เล่าเรื่องสไตล์พิกซาร์ - เสริมพลังให้ธุรกิจคุณ ด้วยเรื่องเล่าที่ทรงพลัง

เล่าเรื่องสไตล์พิกซาร์ - เสริมพลังให้ธุรกิจคุณ ด้วยเรื่องเล่าที่ทรงพลัง

หากพูดถึงสตูดิโอสร้างภาพยนตร์แอนนิเมชันอันดับหนึ่งในใจของหลายคนคงเป็นค่ายพิกซาร์ ที่มีผลงานกินใจอย่าง Toy Story, Monster Inc., Finding Nemo, Cars, Ratatouille, UP และอื่น ๆ อีกมากมาย หัวใจสำคัญอะไรที่ทำให้ผลงานจากค่ายพิกซาร์โดดเด่นกว่างานของค่ายอื่น หัวใจสำคัญที่ว่านั้นคือเรื่องเล่าที่ทรงพลังครับ

ไอติมอ่าน ep นี้จะมาแนะนำเนื้อหาจากหนังสือ The Best Story Wins: เล่าเรื่องชนะใจ ธุรกิจชนะเลิศ เขียนโดย แมทธิว ลูห์น หนึ่งในทีมเขียนบทภาพยนตร์ให้พิกซาร์มากว่า 25 ปี แมทธิวมีส่วนร่วมกับพิกซาร์มาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งสตูดิโอ เขาเริ่มงานที่นี่ในตำแหน่งแอนนิเมเตอร์ให้กับภาพยนตร์เรื่อง Toy Story ภาคแรก ก่อนจะผันตัวมาเป็นหนึ่งในทีมเขียนบทในภาพยนตร์เรื่อง Toy Story 2 เป็นต้นมา

พลังของเรื่องเล่า

ทักษะการเล่าเรื่องไม่ได้จำกัดเฉพาะคนในแวดวงภาพยนตร์เท่านั้นนะครับ แมทธิวบอกว่า ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของธุรกิจ เป็นนักการตลาด เป็นพนักงานขายหน้าร้าน หรือขายของออนไลน์ การมีทักษะเล่าเรื่องสามารถสร้างพลังให้กับธุรกิจของคุณได้ เรื่องเล่าที่ถูกเล่าอย่างดีจะกลายเป็นที่จดจำ สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนลงมือทำอะไรสักอย่าง และช่วยให้สื่อสารได้อย่างมีน้ำหนักและน่าเชื่อถือ

เวลาที่คุณเล่าสถิติหรือข้อมูลดิบ โดยที่ไม่มีเรื่องราวมารองรับ หลังคุณเล่าจบแล้วผู้ฟังจะจำสิ่งที่คุณเล่าได้แค่ 5% เท่านั้น แต่หากผูกเรื่องราวหรือเหตุการณ์ไปกับข้อมูลนั้น คนจะจำข้อมูลได้มากขึ้น โดยงานวิจัยของ โรม บรูเนอร์ นักจิตวิทยา พบว่าคนสามารถจดจำข้อมูลได้มากขึ้นเป็น 65% เมื่อร้อยเรียงเรื่องราวเข้าไป และไม่เพียงแต่จำข้อมูลได้เท่านั้นนะครับ คนฟังยังรู้สึกเชื่อมโยงกับแบรนด์มากขึ้นด้วยครับ

ในภาพยนตร์ของพิกซาร์เรื่อง Inside Out ได้บอกเอาไว้ว่า ทำไมความทรงจำบางอย่างถูกลืมไปเลย แต่บางความทรงจำยังคงจำได้แม่น นั่นก็เพราะความทรงจำที่มาพร้อมกับเรื่องราวหรือเหตุการณ์อะไรสักอย่างจะติดตรึงอย่างเหนียวแน่นนั่นเองครับ

และหากย้อนกลับไปในยุคดึกดำบรรพ์ สมัยที่มนุษย์กำลังวิวัฒนาการด้านการพูด มนุษย์จะสื่อสารให้รู้กันในกลุ่มถึงเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตาย เช่น ฉันถูกเสือไล่ล่ามา อย่าไปใกล้ตรงนั้นนะ, พืชชนิดนี้มีพิษ อย่าเอามากินล่ะ หรือสอนวิธีล่าวัวไบซัน การเล่าเรื่องเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์เราอยู่รอดมาถึงทุกวันนี้

