The Almanack of Naval Ravikant - รวยและสุข ทักษะที่ฝึกกันได้

รวยและสุข ทักษะที่ฝึกกันได้

ไอติมอ่าน ep นี้ จะมาแนะนำเนื้อหาในหนังสือ The Almanack of Naval Ravikant หนังสือที่จะมาสอนให้คุณสร้างความมั่งคั่งและความสุขด้วยตัวเอง เล่มนี้เขียนโดย Naval Ravikant (นาวาล รวีกันต์) ที่ปัจจุบันเป็นเศรษฐีพันล้าน จากการเป็นผู้ประกอบการ, นักลงทุน และที่ปรึกษาด้านธุรกิจ

นาวาลบอกว่าความมั่งคั่งและความสุขเป็นสิ่งที่เรียนรู้แล้วลงมือสร้างขึ้นมาด้วยตัวเองได้ เขามั่นใจถึงขนาดบอกไว้ในหนังสือว่า หากทิ้งเขาไว้ตัวเปล่าที่ไหนสักแห่งก็ได้บนโลกที่คนที่นั่นพูดภาษาอังกฤษ เขามั่นใจว่าตัวเองสามารถสร้างตัวขึ้นมาใหม่ให้กลายเป็นมหาเศรษฐีได้อีกครั้ง ภายใน 5-10 ปี เกริ่นมาแบบนี้ทำเอาอยากรู้เลยครับว่าในหนังสือเขาจะบอกเทคนิคอะไรในการสร้างความมั่งคั่งขึ้นมาด้วยตัวเอง

ก่อนจะไปพูดกันถึงเรื่องนั้น ผมขอเล่าที่มาที่ไปของนาวาลให้ฟังกันก่อน นาวาลเป็นคนอินเดียที่ย้ายมาอยู่ที่นิวยอร์กตั้งแต่เด็ก เขาโตมาในครอบครัวที่มีแม่เลี้ยงเดี่ยวและพี่ชายหนึ่งคน แม่ของเขาต้องทำงานส่งลูก ๆ เรียน และส่งตัวเองเรียนด้วย ดังนั้นแม่ของนาวาลจึงไม่ค่อยได้อยู่บ้าน หลังเลิกเรียนนาวาลและพี่ชายจึงไปห้องสมุดเพื่อรอแม่กลับบ้าน นาวาลไม่ค่อยมีเพื่อน หนังสือคือเพื่อนของเขา ด้วยเหตุนี้เขาจึงรักการอ่านมาตั้งแต่เด็ก

นาวาลไม่ชอบความยากจน ตอนอายุได้ 15 ปี เขาแอบทำงานเป็นพนักงานส่งอาหารของร้านอาหารอินเดียทั้งที่อายุไม่ถึง เขาคิดว่าสิ่งที่จะช่วยให้เขาหลุดพ้นจากความยากจนนี้ได้คือการศึกษาที่ดี ดังนั้นเขาจึงตั้งใจเรียนจนสอบเข้า Stuyvesant High School ได้ ซึ่งเป็นโรงเรียนรัฐอันดับหนึ่งของนิวยอร์ก ที่นี่บ่มเพาะความรู้ให้เขาจนสอบติด Dartmouth College มหาวิทยาลัยระดับไอวี่ลีกส์ของสหรัฐอเมริกา นาวาลจบการศึกษาสูงสุดระดับปริญญาเอกในสาขาเศรษฐศาสตร์

นาวาลเกิดมาฐานะยากจน แต่ตอนนี้เขากลายเป็นเศรษฐีและมีความสุขกับชีวิต ที่ผ่านมาเขาได้เรียนรู้และค้นพบหลักการบางอย่าง ที่ช่วยให้เขาสามารถสร้างความมั่งคั่งและความสุขขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง หลักการเหล่านั้นเขานำมาบอกในหนังสือเล่มนี้ครับ


บทแรกนาวาลพูดถึงความมั่งคั่ง สิ่งที่ทุกคนสามารถสร้างขึ้นได้เอง แต่ไม่ใช่จากการทำงานหนักอย่างการเป็นพนักงานล้างจานในครัวที่ทำงานวันละ 11 ชม. การจะรวยได้คุณต้องรู้ว่าต้องทำอะไร, ทำด้วยกันกับใคร และทำเมื่อไหร่ สิ่งเหล่านี้แหละที่สำคัญ ประเด็นอยู่ที่ว่าคุณต้องพุ่งเป้าไปให้ถูกทาง

ถ้าตอนนี้คุณยังไม่รู้ว่าสิ่งที่คุณควรทำเพื่อมุ่งไปสู่ความรวยคืออะไร คุณก็ต้องหามันให้เจอ อย่าเพิ่งเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาทำงานหนัก ไว้คุณหาสิ่งที่ตัวเองควรทำเจอ ถึงตอนนั้นคุณค่อยตั้งหน้าตั้งตาทำงานหนักกับสิ่งนั้น

