
ศ.อดัม แกรนท์ นักวิชาการที่เป็นที่ปรึกษาให้กับ กูเกิล วอลท์ ดิสนีย์ และองค์การสหประชาชาติ ได้ทำวิจัยโดยใช้ตนทำงานด้านการขายมาเป็นกลุ่มตัวอย่างจำนวน 340 คน
แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ คนประเภทเข้าหาสังคม คนที่มีบุคลิกเก็บตัว และคนที่อยู่กึ่งกลาง หลังจากนั้นเก็บสถิติผลงานการขายของผู้ร่วมวิจัยเป็นเวลา 3 เดือน พบว่า ทำยอดขายอันดับ 1 คนที่อยู่กึ่งกลาง อันดับ 2 คนที่มีบุคลิกเก็บตัว อันดับ 3 คนประเภทเข้าหาสังคม
เรามักคิดว่าโดยทั่วไปพนักงานขายที่เป็นคนเข้าหาสังคม กระตืนรือร้นในการขายน่าจะทำยอดขายได้ดี แต่ผลการวิจัยกลับให้ผลลัพธ์ที่ต่างออกไป ศ. แกรนท์ วิเคราะห์ไว้ดังนี้
1 พนักงานขายที่เป็นประเภทชอบเข้าหาสังคมมักคิดอะไรจากมุมมองของตัวเองมากกว่าลูกค้า
2 พนักงานขายประเภทนี้มีแนวโน้มภาพลักษณ์ดูแย่ในสายตาลูกค้า เพราะยิ่งกระตือรือร้นเท่าไหร่ ลูกค้ายิ่งมองว่าเป็นคนเชื่อมันในตัวเองสูงเกิน เอาแต่พูดเรื่องของตัวเอง ไม่ฟังเราบ้างเลย แล้วลูกค้าก็จะผละออกห่าง
การมีสายสัมพันธ์กว้างขวาง ใช่ว่าจะทำให้มีความสุขเสมอไป
ในปี 2004 บ.แกลอัพ ซึ่งเป็นบริษัทสำรวจความเห็นของคนอเมริกัน ได้สำรวจเกี่ยวกับระดับความสุขที่ได้รับจากเพื่อน โดยถามกลุ่มตัวอย่างจำนวนมากถึง 5 ล้านคน พบว่า
แค่มีเพื่อนรู้ใจในที่ทำงานอย่างน้อย 3 คน ความพอใจในชีวิตเพิ่มขึ้นถึง 96% พอใจในเงินเดือนตัวเองเพิ่มขึ้น 200%
ถ้าสนใจเพิ่มเติม สามารถไปฟัง podcast ที่ผมทำไว้ได้ที่ youtube