เรื่องเล่าที่ทรงพลังต้องทำให้คนฟังรู้สึกเหมือนนั่งรถไฟเหาะ โดยเล่นกับจังหวะอารมณ์เศร้าและสุขมาอยู่ต่อกัน หากเรื่องเล่าของคุณมีทั้งขึ้นทั้งลง มีตึงเครียดสลับกับผ่อนคลาย ถ้าทำได้นั่นคือคุณกำลังสร้างเรื่องราวที่ยอดเยี่ยมที่ทำให้คนฟังนั่งไม่ติดเก้าอี้อยู่ครับ

ตัวอย่างเช่นฉากเปิดของภาพยนตร์พิกซาร์เรื่อง UP ที่ในช่วงแรกเราได้เห็นคู่หนุ่มสาวตกหลุมรักกัน แต่งงานกัน สร้างบ้านร่วมกัน ทำงานด้วยกัน และฝันอยากจะมีลูกด้วยกัน เป็นช่วงเวลาที่มีความสุข เต็มไปด้วยความหวังในอนาคต จากนั้นพอเราเจอฉากที่โรงพยาบาลซึ่งทั่งคู่พบว่าฝ่ายหญิงไม่สามารถจะมีลูกได้ เราก็น้ำตาคลอเพราะเห็นอกเห็นใจตัวละคร จากนั้นเราได้เห็นฝ่ายชายให้กำลังใจฝ่ายหญิงโดยการเอาหนังสือเกี่ยวกับการเดินทางท่องเที่ยวมาให้ พวกเขาวางแผนจะไปเที่ยวที่แอฟริกาใต้ให้ได้ในสักวันหนึ่ง ฉากนั้นทำให้เรากลับมายิ้มได้ แต่แล้วก็พบว่าทั้งคู่เก็บเงินไม่พอที่จะไปเที่ยวได้ ทั้งคู่เริ่มแก่ลงเรื่อย ๆ จนฝ่ายหญิงจากโลกนี้ไปเสียก่อน เมื่อถึงจุดนี้ก็ไม่มีใครอยากลุกไปจากเก้าอี้ ทุกคนอยากรู้ว่าชีวิตของชายชราจะเป็นยังไงต่อ นี่คือตัวอย่างเรื่องเล่าที่ทรงพลังซึ่งพาอารมณ์ผู้ชมขึ้นลงราวกับกำลังนั่งรถไฟเหาะครับ

การตัดสินใจทุกอย่างในชีวิตของเรา ตั้งแต่เรื่องที่ว่าจะใส่รองเท้าคู่ไหน จะกินอะไร ไปจนถึงจะออกเดตกับใคร ล้วนตัดสินใจโดยมีพื้นฐานมาจากอารมณ์ว่าเรากำลังรู้สึกยังไง การตัดสินใจไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่จะเกิดขึ้นในสมองซีกขวาซึ่งเป็นด้านที่ใช้อารมณ์ จากนั้นสมองซีกซ้ายที่เป็นด้านการใช้เหตุผลจะมาพิจารณาการตัดสินใจของเราอีกทีว่า ที่เราตัดสินใจไปนั้นดีแล้วหรือเปล่า

ใครก็ตามที่เล่าเรื่องได้เข้าถึงอารมณ์ของผู้คน ใครคนนั้นจะเป็นคนที่กระตุ้นให้คนอื่นตัดสินใจตามแนวทางที่เขาต้องการได้ ผู้เขียนได้แบ่งปันเทคนิคง่าย ๆ ที่จะทำให้คุณเป็นนักเล่าเรื่องที่เก่งขึ้น เพื่อช่วยสร้างพลังให้กับการพรีเซนต์งานของคุณ ช่วยให้คุณทำการตลาดได้ตรงจุด ช่วยให้คุณปิดการขายได้ และช่วยสร้างภาวะผู้นำให้แก่คุณสำหรับนำไปขับเคลื่อนองค์กรครับ