นาวาลได้ให้หลักคิดเกี่ยวกับการสร้างความมั่งคั่งไว้ดังนี้

  • จงมองหาความมั่งคั่ง ไม่ใช่มองหาเงินหรือสถานะ ความมั่งคั่งคือการที่คุณมีสินทรัพย์ที่ช่วยทำเงินให้คุณ แม้ในขณะที่คุณหลับ เงินคือสิ่งที่คุณเอาเวลาไปแลก สถานะคือตำแหน่งทางสังคม
  • อย่าไปสนใจคนที่เล่นเกมเพื่อสถานะ พวกเขาได้สถานะมาเพราะการเล่นงานคนอื่น
  • คุณสามารถรวยได้โดยการมอบสิ่งที่คนในสังคมกำลังต้องการ
  • เลือกทำธุรกิจที่คุณสามารถทำไปได้ยาว ๆ กับพนักงานที่อยู่ไปด้วยนาน ๆ
  • อินเตอร์เน็ตเข้าถึงไปแล้วเกือบทั่วโลก สร้างอาชีพเกิดใหม่ที่ยังไม่เคยมีมาก่อนได้มากมาย แค่ตอนนี้คนส่วนใหญ่ยังคิดไม่ออก
  • เลือกพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจที่เป็นคนฉลาด มีพลังงานเหลือล้น และเหนือสิ่งใดคือมีความซื่อสัตย์
  • อย่าทำธุรกิจกับคนที่ชอบพูดจาเยาะเย้ยถากถาง และคนมองโลกในแง่ร้าย
  • เรียนรู้หลักในการขายและหลักในการสร้าง ถ้าคุณทำได้ทั้งสองอย่างก็จะไม่มีอะไรมาหยุดคุณได้
  • เสริมเกราะให้ตัวเองด้วยความรู้เฉพาะทาง, เป็นคนมีความรับผิดชอบ และรู้หลักการใช้เงินต่อเงิน
  • ความรู้เฉพาะทางคือสิ่งที่คุณหาเรียนจากที่ไหนไม่ได้ ถ้าที่ไหนมีสอน แสดงว่าคนอื่นก็ไปเรียนแล้วมาแทนที่คุณได้
  • ความรู้เฉพาะทางหาเจอได้จากสิ่งที่คุณอยากรู้อยากเห็นและมีแพชชั่นกับมัน แม้ว่าตอนนี้สิ่งนั้นจะยังไม่ได้รับความนิยมอยู่ก็ตาม
  • เมื่อไหร่ที่ความรู้เฉพาะทางเป็นเรื่องที่สอนกันได้ คุณต้องไปเรียนจากผู้เชี่ยวชาญที่ทำสิ่งนั้นจริง ไม่ใช่เรียนที่โรงเรียน
  • การจะระดมเงินทุนได้ คุณต้องมีทั้งความรู้เฉพาะทาง, ความรับผิดชอบ และผลลัพธ์ที่ดีมาแสดงให้เห็น
  • แรงงานคือคนที่มาทำงานให้กับคุณ ถ้าคุณมีทั้งเงินทุนและแรงงาน คุณจะสามารถขยายขนาดธุรกิจให้ทวีคูณยิ่งขึ้นไปได้
  • ซอฟต์แวร์และสื่อก็เป็นสิ่งที่ทำให้คุณขยายขนาดธุรกิจได้ เศรษฐีหน้าใหม่รวยกันเพราะสองสิ่งนี้ คุณสามารถสร้างซอฟต์แวร์และสื่อมาทำเงินให้ตอนที่คุณหลับได้
  • ถ้าคุณเขียนโค้ดเพื่อสร้างซอฟต์แวร์ไม่ได้ ก็สร้างสื่อแทน เช่น เขียนบล็อก, ถ่ายวิดีโอ หรืออัดพอดแคสต์
  • ไม่มีทักษะที่เรียกว่า "ทักษะทางธุรกิจ" เลี่ยงการอ่านนิตยสารธุรกิจและไม่ต้องเข้าเรียนคลาสธุรกิจ
  • ให้เรียนเศรษฐศาสตร์จุลภาค (microeconomics) ซึ่งเป็นการศึกษาการตัดสินใจในระดับบุคคลหรือองค์กรธุรกิจ นอกจากนี้ควรเรียนทฤษฎีเกม, จิตวิทยา, หลักการโน้มน้าวใจ, หลักจริยธรรม, คณิตศาสตร์และคอมพิวเตอร์
  • การอ่านเรียนรู้ได้เร็วกว่าการฟัง การลงมือทำเรียนรู้ได้เร็วกว่าการดู
  • ทำงานให้หนักเท่าที่คุณจะทำได้ แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่สำคัญกว่าคือ งานอะไรที่คุณทำและใครที่คุณทำงานด้วย
  • จงเป็นคนที่เก่งที่สุดในโลกในเรื่องที่คุณทำ
  • ผสมผสานความรู้เฉพาะทางที่คุณมีและการใช้เงินต่อเงินเข้าด้วยกัน ในที่สุดคุณจะได้รับสิ่งที่คุณคู่ควร
  • ถึงตอนที่คุณรวย คุณจะตระหนักว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่คุณกำลังตามหา แต่เรื่องนี้เอาไว้ค่อยคุยทีหลัง


ความแตกต่างระหว่างเงินกับความมั่งคั่ง

เงินคือความน่าเชื่อถือที่สังคมมีต่อตัวคุณ ถ้าคุณตั้งใจทำงานของตัวเองออกมาได้ดี สังคมก็จะมองว่าคุณได้สร้างคุณค่า สังคมได้ติดหนี้ความดีคุณอยู่ ดังนั้นเลยเกิดเงินขึ้นมาเพื่อตอบแทนคุณค่าที่คุณสร้างขึ้น

