How to Live Like the Little Prince: วิถีเจ้าชายน้อย - คำแนะนำสำหรับผู้ใหญ่ที่อยากกลับมามีจินตนาการ

How to Live Like the Little Prince: วิถีเจ้าชายน้อย - คำแนะนำสำหรับผู้ใหญ่ที่อยากกลับมามีจินตนาการ

ผมในวัย 30 ปี เพิ่งกลับมาอ่านเจ้าชายน้อยอีกครั้ง ห่างจากครั้งแรกที่อ่านเรื่องนี้ตอนอยู่มหาลัยปี 1 ประมาณ 12 ปี ครั้งนั้นจำได้ว่าผมไม่รู้สึกเพลิดเพลินกับหนังสือเล่มนี้เลย อ่านจบแล้วไม่ได้ข้อคิดอะไรจากมัน แต่ครั้งล่าสุดนี้เรียกได้ว่าพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ ผมรับสารจากหนังสือเล่มนี้ได้มากขึ้น บางช่วงบางตอนในเรื่องกินใจผม อาจจะเพราะว่าผมกลับมาอ่านเล่มนี้อีกครั้งตอนที่โตแล้ว ผ่านประสบการณ์ชีวิตมามากกว่าสมัยยังอายุ 18

เจ้าชายน้อยเป็นวรรณกรรมเยาวชนขึ้นหิ้งระดับคลาสสิกของโลก เขียนโดย อ็องตวน เดอ แซ็งแตกซูว์เปรี นักเขียนชาวฝรั่งเศส ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1943 เรื่องนี้ได้รับความนิยมไปทั่วโลก ถูกแปลไปแล้วกว่า 255 ภาษา เดิมทีผู้เขียนมีจุดประสงค์เขียนเพื่อเสียดสีสังคม แต่มันก็แฝงไปด้วยปรัชญาที่หลายคนอ่านก็ตีความไปในรูปแบบของตัวเอง

แม้การกลับมาอ่านเจ้าชายน้อยครั้งนี้ของผมจะประทับใจ และมีความรู้สึกร่วมกับหนังสือมากขึ้นกว่าครั้งแรก แต่ผมก็ยอมรับตรง ๆ ว่าไม่ได้เข้าใจทุกส่วนของหนังสือ หลาย ๆ บทผมยังตีความไม่ออกว่าสื่อถึงอะไร และบังเอิญว่าผมไปเจอกับหนังสือเล่มหนึ่งครับ ชื่อว่า "How to Live Like the Little Prince" หรือชื่อไทยว่า "วิถีเจ้าชายน้อย" เขียนโดย Stephane Garnier คร่าว ๆ เกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้คือ เป็นคู่มือสำหรับผู้ใหญ่ที่อยากกลับมามีจินตนาการอีกครั้ง ผมสรุปเนื้อหาบางส่วนจากหนังสือเล่มนี้มาเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังกันครับ


แน่วแน่และเด็ดเดี่ยวแบบเจ้าชายน้อย

เจ้าชายน้อยมีความดึงดันและกัดไม่ปล่อย ถ้าเขาอยากได้หรืออยากรู้อะไรจะพยายามแน่วแน่จนกว่าจะได้มา ตัวอย่างเช่น ตอนที่เจ้าชายน้อยเจอกับนักบินครั้งแรก และขอร้องให้นักบินวาดแกะให้หนึ่งตัว นักบินได้วาดแกะขึ้นมาแล้วส่งให้ แต่เจ้าชายน้อยไม่ถูกใจ และรบเร้าให้นักบินวาดแกะตัวใหม่แบบที่เขาอยากได้

หรือตอนที่เจ้าชายน้อยได้เจอกับนักธุรกิจที่ยุ่งอยู่กับงานของตัวเอง และพึมพำออกมาว่า 500 ล้าน เจ้าชายน้อยที่สงสัยก็ถามว่า "500 ล้านอะไรครับ" และตั้งหน้าตั้งตาถามจนกว่าจะได้คำตอบ

สิ่งที่เจ้าชายน้อยมีไม่ใช่แค่ความอยากรู้อยากเห็น แต่เป็นการแสวงหา เขาไม่คิดละทิ้งความปรารถนาหรือความอยากรู้คำตอบจนกว่าจะได้มา เจ้าชายน้อยมีความแน่วแน่ที่จะทำความเข้าใจ แน่วแน่ที่จะได้รับสิ่งที่ต้องการ

คุณเอาเจ้าชายน้อยเป็นแบบอย่างได้ โดยการมั่งคงต่อสิ่งที่ต้องการโดยไม่เปลี่ยนใจ บางทีเราอาจเร่งให้ตัวเองก้าวไปข้างหน้าไว ๆ โดยยอมเลือกเส้นทางอื่น แต่เราจะพอใจกับผลลัพธ์หรือสิ่งที่ได้มาหรือเปล่า หากเราไม่ได้แน่วแน่มุ่งไปสู่สิ่งที่ต้องการจริง ๆ