เทคนิคที่ 1: หมัดฮุค

มีงานวิจัยพบว่าคนทั่วไปมีช่วงความสนใจอยู่เพียง 8 วินาที ภายใน 8 วินาทีนี้ คุณต้องโน้มน้าวให้คนสนใจสิ่งที่คุณจะนำเสนอให้ได้ ก่อนที่พวกเขาจะเดินหนีไป และการที่จะดึงความสนใจของคนให้ได้ภายใน 8 วินาที คุณต้องมีหมัดฮุคที่ยอดเยี่ยม คุณต้องกระชากความสนใจของคนด้วยบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ธรรมดา ไม่คาดคิดมาก่อน หรือบางอย่างที่ขัดแย้งกันอย่างชัดเจน

ในการสร้างหมัดฮุค สิ่งหนึ่งที่จะช่วยได้คือการเริ่มต้นด้วยประโยคคำถามว่า "จะเป็นยังไงถ้าหากว่า..." ยกตัวอย่างเช่น "จะเป็นยังไงถ้าหากว่าเหล่าซุปเปอร์ฮีโร่ถูกห้ามไม่ให้ช่วยเหลือผู้คน" นี่เป็นประโยคฮุคของภาพยนตร์เรื่อง The Incredibles ที่เอาเรื่องปกติธรรมดาของเหล่าซุปเปอร์ฮีโร่อย่างการช่วยผู้คนมาพลิกให้เป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติ คนที่โดนฮุคด้วยประโยคนี้จะเกิดคำถามขึ้นว่า "อ้าว แล้วทำไมถึงถูกห้ามช่วยคนล่ะ?"

หรืออีกตัวอย่างคือ "จะเป็นยังไงถ้าหากว่ามีหนูตัวหนึ่งอยากเป็นเชฟอาหารฝรั่งเศส" นี่เป็นฮุคจากภาพยนตร์เรื่อง Ratatouille เป็นประโยคที่นอกเหนือความคาดหมาย คนที่ได้ยินจะสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับโลกนี้ ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงมีหนูที่อยากทำอาหารล่ะ?

หรือประโยคที่ว่า "จะเป็นยังไงถ้าหากว่าของเล่นชิ้นโปรดของเด็กคนหนึ่งถูกของเล่นชิ้นใหม่เข้ามาแทนที่" นี่เป็นประโยคฮุคจากภาพยนตร์เรื่อง Toy Story ซึ่งแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกันอย่างชัดเจน

การสร้างหมัดฮุคจากคำถามที่น่าทึ่งแบบนี้ ไม่ได้ประสบความสำเร็จเฉพาะกับภาพยนตร์เท่านั้นนะครับ แต่ยังได้ผลกับการสร้างแรงบันดาลใจให้กับพนักงานของคุณ หรือกระตุ้นลูกค้าให้ซื้อสินค้าของคุณได้อีกด้วย ตัวอย่างเช่น ในปี 2001 ตอนที่สตีฟ จ็อบส์ เปิดตัวไอพอดเป็นครั้งแรก หมัดฮุคของเขาในตอนนั้นคือประโยคว่า "จะเป็นยังไงถ้าคุณสามารถพกเพลงเป็นพัน ๆ เพลงใส่กระเป๋ากางเกงของคุณได้"

นี่คือสิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อน ในยุคนั้นถ้าคุณอยากฟังเพลงตอนอยู่นอกบ้าน คุณต้องฟังจากเครื่องเล่นวอล์กแมน ที่ต้องใส่แผ่นซีดีที่จุเพลงได้แค่ 8-12 เพลงต่อแผ่น แล้วถ้าคุณนึกอยากจะพกเพลงออกไปฟังนอกบ้านสัก 1,000 เพลง คุณจะต้องพกแผ่นซีดีติดตัวไปด้วยกี่แผ่น ประโยคฮุคของสตีฟ จ็อบส์ ได้ใช้วิธีพูดถึงสิ่งที่ไม่ปกติธรรมดา เพื่อดึงความสนใจของคนฟังภายใน 8 วินาที

การที่หมัดฮุคของคุณจะได้ผลภายใน 8 วินาที คุณต้องทำให้มันสั้น กระชับ และชัดเจนที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เหมือนอย่างที่อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เคยกล่าวเอาไว้ว่า "ถ้าคุณยังไม่สามารถอธิบายมันได้ง่ายพอ แสดงว่าคุณยังไม่เข้าใจสิ่งนั้น"