ความมั่งคั่งคือสิ่งที่สร้างเงินให้คุณได้ในขณะที่คุณกำลังหลับ ความมั่งคั่งอาจจะอยู่ในรูปของโรงงาน, เครื่องจักร, โปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรืออยู่ในรูปแบบของเงินที่เก็บไว้ในธนาคารซึ่งถูกนำไปลงทุนในธุรกิจอื่น ๆ

แม้กระทั่งบ้านก็อาจเรียกว่าเป็นความมั่งคั่งได้ ถ้าคุณปล่อยเช่าแล้วได้เงินจากบ้านหลังนั้น แต่การปล่อยบ้านให้เช่าเป็นการใช้ที่ดินได้ไม่คุ้มค่าเท่าการเอามาสร้างเป็นบริษัทเพื่อทำการค้า นาวาลบอกว่าเขาให้คำนิยามของความมั่งคั่งไว้มากกว่าแค่เป็นธุรกิจหรือสินทรัพย์


ทุกอย่างในบ้านหรือในที่ทำงานของคุณล้วนเคยถูกเรียกว่าเป็นเทคโนโลยีมาก่อน ในอดีตน้ำมันก็เคยถูกเรียกว่าเทคโนโลยี รถก็เคยเป็นเทคโนโลยีที่ทำให้ เฮนรี ฟอร์ด กลายเป็นคนรวย

ดังนั้นเทคโนโลยีก็คือสิ่งของสักชิ้นที่ยังไม่เคยมีมาก่อน และเมื่อสิ่งนั้นแพร่หลายมันก็จะไม่ถูกเรียกว่าเป็นเทคโนโลยีอีกต่อไป สังคมต้องการเทคโนโลยีใหม่ ๆ อยู่ตลอด ถ้าคุณอยากมีความมั่งคั่ง ให้ลองคิดว่าคุณสามารถสร้างสรรค์อะไรใหม่ ๆ ขึ้นจากทักษะที่คุณมีได้บ้าง

จากนั้นผลิตมันออกมาให้ได้ในจำนวนมาก เพราะถ้าคุณสร้างขึ้นมาแค่ชิ้นเดียวมันไม่พอ คุณต้องผลิตขึ้นมาเป็นพันหรือแสนหรือล้านชิ้น เหมือนกับ สตีฟ จอบส์ ที่คิดขึ้นมาว่าสังคมจะต้องอยากได้สมาร์ทโฟน โทรศัพท์ที่เป็นเหมือนคอมพิวเตอร์พกพา เขาจึงสร้างไอโฟนขึ้นมา และหาวิธีผลิตให้ได้จำนวนเยอะ ๆ ส่งขายเพื่อตอบความต้องการของคนทั่วโลก


ทักษะการขายเป็นความรู้เฉพาะทางอย่างหนึ่ง คุณสามารถเห็นนักขายได้ตามบริษัทสตาร์ทอัพที่ต้องพูดขายบริษัทตัวเองให้ผู้ลงทุนประทับใจและยอมให้เงินทุน นักขายเหล่านี้มีความเป็นธรรมชาติ พวกเขาต้องเรียนทักษะการขายมาจากที่ไหนสักแห่ง แต่ไม่ใช่ในชั้นเรียนแน่นอน พวกเขาอาจเรียนรู้มาจากการต้องต่อรองกับพ่อแม่มาตั้งแต่เด็ก บางทีนักขายบางคนอาจเกิดมาแล้วมีดีเอ็นเอนักขายติดตัวมาเลยก็เป็นได้

แต่คุณสามารถพัฒนาทักษะการขายได้ครับ จะเริ่มฝึกโดยการเดินไปเคาะประตูเพื่อขายของที่หน้าบ้านลูกค้าเลยก็ได้ อาจจะดูเสียมารยาท แต่วิธีนี้จะช่วยฝึกฝีมือคุณได้เร็ว

ทักษะการขายเป็นความรู้เฉพาะทางอย่างหนึ่ง บางคนอาจรู้สึกว่าตัวเองไม่มีทักษะด้านนี้ แล้วอย่างนี้จะมีความรู้เฉพาะทางกับเขาบ้างไหมนะ นาวาลบอกว่าความรู้เฉพาะทางเป็นอะไรก็ได้ บางอย่างที่คุณมีในตัว คุณอาจไม่รู้ตัวว่าเป็นความรู้เฉพาะทางด้วยซ้ำ

ยกตัวอย่างเช่น ทักษะทางดนตรีที่ไม่ว่าหยิบจับเครื่องดนตรีอะไรก็เล่นเป็น, ทักษะด้านการสังเกต ที่เห็นอะไรก็จำได้โดยทันที, หรือการซุบซิบนินทาก็เป็นทักษะได้ ซึ่งหมายความว่าคุณเป็นคนเก่งในการขุดค้นเรื่องราว คุณอาจกลายเป็นนักข่าวที่เก่งก็ได้


ตอนนี้อินเตอร์เน็ตเข้าถึงไปแล้วทั่วโลก อินเตอร์เน็ตได้สร้างอาชีพเกิดใหม่มากมาย คุณสามารถใช้อินเตอร์เน็ตสร้างฐานผู้ติดตามของคุณ จากนั้นก็เริ่มสร้างธุรกิจจากฐานกลุ่มนั้นโดยสร้างสินค้าขึ้นมาขาย อินเตอร์เน็ตช่วยให้เข้าถึงตลาดเฉพาะกลุ่มได้ง่ายยิ่งขึ้น 

