สองหนุ่มจากคนละยุคเสียชีวิตก่อนวัยอันควร แทนที่พวกเขาจะเข้าสู่โลกหลังความตาย แต่กลับหลบหนีร่อนเร่อยู่ในโลกมนุษย์ต่อไป หนำซ้ำพวกเขายังร่วมมือกันก่อตั้ง สำนักงานคู่ซี้ผีนักสืบ ที่รับคลี่คลายคดีให้ผีที่มีบ่วงติดอยู่ในใจ โดยสองหนุ่มของสำนักงานนี้ได้แก่
เอ็ดวิน เพน หนุ่มเนิร์ดฟอร์มเนี้ยบที่เคยมีชีวิตอยู่ในยุค 1910 เขาเป็นนักเรียนโรงเรียนประจำชายล้วน ที่ถูกแก๊งเด็กเกเรเล่นพิเรนทร์จับเขาไปบูชาปีศาจ แล้วพิธีกรรมดันสำเร็จ ปีศาจมาเอาวิญญาณของเอ็ดวิน แต่เขาหนีรอดมาได้ และกลายเป็นวิญญาณแร่ร่อนมาตั้งแต่นั้น
ชาร์ลส โรแลนด์ หนุ่มลูกครึ่งอินเดียที่ถูกพ่อของตัวเองใช้ความรุนแรงทำร้ายมาตั้งแต่เด็ก เขาจึงพยายามที่จะเป็นคนดี ปกป้องผู้ที่อ่อนแอกว่า ชาร์ลสเคยมีชีวิตอยู่ใรยุค 1990 เขาเสียชีวิตเพราะเข้าไปช่วยเพื่อนคนหนึ่งที่ถูกแก๊งเด็กเกเรรุมแกล้ง สุดท้ายตัวเองกลายเป็นเหยื่อซะเอง และได้มาเจอกับเอ็ดวิน
นอกจากสองหนุ่มแล้ว สำนักงานนักสืบแห่งนี้ยังมีผู้ช่วยเป็นสองสาว ได้แก่ คริสตัล พาเลซ หญิงสาวลึกลับที่ความจำเสื่อม เธอมีความสามารถในการติดต่อกับโลกแห่งวิญญาณ มีนิมิตเห็นอดีตเพียงแค่จับต้องวัตถุ ด้วยความที่ไม่มีที่ไป เธอจึงขอร่วมสำนักงานนักสืบชั่วคราว อีกคนคือ นิกโกะ สาวโอตาคุห้องตรงข้ามของคริสตัล ที่ช่วยสืบคดีในแบบของเธอเอง
Dead Boy Detectives สร้างขึ้นมาจากหนังสือการ์ตูนของ DC อยู่ในจักรวาลเดียวกับ The Sandman ที่เคยถูกดัดแปลงเป็นซีรีส์ไปแล้วในปี 2022 สำหรับซีรีส์ชุดนี้ก็ได้ นีล ไกแมน คนเดิมมาอำนวยการสร้าง ซีรีส์เรื่องนี้มี 8 ตอน แต่ละตอนมีคดีประจำตอนที่เล่าจบเป็นคดี ๆ ไป เหมือนเป็นซีรีส์จบในตอน แต่ระหว่างทางมีเล่าปูมหลังตัวละครเป็นระยะ
ช่วงแรกเรื่องนี้ดูเพลินมาก ตัวละครยังไม่เยอะ เรื่องราวโฟกัสไปที่การคลี่คลายคดีที่มีความเหนือธรรมชาติ แต่หลัง ๆ มาตัวละครเริ่มเยอะ เริ่มแบ่งเวลาไปเล่าเรื่องของตัวละครที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับสองหนุ่มที่เป็นตัวละครหลัก แถมสองหนุ่มก็ถูกหมายหัวจากหลายกลุ่มหลายฝ่าย ทั้งปีศาจที่เอ็ดวินหลบหนีมาตั้งแต่ปี 1910 ก็ยังตามล่าเอาวิญญาณเขาอยู่, ฝ่าย Night Nurse ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตามหาวิญญาณวัยรุ่นที่สูญหายก็ตามตัวสองหนุ่มไม่ลดละ, แฟนเก่าของคริสตัลที่เป็นผีร้ายก็ตามรังควาน, ปีศาจราชาแมวหนุ่มที่พยายามยั่วยวนเอ็ดวิน, แม่มดที่พยายามล้างแค้นสองหนุ่ม หลายเรื่องหลายราวจนไม่รู้จะโฟกัสอะไร
สิ่งที่ชอบมากที่สุดในซีรีส์ชุดนี้คือการตัดต่อที่ทำออกมาเหมือนเอาใจวัยรุ่นผู้มีสมาธิสั้น ตัดออกมาได้กระชับ ฉึบฉับ ทิ้งจังหวะจากเหตุการณ์หนึ่งไปเล่าอีกเหตุการณ์ได้อย่างน่าติดตาม ด้านงานภาพก็สวย นอกเหนือจากเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการไขคดี ยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับความรักแทรกเสริมเข้ามา ซึ่งเป็นความรักของ LGBT สะท้อนให้เห็นถึงการยอมรับความหลากหลายทางเพศที่แตกต่างกันของแต่ละยุค ผ่านตัวละครเอ็ดวิน โดยรวมเป็นซีรีส์ที่ดูสนุกครับ