เทคนิคที่ 2: การเปลี่ยนแปลงของตัวละคร

คนเราสนใจในการเปลี่ยนแปลงของคน เวลาเราเห็นใครมีไอเดียใหม่ ๆ หรือทำอะไรใหม่ ๆ เราจะสนใจและอยากรู้ว่าเขาทำได้ยังไง ทำไมเขาถึงทำ การใช้ตัวละครที่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนครับ

ผู้เขียนยกตัวอย่างตอนที่เขาไปบรรยายที่สถาบันการเงินแห่งหนึ่ง หลังจบการบรรยายมีชายคนหนึ่งเดินมาหาพร้อมน้ำตา ชายคนนั้นเล่าให้ฟังว่าเขากับภรรยาอยากมีลูกมาก และพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อจะมีลูกอยู่หลายปี จนเริ่มจะสิ้นหวัง แล้วคืนหนึ่งเขากับภรรยาทะเลาะกันจนเกือบจะเลิกกัน เพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องราวลุกลามไปใหญ่โต ทั้งสองเลยสงบศึกกันชั่วคราวและชวนกันไปดูหนัง หนังเรื่องที่พวกเขาไปดูคือ UP ซึ่งตัวละครหลักของเรื่องตรงกับชีวิตของทั้งคู่มาก คู่สามีภรรยาในหนังพยายามที่จะมีลูก แต่ก็ไม่สำเร็จ ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่เคยคิดจะเลิกกัน แต่เปลี่ยนโฟกัสจากการอยากมีลูกไปเป็นท่องเที่ยวที่อเมริกาใต้แทน

หลังดูหนังจบ ชายคนนั้นและภรรยาของเขาก็ได้ตัดสินใจว่าจะยังอยู่ด้วยกันต่อไป โดยไม่ต้องพยายามที่จะมีลูกให้ได้ และเปลี่ยนไปใช้ชีวิตหาความสุขในด้านอื่น ๆ แทน หลังจากที่พวกเขาอยู่ด้วยกันโดยไม่ได้คาดหวังเรื่องการมีลูก อีกไม่กี่ปีต่อมาพวกเขาก็มีลูก และปีถัด ๆ มาก็มีลูกอีก 2 คนเลยทีเดียว ชายคนนี้มาเล่าความประทับใจที่เขามีต่อภาพยนตร์เรื่อง UP ซึ่งผู้เขียนมีส่วนร่วมเขียนบทเรื่องนี้

เมื่อเรื่องเล่าถูกสร้างขึ้นมาอย่างถูกต้อง มันจะสร้างความเข้าอกเข้าใจที่ทรงพลัง ความเข้าอกเข้าใจหมายถึงความอินนั่นเอง เป็นตอนที่คนดูกำลังดูแล้วจินตนาการว่าตัวเองเป็นตัวละครในเรื่อง ซึ่งจะก่อให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างคนดูกับเรื่องเล่าครับ

ในเวลาที่คุณเล่าเรื่องราวการประสบความสำเร็จของตัวเอง คนฟังจะอยู่ข้างคุณไปด้วย เพื่อลุ้นให้คุณประสบความสำเร็จ สิ่งนี้จะกลายเป็นสิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจให้คนฟังกลับไปพยายามทำเป้าหมายของตัวเองให้สำเร็จ ยิ่งคุณสามารถพาคนฟังดำดิ่งไปในประสบการณ์ชีวิตของคุณได้มากเท่าไหร่ เรื่องเล่าของคุณจะยิ่งทรงพลังและสร้างแรงบันดาลใจได้มากเท่านั้น

แล้วเรื่องเล่าทุกเรื่องต้องจบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง เพื่อที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้คนฟังหรือเปล่า? ผู้เขียนบอกว่าไม่จำเป็นครับ คุณสามารถเล่าเรื่องที่จบแบบเศร้าหรือไม่สมหวังก็ได้ เรื่องเล่าแบบนี้จะสอนให้เราเห็นถึงชีวิตที่ยากลำบาก เป็นอุทาหรณ์ที่จะผลักดันเราให้พยายามมากขึ้น เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องลงเอยอย่างน่าเศร้าแบบเรื่องเล่านั้น


เทคนิคที่ 3: หาจุดเชื่อมโยง

ทีมงานของพิกซาร์โฟกัสกับการสร้างเรื่องเล่าให้เข้าถึงหัวใจของคนจำนวนมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ วิธีที่พวกเขาใช้คือการเลือกธีมเรื่องที่มีความเป็นสากล ซึ่งเป็นธีมที่เชื่อมโยงได้กับคนทุกเพศ ทุกวัย และทุกวัฒนธรรม ธีมเรื่องสากลมีอยู่ด้วยกัน 6 ธีมครับ ได้แก่