ทุกคนมีความแตกต่าง คุณไม่ต้องไปแข่งกับใคร ถ้าคุณไปแข่งกับคนที่ทำสิ่งนั้นมาก่อนหน้าคุณแล้ว แสดงว่าคุณกำลังลอกเขา แต่ถ้าคุณสร้างฐานผู้ติดตามที่ชื่นชอบในสิ่งที่คุณเป็นขึ้นมาได้ คุณไม่จำเป็นต้องลงไปแข่งกันใคร ไม่ต้องพยายามเป็นเหมือนใคร แต่ให้เป็นต้นฉบับตัวจริง


ทักษะที่สำคัญที่สุดในการสร้างความมั่งคั่งคือ ทักษะในการเรียนรู้ไปตลอดชีวิต คุณต้องรู้ว่าจะเรียนรู้สิ่งที่ตัวเองต้องการรู้ได้ยังไง แต่ก่อนคนที่อยากเชี่ยวชาญอะไรสักเรื่องจะไปลงเรียน 4 ปีให้ได้ใบปริญญา แต่ปัจจุบันโลกเปลี่ยนไปแล้ว อินเตอร์เน็ตทำให้คุณกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้ภายใน 1 ปี แล้วเอาอีก 3 ปีที่เหลือที่ต้องเรียนในมหาลัยไปสร้างเนื้อสร้างตัว

นอกจากนี้คุณต้องรู้ด้วยว่าอะไรที่ไม่ควรไปเสียเวลาด้วย ตัวอย่างเช่น คุณไปออกเดตครั้งแรกแล้วรู้สึกว่าคู่เดตไม่ใช่คนที่คุณอยากแต่งงานและใช้ชีวิตด้วย แบบนั้นคุณก็ไม่ควรนัดเดตครั้งที่สอง หรือคุณลองไปเข้าคลาสเรียนภูมิศาสตร์หรือประวัติศาสตร์ แล้วคุณรู้สึกว่าความรู้เหล่านี้คุณไม่น่ามีวันได้ใช้ ก็ให้ดรอปคลาสนั้นไปเลย การทำสิ่งที่คุณรู้สึกว่าไม่ใช่ นอกจากจะเสียเวลาแล้ว ยังเปลืองพลังงานสมองอีกด้วย


หากคุณอยากรวย คุณต้องซื้อสิทธิ์การเป็นเจ้าของในธุรกิจ จะซื้อในรูปแบบของหุ้นหรือกองทุนก็ได้ แม้บางอาชีพอย่างหมอหรือทนายความจะสร้างเงินได้ก้อนใหญ่ แต่หากเมื่อไหร่ที่คุณหยุดทำอาชีพนั้น คุณก็ไม่มีรายได้ แต่สำหรับการซื้อหุ้นหรือกองทุน ไม่ว่าคุณจะหลับมันก็ยังทำเงินให้ ไม่ว่าคุณจะเกษียณมันก็ทำเงินให้

แม้ว่าอาชีพหมอจะมีรายได้สูง แต่หมอที่รวยถึงขั้นเป็นเศรษฐีมักเป็นเจ้าของธุรกิจด้วย พวกเขาอาจเป็นเจ้าของโรงพยาบาล, เจ้าของคลินิค หรือเจ้าของสินค้า หากคุณอยากกลายเป็นคนรวยต้องสร้างธุรกิจขึ้นมา และใช้ตัวคูณมาช่วยขยายธุรกิจของคุณให้ใหญ่

ในหนังสือเขียนคำว่า leverage ผมขอแปลคำนี้ตามความเข้าใจของผมว่า "ตัวคูณ" นะครับ นาวาลบอกว่าคุณสามารถทำธุรกิจที่มีแค่คุณดำเนินธุรกิจเพียงคนเดียวได้ แต่หากอยากขยายธุรกิจให้เติบโตจนสร้างความมั่งคั่งให้คุณได้ คุณจำเป็นต้องมีตัวคูณ ซึ่งตัวคูณที่นาวาลแนะนำให้รู้จักมีอยู่ 3 อย่าง ได้แก่

1. แรงงาน การจ้างคนอื่นให้มาทำงานแทนตัวคุณเป็นตัวคูณที่เก่าแก่ที่สุด และไม่ค่อยเหมาะกับโลกสมัยใหม่เท่าไหร่นัก การบริหารเรื่องคนเป็นงานที่ยุ่งยาก ต้องอาศัยทักษะความเป็นผู้นำในระดับสูง และวันหนึ่งคุณอาจเจอแรงงานเหล่านั้นก่อม็อบเรียกร้องนั่นเรียกร้องนี่

2. เงิน เงินทุนเป็นตัวคูณที่ดีมาตลอดศตวรรษนี้ และยังดีอยู่สำหรับใช้ในยุคสมัยนี้ ยิ่งมีเงินมาก คุณยิ่งขยายธุรกิจให้ใหญ่ยิ่งขึ้นได้เท่านั้น และการบริหารเงินง่ายกว่าการบริหารคนมาก

3. ผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มจำนวนได้ไม่สิ้นสุด ตัวอย่างเช่น หนังสือในรูปของอีบุ๊ค, ภาพยนตร์, โปรแกรมคอมพิวเตอร์ สิ่งเหล่านี้ผลิตขึ้นมาแค่ครั้งเดียวและไม่มีต้นทุนในการผลิตซ้ำ ถึงมีก็มีไม่มาก เช่น คุณสร้างภาพยนตร์มาเรื่องหนึ่งแล้วอัพโหลดขึ้นยูทูปแบบติดโฆษณา คุณลงทุนค่าสร้างภาพยนตร์ในตอนแรก หลังจากนั้นปล่อยให้ระบบทำงานของมันเอง แม้คนดูจะเข้ามาดูเพิ่ม แต่ต้นทุนของคุณไม่ได้เพิ่มขึ้นตาม และยังได้ค่าโฆษณามากขึ้นอีกด้วย

ตัวคูณอย่างสุดท้ายนี้สร้างเศรษฐีหน้าใหม่มาแล้วหลายคน เช่น Mark Zuckerburg ผู้สร้าง Facebook, Bill Gates เจ้าของ Microsoft, Larry Page และ Sergey Brin ผู้สร้าง Google ตัวคูณอย่างสุดท้ายนี้คุณไม่จำเป็นต้องมีเงินก็สามารถสร้างได้ คุณสามารถลงมือเขียนโปรแกรม, เขียนหนังสือ, อัดพอดแคสต์ หรือถ่ายคลิปลงยูทูปได้เองเลย


สิ่งหนึ่งที่สำคัญสำหรับนำไปสู่หนทางรวยคือ "การมีชื่อเสียง" เมื่อคุณกลายเป็นที่รู้จัก คนจะอยากเข้ามาเจรจากับคุณมากมาย นอกจากนี้คุณต้องเป็นคนที่เชื่อใจได้, มีความซื่อสัตย์สูง คนอื่นถึงจะเข้าหาและเจรจาธุรกิจด้วย ตัวอย่างเช่น นักลงทุนคนดัง "วอร์เรน บัฟเฟตต์" ที่มักได้รับข้อเสนอให้ซื้อหุ้นบริษัทต่าง ๆ มากมาย เป็นเพราะที่ผ่านมาเขารักษาความน่าเชื่อถือมาได้ตลอด และชื่อของเขาก็กลายเป็นแบรนด์ที่แข็งแรงไปแล้ว

หากว่าคุณกลายเป็นคนมีชื่อเสียงขึ้นมา มีคนเข้าหาคุณมากมาย คุณจะดูออกได้ยังไงว่าใครน่าเชื่อถือ มีสัญญาณอะไรพอจะให้จับสังเกตได้ไหม นาวาลบอกว่าจากประสบการณ์ที่เขาได้เรียนรู้มาทั้งชีวิต คนที่เข้ามาแล้วบรรยายว่าตัวเองซื่อสัตย์อย่างโน้นอย่างนี้ ให้ปักธงแดงไว้เลยว่าคน ๆ นี้เชื่อถือไม่ได้


ท้ายของบทแรกในหนังสือซึ่งพูดถึงเรื่องการแสวงหาความมั่งคั่ง นาวาลได้แนะนำสิ่งสำคัญที่คนอยากมีความมั่งคั่งต้องมีติดตัว ผมสรุปมาให้ดังนี้

ความรู้เกี่ยวกับการเงินที่คนอยากรวยต้องเข้าใจคือ "ดอกเบี้ยทบต้น" ตัวอย่างเช่น คุณลงทุนเป็นจำนวน 100 บาท ในกองทุนที่ให้ผลตอบแทน 10% ต่อปี พอครบปีเงินทั้งหมดที่คุณมีจะกลายเป็น 110 บาท ปีถัดไปเพิ่มเป็น 121 บาท และปีถัดไปเพิ่มเป็น 133 บาท หากปล่อยให้ดอกเบี้ยทบต้นทำงานของมันไปจนถึงปีที่ 30 จากเงินต้น 100 บาทของคุณจะกลายเป็นเงิน 1,745 บาท เติบโตขึ้นถึง 17 เท่า

นาวาลแนะนำว่าหากคุณสนใจเรื่องการลงทุน ควรเรียนรู้คณิตศาสตร์ติดตัวไว้ ไม่จำเป็นต้องเรียนลึกถึงเรื่องตรีโกณมิติ, แคลคูลัส หรือเรื่องอะไรที่ซับซ้อนยิ่งกว่านี้ คุณเรียนเพียงคณิตศาสตร์พื้นฐานอย่างบวก ลบ คูณ หาร, ความน่าจะเป็น และสถิติ ความรู้เหล่านี้สำคัญมาก

หากคุณตัดสินใจไม่ได้ นาวาลบอกว่าให้เลือกตอบ "ไม่" สำหรับทุกคำถาม

  • ฉันควรแต่งงานกับคนนี้ไหม?
  • ฉันควรรับงานนี้ไหม?
  • ฉันซื้อบ้านหลังนี้ดีไหม?
  • ฉันทำธุรกิจร่วมกับคนนี้ดีไหม?