  1. ความรักและความเป็นเจ้าของ
  2. ความปลอดภัยและความมั่นคง
  3. อิสรภาพและความเป็นธรรมชาติของตัวเอง
  4. อำนาจและความรับผิดชอบ
  5. ความสนุกสนานและความซุกซนขี้เล่น
  6. การตระหนักรู้และความเข้าใจ

ยกตัวอย่างเช่น ในภาพยนตร์เรื่อง Finding Nemo มาร์ลินซึ่งเป็นตัวละครหลัก ต้องการให้เกิด "ความปลอดภัยและความมั่นคง" กับนีโมซึ่งคือลูกชายของเขา

ในภาพยนตร์เรื่อง The Incredibles มิสเตอร์อินเครดิเบิลต้องการ "อิสรภาพและความเป็นธรรมชาติของตัวเอง" จากงานที่น่าเบื่อที่เขาทำ เขาโหยหาการเป็นซูเปอร์ฮีโร่อีกครั้ง ในขณะที่ยังต้องเป็นสามีและพ่อที่ดีด้วย

ในภาพยนตร์เรื่อง Cars ตัวละครไลต์นิง แม็คควีน ต้องการ "อำนาจและความรับผิดชอบ" ในช่วงที่แข่งรถและอยากได้แชมป์พิสตันคัพ ขณะเดียวกันเขาก็ได้เรียนรู้เกี่ยวกับความสำคัญของมิตรภาพและความเพลิดเพลินของการใช้ชีวิต

ในภาพยนตร์เรื่อง Inside Out ตัวละครลัลลาต้องการมี "ความสนุกสนานและความซุกซนขี้เล่น" ในชีวิตของเธอตลอดเวลา แต่เธอก็ได้เรียนรู้ว่า ชีวิตที่สมบูรณ์จะต้องยอมรับอารมณ์ที่หลากหลายได้ เช่น ความเศร้า ความโกรธ ความกลัว และความรู้สึกรังเกียจ

จะเห็นได้ว่าภาพยนตร์ของพิกซาร์เหล่านี้สามารถเชื่อมโยงเข้าถึงคนได้ทุกเพศ ทุกวัย และทุกวัฒนธรรม เพราะเรื่องเหล่านี้ผูกโยงกับธีมที่เป็นสากล คุณก็ทำได้เช่นกันครับ โดยใช้ธีมที่เป็นสากลธีมใดธีมหนึ่ง หรือจะเอามาผสมกันก็ได้ สำหรับนำมาใช้สร้างเรื่องเล่าของคุณ เพื่อสร้างความเชื่อมโยงกับผู้ฟังของคุณ

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณจะทำการตลาดให้รถยนต์ยี่ห้อหนึ่ง อย่าสร้างโฆษณาที่เน้นแต่ขายด้วยข้อมูลและตัวเลขสถิติ แต่ให้สร้างโฆษณาที่เล่าเรื่องราวบนธีมสากล เพื่อเชื่อมโยงเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของคุณครับ

ผู้เขียนได้ยกตัวอย่างโฆษณาของบริษัทเมอร์ซีเดส ที่ทำได้ดีมากในการสร้างความเชื่อมโยงกับผู้ชมในโฆษณาที่ชื่อว่า "สโนว์เดต" ซึ่งแตะธีมสากลที่เกี่ยวข้องกับ "ความปลอดภัยและความมั่นคง" ในโฆษณานั้นพ่อกำลังขับรถพาลูกชายวัย 12 ขวบฝ่าพายุหิมะที่น่ากลัวไปโรงภาพยนตร์ ในตอนที่พ่อขับอยู่ พ่อก็ถามขึ้นว่า "แน่ใจนะว่ามาแน่" ลูกชายตอบว่า "เธอจะไปแน่นอนครับ"