ถ้าคุณตัดสินใจเรื่องเหล่านี้ไม่ได้ ให้เลือกไม่ทำสิ่งเหล่านั้นไปเลย เพราะหากต้องเลือกอะไรสักอย่าง คุณต้องผูกติดกับสิ่งนั้นไปอีกนาน การเริ่มทำธุรกิจอาจใช้เวลาเป็นสิบปี การคบใครสักคนอาจยาวสัก 5 ปี หรือนานกว่านั้น สิ่งเหล่านี้เมื่อตัดสินใจแล้ว เราต้องอยู่กับมันไปทั้งชีวิต ดังนั้นหากคุณไม่มั่นใจเต็มร้อยก็อย่างเพิ่งลงหลักปักฐานกับสิ่งนั้น


เข้าสู่ครึ่งหลังของหนังสือซึ่งพูดถึงความสุข นาวาลบอกว่าความสุขเป็นทักษะที่เรียนรู้กันได้ หากถามเขาเมื่อ 10 ปีที่แล้วว่า คะแนนความสุขเต็ม 10 เขาให้ตัวเองเท่าไหร่ ตัวเขาเมื่อ 10 ปีที่แล้วคงให้ 2/10 หรืออย่างมาก 4/10 เขาไม่ได้ให้ค่ากับความสุขนัก

แต่ทุกวันนี้เขาให้คะแนนความสุขตัวเองอยู่ที่ 9/10 เพราะความสุขเป็นสิ่งที่เรียนรู้และพัฒนาได้ ความสุขของแต่ละคนแตกต่างกันไป บางสิ่งบางอย่างมีความหมายกับคนหนึ่งมาก แต่กลับไร้ความหมายสำหรับอีกคน

ความสุขอาจนิยามได้หลายความหมาย บางคนอาจหมายถึงการที่จิตใจมีสมาธิ บางคนอาจหมายถึงความพึงพอใจ บางคนอาจหมายถึงความสบายใจ นิยามความสุขของนาวาลเมื่อหลายปีก่อนก็แตกต่างจากทุกวันนี้

นาวาลนิยามความสุขของตัวเองทุกวันนี้ว่า ความสุขคือ default state ผมขอแปลคำนี้ว่า "ภาวะเรียบนิ่งของชีวิต" มนุษย์เรามักคิดอยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ ติดกับดักความปรารถนาของตัวเอง แต่ความสุขคือการไม่รู้สึกว่าขาดหายอะไรไป เป็นภาวะที่จิตของคุณสงบลง เลิกวิ่งตามอดีตหรืออนาคต ไม่นึกเสียใจกับสิ่งที่ผ่านมาแล้ว หรือกังวลกับสิ่งที่วางแผนจะทำ

ในช่วงเวลานั้นคุณจะรู้สึกสงบจากข้างใน เมื่อคุณสงบจากข้างใน คุณจะยอมรับสิ่งที่ตัวเองเป็น คุณจะรู้สึกมีความสุขในที่สุด

ผู้คนมักเชื่อกันไปผิดทางว่าความสุขคือการคิดบวกและแสดงอารมณ์ออกมาในทางบวก แต่หากความคิดบวกนั้นมีขึ้นเพื่อกลบความคิดลบ มันก็ไม่อาจเรียกว่าเป็นความสุขได้ คุณจะพูดได้ยังไงว่าตัวเองมีความสุข ถ้าข้างในคุณรู้สึกเศร้าอยู่หน่อย ๆ

ความสุขคือการไม่มีความทุกข์ ไม่ปรารถนาสิ่งใด ไม่คิดมากเรื่องในอดีตหรือเรื่องที่กำลังจะเกิดในอนาคต ความสุขคือการเตรียมพร้อมรับมือกับปัจจุบัน ยอมรับว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด


ในบทที่เกี่ยวข้องกับความสุขเหล่านี้ นาวาลพูดถึงพระพุทธเจ้าบ่อยครั้ง เขานำหลักคิดแบบพุทธมาใช้กับชีวิตของตัวเอง โดยหลักคิดหนึ่งของพุทธที่เป็นหัวใจสำคัญคือคำสอนที่ว่า "การจะมีความสุขได้ คุณต้องอยู่กับปัจจุบัน"

น้อยมากที่ปกติคนเราจะมีสติอยู่กับปัจจุบัน ใจเรามักลอยไปกังวลกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นในอนาคต หรือไม่ก็เสียใจกับอดีตที่กลับไปแก้ไขไม่ได้ ใจที่ลอยออกไปนี้ ทำให้เราไม่ได้ดื่มด่ำกับประสบการณ์ตรงหน้า ไม่ได้เห็นความสวยงามของสิ่งรอบตัว

นาวาลบอกว่าเขาไม่เก็บเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในอดีตเอาไว้เลย หลายครั้งที่คนเราไม่มีความสุขเพราะเอาปัจจุบันไปเปรียบเทียบกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต


การจะมีความสุขต้องมีความสงบ

นาวาลบอกว่าสำหรับเขา ความสุขนั้นเกี่ยวกับความสงบมากกว่าความสนุก ปัจจัยภายนอกมักทำให้เราเกิดความกังวล เช่น "ฉันเป็นลูกชายคนโตของบ้าน ดังนั้นฉันจึงควรทำ..." หรือการมีหนี้และภาระต้องรับผิดชอบก็ทำให้เราเกิดความกังวล