ผู้ชมรับรู้แล้วว่าเด็กหนุ่มกำลังจะไปออกเดต เราได้เห็นภาพรถเบนซ์ขับทะยานท่ามกลางพายุหิมะอย่างมืออาชีพ ในที่สุดรถเบนซ์ก็มาถึงโรงภาพยนตร์อย่างปลอดภัย แต่ไม่มีสาวน้อยอยู่ที่นั่น เด็กหนุ่มหัวใจสลาย เรื่องนี้กำลังแตะธีมสากลเกี่ยวกับ "ความรักความเป็นเจ้าของและการถูกทอดทิ้ง" ครับ

พ่อปลอบใจลูกชายและเดินกลับไปที่รถเบนซ์ด้วยกัน ทันใดนั้นก็มีรถอีกคันกำลังขับฝ่าพายุมุ่งหน้ามาที่โรงภาพยนตร์เช่นกัน เธอคือสาวน้อยคนนั้น และเธอก็มาด้วยรถเบนซ์เหมือนกัน ทั้งสองคนทักทายกันด้วยน้ำเสียงเขิน ๆ ว่า "สวัสดี" และเดินเข้าโรงภาพยนตร์ไป

บางครั้งคุณอาจจะใช้ธีมเดียวธีมใดธีมหนึ่ง และจะใช้หลาย ๆ ธีมก็ได้ แต่คุณจำเป็นต้องรู้จักกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของคุณ ต้องประเมินว่าพวกเขามีความกังวลอะไรบ้าง เพราะว่าความชอบและปัญหาของผู้คนเปลี่ยนอยู่ตลอดตามเทรนด์ที่เกิดขึ้น ซึ่งธีมที่จะใช้ผูกเรื่องก็ควรต้องปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกันด้วย


เทคนิคที่ 4: ตัวตนที่แท้จริง

หากคุณสร้างเรื่องราวขึ้นมาโดยปราศจากหัวใจ ผู้ฟังของคุณจะรู้สึกว่าถูกควบคุมมากกว่าถูกขับเคลื่อนครับ คุณต้องเคารพผู้ฟังของคุณด้วยครับ คุณต้องสร้างสรรค์เรื่องราวที่จริงใจ ซึ่งจะช่วยสร้างความผูกพันที่แน่นแฟ้นกับผู้ฟังของคุณ การจะทำแบบนั้นได้ คุณต้องอย่าเก่งไปซะทุกอย่างครับ ให้เปิดเผยมุมที่คุณอ่อนแอหรือเจ็บปวดบ้าง

คนฟังจะรู้สึกอินกับเรื่องราวของคุณมากขึ้น เมื่อพวกเขาได้เห็นความเป็นมนุษย์ถูกฉายออกมา คนอื่นไม่ได้รู้สึกอินไปกับความสมบูรณ์แบบครับ คุณต้องเผยความอ่อนแอหรือความไม่สมบูรณ์ของตัวเอง หรือของตัวละครในเรื่องราวของคุณให้กับคนฟังได้สัมผัส ซึ่งจะช่วยสร้างความเข้าอกเข้าใจและความรู้สึกถึงตัวตนที่แท้จริง

เวลาที่คุณเล่าเรื่องถึงองค์กรของคุณว่าทำเกี่ยวกับอะไร หรือเล่าเรื่องงานของคุณว่าคุณทำอะไรในบริษัท หรือสินค้าตัวไหนที่คุณเป็นคนทำ อย่าลืมเล่าถึงอุปสรรคต่าง ๆ ที่คุณเจอควบคู่ไปกับการเล่าถึงความสำเร็จด้วยนะครับ เมื่อคนฟังรู้สึกเชื่อมโยงได้ถึงความเป็นมนุษย์ของคุณ คนฟังถึงจะเริ่มเป็นพวกเดียวกับคุณครับ

ผู้เขียนได้ยกตัวอย่างเรื่องของบริษัทรถเช่าชื่อเอวิส ที่เคยเจอความลำบากในการแข่งขันกับบริษัทเฮิตซ์ ซึ่งช่วงปี 1960 เป็นเจ้าตลาดรถเช่าในสหรัฐอเมริกา เอวิสในฐานะที่เป็นปลาตัวเล็กในธุรกิจรถเช่า ได้ออกโฆษณาที่ถือเป็นการปฏิวัติวงการว่า