ช่วงที่คุณกำลังกังวลใจ ให้ลองฟังเสียงในหัวตัวเอง คุณจะพบว่าในนั้นเต็มไปด้วยเสียงที่คิดถึงสิ่งนั้นสิ่งนี้ดังก้องอยู่ในหัว ให้คุณลองนั่งอยู่นิ่ง ๆ โดยไม่ต้องทำอะไร แต่การนั่งนิ่ง ๆ แบบนี้ทำได้ยากมาก เพราะความกังวลใจจะเรียกให้คุณลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง ความกังวลใจนี่แหละครับที่ทำให้คุณไม่มีความสุข

แล้วคุณจะสู้กับความกังวลใจเหล่านี้ยังไง นาวาลบอกว่าคุณไม่จำเป็นต้องสู้กับมัน คุณเพียงแค่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังกังวลใจอยู่ก็พอ แล้วถามตัวเองว่าถ้าให้เลือกระหว่างปล่อยให้ความคิดในหัววิ่งพล่านต่อไปกับหยุดคิดเพื่อให้มีเวลาได้สงบ คุณจะเลือกอะไร


ความอยากได้อยากมี ทำให้คุณไม่มีความสุข

นาวาลบอกว่าความอยากได้อยากมีสิ่งโน้นสิ่งนี้ คือข้อผูกมัดที่เราสร้างขึ้นเพื่อให้ตัวเองมีความสุข คุณอาจคิดว่า "ฉันอยากได้รถใหม่ ถ้าได้ซื้อรถคันใหม่ ฉันต้องมีความสุขมากแน่ ๆ" แต่พอคุณซื้อรถแล้ว คุณจะมีความสุขกับมันได้แค่ไม่กี่วัน และอยากได้สิ่งใหม่ไปเรื่อย ๆ ไม่จบสิ้น


ความสำเร็จไม่ได้นำมาซึ่งความสุข

หลายคนอาจคิดว่าการจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จได้ คุณต้องเป็นที่สุดของด้านนั้น หากคุณเป็นนักกีฬา ความสำเร็จคือการได้เป็นที่ 1 ในกีฬาที่คุณแข่งขัน หากคุณเป็นนักธุรกิจ คุณต้องเก่งให้เท่าอีลอน มัสก์

นาวาลยกย่องให้อีลอน มัสก์ เป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จ เพราะอีลอนทำให้โลกเห็นว่าเทคโนโลยีสมัยนี้สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้แค่ไหน และบริษัทที่เขาบริหารก็เติบโตได้อย่างดี

แต่การจะมีความสุข คุณไม่จำเป็นต้องประสบความสำเร็จขนาดอีลอน มัสก์ ความสุขเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายในใจ คนที่มีความสุขคือคนที่มีสุขภาพจิตดี ควบคุมตัวเองได้ และตระหนักรู้ถึงคุณค่าของตัวเอง


ความอิจฉาคือศัตรูของความสุข

นาวาลคิดว่าชีวิตของคนเราไม่ได้ยากขนาดนั้น พวกเราทำให้ชีวิตของเรามันยากเอง เพราะมักคิดอยู่เสมอถึง "สิ่งที่ควรทำ" ฉันควรทำสิ่งนี้ ฉันควรทำสิ่งนั้น ทำว่า "ควรทำ" ในที่นี่หมายถึงสิ่งที่คุณไม่อยากทำ เพราะถ้าคุณอยากทำ คุณจะพูดว่า "ฉันอยากทำสิ่งนั้น" ไม่ใช่ "ฉันควรทำสิ่งนั้น"

ถ้าคุณฝืนทำสิ่งที่คิดว่าตัวเองควรทำ ทั้งที่ใจจริงไม่ได้อยากทำ นั่นจะนำพาความทุกข์มาให้คุณ และที่เรามีความคิดถึงสิ่งที่ควรทำมากมายเต็มไปหมดในหัว เพราะเราคิดว่าตัวเองกำลังแข่งขันกับคนอื่นในสังคมอยู่ เหมือนเรากำลังเล่นเกมโหมดผู้เล่นหลายคนที่ต้องชิงดีชิงเด่นและเอาชนะกัน

ที่จริงแล้วชีวิตของเราเป็นเกมที่มีเราเป็นผู้เล่นแค่คนเดียว เราเกิดมาตัวคนเดียว ในอนาคตก็ต้องตายตัวคนเดียว หลังจากนั้นอาจมีคนคิดถึงคุณบ้าง แต่ก็ไม่เกิน 3 ชั่วอายุคน คุณก็จะถูกลืมแล้ว ไม่มีใครแคร์อะไรคุณมากมายหรอก

ความอิจฉาเป็นอารมณ์ที่เอาชนะได้ยาก ความอิจฉาเป็นเหมือนยาพิษที่คุณวางใส่ตัวเอง อิจฉาไปแล้วคุณก็ไม่มีอะไรดีขึ้น คนที่คุณอิจฉาก็ยังประสบความสำเร็จหรือดูดีในแบบเดิมของเขา มีแต่คุณคนเดียวที่ไม่มีความสุข

นาวาลบอกว่าเขาเคยลองคิดดูว่า ถ้าให้เขากลายเป็นคนที่เขาอิจฉาเลยจะเอาไหม เขาตกผลึกได้ว่าตัวเขาไม่ได้อยากใช้ชีวิตแบบคน ๆ นั้น ไม่ได้อยากมีร่างกายและหน้าตาแบบนั้น ไม่ได้อยากได้ครอบครัวของคนนั้น ถ้าให้แลกตัวตนกันแบบ 100% นาวาลก็ไม่เอา คิดได้ดังนั้นเขาจึงไม่รู้จะอิจฉาไปทำไม เขามีความสุขได้กับการเป็นตัวของตัวเอง