"เมื่อคุณเป็นแค่ที่สอง คุณต้องทำงานให้หนักขึ้น ไม่งั้นก็..." ใต้ประโยคโฆษณาเป็นรูปวาดปลาตัวเล็กกำลังว่ายหนีปลาตัวใหญ่ด้วยท่าทางหวาดกลัว เอวิสกำลังเผยให้เห็นจุดอ่อนของพวกเขาอย่างชื่อสัตย์และจริงใจ บริษัทได้สื่อสารออกไปเลยว่าพวกเขาจะทำงานให้หนักยิ่งกว่าคู่แข่งของพวกเขา เพื่อที่จะสร้างธุรกิจของพวกเขาให้ได้ เพราะถ้าไม่ขยันทำงานให้มากกว่า พวกเขาก็จะถูกปลาใหญ่เขมือบได้อย่างง่ายดาย

การยอมรับว่าตัวเองเป็นที่สองแบบนี้ ถือเป็นกลยุทธ์ที่ไม่ฉลาดหรือเปล่า? ผู้เขียนบอกว่าไม่ใช่เลยครับ ในโฆษณานี้บริษัทเอวิสได้สร้างความรู้สึกเห็นอกเห็นใจให้เกิดขึ้นจากกลุ่มเป้าหมาย ปกติแล้วคนเรามักจะเอาใจช่วยคนที่เป็นรองอยู่แล้ว และหลังจากที่ปล่อยโฆษณานี้ออกไปได้ปีหนึ่ง บริษัทเอวิสได้กลายมาเป็นบริษัทรถเช่าอันดับหนึ่งในอเมริกา บรรดาลูกค้าต้องการที่จะช่วยให้เอวิสขึ้นเป็นอันดับหนึ่งครับ


เทคนิคที่ 5: โครงสร้างของเรื่องเล่า

ไม่ว่าคุณกำลังจะเขียนบทภาพยนตร์ความยาว 90 นาที หรือเตรียมบทพูดเพื่อเสนอการขายยาว 30 นาที มันจะมีโครงสร้างหนึ่งครับที่คุณทำตามแล้วบทของคุณจะออกมาดี เรียกกันว่าโครงสร้างของเรื่องเล่า ซึ่งประกอบไปด้วย 3 ส่วน คือ ช่วงต้นที่ใช้ปูเรื่อง ช่วงกลางที่ใช้สร้างเรื่อง และช่วงจบที่ใช้รับดอกรับผล

ในช่วงต้นคุณต้องสร้างโลกอันเสนธรรมดาที่คุณหรือตัวเอกของคุณอาศัยอยู่ แสดงให้ผู้ชมเห็นถึงแรงขับเคลื่อนของตัวเอกว่าเขาชอบหรือหลงใหลอะไร จากนั้นให้ปูไปถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งต้องเป็นปัญหาที่สะเทือนถึงชีวิตของตัวเอก ชนิดที่เขาต้องคิดหาทางแก้ปัญหา

ตัวอย่างเช่น ภาพยนตร์เรื่อง Big ที่นำแสดงโดย Tom Hanks ซึ่งตัวเอกเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ ที่อยากโตเป็นผู้ใหญ่ในชั่วข้ามคืน แล้ววันหนึ่งเขาก็ได้รับพรให้เป็นจริงแบบนั้นในทันที ในช่วงต้นเรื่องนี้จะเกิดเรื่องพลิกผันขึ้น และใช้เป็นตัวขับเคลื่อนเรื่องราวต่อไปครับ

จากนั้นจะเข้าสู่ช่วงที่ 2 ซึ่งคือช่วงกลางเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการหาทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ช่วงนี้จะประกอบด้วยการขึ้นลงของชีวิตตัวเอก ชะตาชีวิตที่พลิกผันไปมา เกิดปัญหาอุปสรรคมากมายที่ตัวเอกต้องต่อสู้ดิ้นรน

จากนั้นจะเข้าสู่ช่วงจบหรือช่วงรับดอกรับผล ซึ่งเป็นการทำให้เห็นว่าคุณหรือตัวเอกของคุณนั้นประสบความสำเร็จได้ยังไง เป็นช่วงคลี่คลายปมปัญหาต่าง ๆ เพื่อไม่ให้เหลือคำถามค้างคาในใจคนดูครับ


เทคนิคที่ 6: ฮีโร่

ฮีโร่จะถูกวางไว้เป็นศูนย์กลางของเรื่องเล่าเสมอ เพื่อให้แรงบันดาลใจแก่ผู้คน ผ่านมุมมอง วิสัยทัศน์ ความกล้าหาญ และการเสียสละของฮีโร่ เราพบฮีโร่ได้ในเรื่องเล่าตั้งแต่ยุคแรก ๆ ของมนุษย์เลย อย่างภาพวาดผนังถ้ำอายุหลายหมื่นปี ที่เป็นภาพชายผู้กล้าหาญ เสี่ยงชีวิตตัวเองไล่ล่าสัตว์ป่า เพื่อเอามาเป็นอาหารเลี้ยงคนในเผ่า มาจนถึงปัจจุบันที่เราได้เห็นภาพยนตร์ฮีโร่มากมายที่ปกป้องโลกจากตัวร้าย เช่น ภาพยนตร์ของ Marvel

แล้วอะไรที่จะหล่อหลอมให้เกิดฮีโร่ที่ยอดเยี่ยมในเรื่องเล่าได้ โจเซฟ แคมป์เบล ได้ให้ความหมายของฮีโร่เอาไว้ว่า "ฮีโร่คือใครบางคนที่อุทิศชีวิตของตัวเองให้กับบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเอง" ไม่ว่าตัวละครหลักของคุณจะเป็นใคร คุณต้องสร้างความผูกพันทางอารมณ์ระหว่างฮีโร่และคนดูของคุณให้ได้ ซึ่งการจะทำแบบนั้นได้ คนดูของคุณต้องรู้สึกเชื่อมั่นในตัวละครหลักของคุณ การทำให้ตัวละครของคุณเป็นที่รักของคนดูจะเป็นการยกระดับตัวเขาขึ้นมาโดดเด่นกว่าบุคคลธรรมดาทั่วไปครับ

เมื่อสร้างฮีโร่ได้สำเร็จ ฮีโร่จะสามารถผลักดันยอดขาย เสริมสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง และเป็นจุดเชื่อมใจกับผู้บริโภคได้ เราเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นตลอดเวลาครับ เมื่อผู้คนรู้สึกเชื่อมใจกับฮีโร่ในเรื่องเล่าแล้ว พวกเขาจะอยากขับรถรุ่นเดียวกับที่ฮีโร่ขับ อยากใส่รองเท้าแบบเดียวกับที่ฮีโร่ใส่ อยากกินอาหารอย่างเดียวกับที่ฮีโร่กิน


นี่คือเนื้อหาบางส่วนที่ผมสรุปมาจากหนังสือ The Best Story Wins: เล่าเรื่องชนะใจ ธุรกิจชนะเลิศ เล่มนี้ผู้เขียนเขียนออกมาได้สนุกมาก เขาเล่าเรื่องราวตัวเองสอดแทรกมาด้วย ทั้งเรื่องราวสมัยเป็นเด็กที่พ่อสนับสนุนให้เรียนศิลปะ และเรื่องราวความเป็นไปว่าผู้เขียนเข้ามาทำงานที่พิกซาร์ได้ยังไง

หนังสือเล่มนี้สอนวิธีการเล่าเรื่องเพื่อนำไปปรับใช้กับทุกด้านของชีวิตก็จริง แต่เอาเข้าจริงเทคนิคในหนังสือไม่ได้นำไปปรับใช้ได้ง่ายขนาดนั้นครับ การเล่าเรื่องเป็นทักษะที่มีความเป็นศิลปะ ไม่ใช่รู้เทคนิคแล้วจะเอาไปใช้ได้ผลเลยแบบสำเร็จรูป ทักษะการเล่าเรื่องต้องอาศัยการฝึกฝน เหมือนทักษะการวาดรูปครับ จะวาดรูปออกมาสวยได้ก็ต้องฝึกบ่อย ๆ เล่มนี้ผมว่าเหมาะกับคนที่มีพื้นฐานการเล่าเรื่องอยู่บ้าง ถ้าได้อ่านเล่มนี้จะทำให้คุณทำงานได้อย่างมีแบบแผนมากขึ้นครับ ใครสนใจสามารถหาซื้อมาอ่านกันได้ครับกับหนังสือ The Best Story Wins: เล่าเรื่องชนะใจ ธุรกิจชนะเลิศ เขียนโดย แมทธิว ลูห์น ตีพิมพ์เป็นภาษาไทยโดยสำนักพิมพ์ลีฟริช ราคา 219 บาท