ความสุขเป็นทักษะที่ฝึกกันได้

นาวาลบอกว่าไม่มีใครเกิดมาแล้วมีความสุขติดตัวมาตั้งแต่เกิด สภาพแวดล้อมและเงื่อนไขในชีวิตอาจเกี่ยวข้องกับความสุขก็จริง แต่คุณลงมือเปลี่ยนสภาพแวดล้อมและทำลายเงื่อนไขที่คุณมีได้ นาวาลได้ให้เทคนิคการฝึกให้ตัวเองมีความสุขดังนี้

  • ทำสมาธิคือสิ่งที่นาวาลทำแล้วได้ผล มันทำให้เขาเข้าใจว่าจิตใจของเขาทำงานยังไง
  • มีความตระหนักรู้อยู่ตลอดเวลา เมื่อไหร่ที่นาวาลเห็นว่าตัวเองกำลังตัดสินคนอื่น เขาจะหยุดความคิดนั้น
  • เมื่อคุณเกิดอยากได้อะไรสักอย่างให้ถามตัวเองว่า "ฉันจะไม่มีความสุข จนกว่าจะได้ครอบครองสิ่งนั้นเหรอ?" คำถามนี้จะทำให้คุณรู้ว่าสิ่งไหนสำคัญกับคุณจริง ๆ
  • นาวาลบอกว่าเขาเลิกคาเฟอีนแล้วมีความสุขขึ้น อารมณ์เสถียรขึ้น
  • การออกกำลังกายทุกวันทำให้คุณมีความสุขขึ้น และร่างกายที่แข็งแรงจะนำพาให้สภาพจิตใจแข็งแรงตามไปด้วย
  • การตัดสินคนอื่นทำให้คุณมีความสุขแค่ชั่วคราว คุณอาจรู้สึกว่าตัวเองดีกว่าคน ๆ นั้น แต่หลังจากผ่านไป คุณจะแยกตัวเองออกจากคนอื่น และมองทุกสิ่งในแง่ลบไปหมด
  • บอกเพื่อน ๆ ของคุณว่าคุณเป็นคนที่มีความสุข หลังจากนั้นคุณจะพยายามทำให้ตัวเองมีความสุข เพื่อยืนยันกับเพื่อนว่าสิ่งที่คุณบอกกับพวกเขานั้นเป็นเรื่องจริง
  • ยิ่งมีความลับเยอะ คุณก็ยิ่งมีความสุขน้อย
  • ถ้าเกิดหดหู่ขึ้นมาให้ลองทำสมาธิ, ฟังเพลงหรือออกกำลังกายดู สิ่งเหล่านี้ช่วยรีเซตอารมณ์คุณได้
  • ยิ่งติดหน้าจอ, ติดมือถือ, ติดโซเชียล คุณยิ่งมีความสุขน้อย
  • คุณสามารถเพิ่มสารเซโรโทนินซึ่งเป็นสารแห่งความสุขให้ร่างกายตัวเองได้ โดยการออกไปรับแสงแดด, ออกกำลังกาย, คิดบวกหรือกินทริปโตเฟนเป็นอาหารเสริม ทริปโตเฟนเป็นกรดอะมิโนจำเป็นที่ร่างกายเราสร้างขึ้นเองไม่ได้


ทั้งหมดที่ผมเล่าใน ep นี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งของหนังสือ The Almanack of Naval Ravikant เท่านั้น ในหนังสือยังมีข้อคิดและเทคนิคดี ๆ อีกเยอะ เป็นหนังสือที่เขียนเหมือนบันทึก เหมือนเรากำลังอ่านไดอารีของเพื่อนมากกว่าอ่านหนังสือ และด้วยความที่มันเป็นบันทึก จึงทำให้เนื้อหาบางส่วนกระจัดกระจาย มีเนื้อหาซ้ำเดิมบ้าง แต่โดยรวมเป็นหนังสือที่อ่านง่ายครับ

สำหรับผมคิดว่าหนังสือเล่มนี้ดีเกินกว่าจะมาฟังแค่สรุป ถ้ามีโอกาสผมอยากให้เพื่อน ๆ ได้อ่านหนังสือเล่มนี้แบบเต็ม ๆ แต่เล่มนี้ยังไม่มีแปลเป็นภาษาไทย อาจจะเป็นอุปสรรคสำหรับบางคนที่ไม่ถนัดภาษาอังกฤษ ถ้าเพื่อน ๆ คนไหนไม่ติดเรื่องนี้ สามารถซื้อเล่มนี้มาอ่านได้ครับ มีทั้งแบบรูปเล่มและ ebook บน Kindle Store ผมซื้อแบบ ebook มาราคาประมาณ 110 บาท เท่านั้น ผมคิดว่าอีก 5 ปี หรือ 10 ปี อยากกลับมาอ่านหนังสือเล่มนี้อีกครั้ง เพื่อดูว่าช่วงเวลาชีวิตที่ผ่านมา ผมได้เอาอะไรในหนังสือไปใช้แล้วบ้าง