เป็นขบถและซื่อตรงแบบเจ้าชายน้อย

แม้ว่ากฏระเบียบจะจำเป็นต่อการอยู่ร่วมกันได้อย่างราบรื่น แต่เราต้องยอมจำนนต่ออำนาจที่ขัดกับเจตจำนงและวิจารณญาณของเราหรือ กฏเหล่านี้อยู่ในทุกรูปแบบ ทั้งกฏหมาย, ลำดับชั้นทางสังคม, อำนาจรัฐ หรือศาสนา สิ่งเหล่านี้เป็นกฏที่ผู้แข็งแกร่งสร้างขึ้น แต่ไม่ใช่ทุกกฏที่เราต้องสยบยอมตลอดกาล

ยิ่งเราโตขึ้น เรายิ่งรู้สึกว่ามันง่ายกว่าที่ยอมให้ความกลัวจำกัดเราไว้ เราไม่อยากมีปัญหาจึงยอมทำตามกฏไป ยิ่งเราโตขึ้นเรายิ่งสะสมความกลัวมากขึ้นเรื่อย ๆ อำนาจทุกรูปแบบใช้ประโยชน์จากความกลัวนี้ มันง่ายมากที่เราจะยอมละทิ้งบางส่วนของชีวิต เช่น อิสรภาพ ให้กับแรงกดดันทางการเมืองหรือข้อบังคับทางศาสนา เรากลายเป็นผู้ยอมจำนนได้โดยไม่ต้องใช้เหตุผล

การเป็นขบถแบบเจ้าชายน้อยไม่ได้หมายถึงให้คุณกลายมาเป็นคนเกรี้ยวกราด ไม่ฟังใคร หรือเจ้าคิดเจ้าแค้น แต่หมายถึงให้คุณเชื่อมั่นในตัวเองเหนือสิ่งอื่นใด และเดินไปในทางที่ต้องการตามแบบฉบับของตัวเอง โดยไม่ยอมให้อะไรมาผูกมัดคุณไว้


ร่ำรวยในสิ่งที่ตัวเองมีแบบเจ้าชายน้อย

บนดาวดาวเล็กของเจ้าชายน้อยมีภูเขาไฟที่เขาต้องทำความสะอาดปล่องของมัน มีดอกไม้ที่เขาต้องใส่ใจดูแลเป็นพิเศษ เมื่อเจ้าชายน้อยดูแลภูเขาไฟเป็นอย่างดี เขาก็สามารถมานั่งที่ปล่องภูเขาไฟเพื่อรับความอบอุ่นได้ เมื่อเขาดูแลดอกไม้เป็นอย่างดี เขาก็สามารถชื่นชมความงามของมันได้ เขาทำประโยชน์ให้กับสิ่งเหล่านี้ และสิ่งเหล่านี้ก็ให้ประโยชน์ตอบแทนเขา

ทุกวันนี้คุณตั้งหน้าตั้งตาสะสมสิ่งที่ไม่ได้สร้างความสุขให้คุณอยู่หรือเปล่า คนจำนวนมากสะสมสิ่งต่าง ๆ เพื่อพิสูจน์ตัวเองกับคนอื่น หรือเพื่อไม่ให้ตกกระแส เราต้องมีเงินเยอะ ๆ ต้องมีบ้านหลังใหญ่ ต้องมีรถรุ่นใหม่ แต่ความรำ่รวยแบบนั้นจะสำคัญอะไร ถ้ามันไม่ได้เติมเต็มสิ่งที่คุณปรารถนาจริง ๆ

ลองดูว่ามีของสักกี่ชิ้นที่ทำให้คุณมีความสุข หรือทำให้คุณเบิกบาน ของสิ่งไหนบ้างที่มีเหตุผลให้คุณเก็บมันไว้ ถ้าของสิ่งไหนไม่ได้ทำให้คุณมีความสุข ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะเก็บมันไว้


จากลาแบบเจ้าชายน้อย

เป็นเรื่องยากเสมอที่เราต้องจากลาออกมา การจากลาไม่ใช่เรื่องของการตัดสินใจ แต่คือความจำเป็นของชีวิตที่จะผลักดันเราไปในทิศทางหนึ่ง ที่เราอาจจะยังเห็นจุดหมายปลายไม่ชัดเจน แต่การเดินออกมาจากบางสิ่ง เพื่อไปตามเส้นทางของตัวเองนั้นเป็นเรื่องจำเป็น

เมื่อถึงเวลาต้องจากลา ไม่มีประโยชน์อะไรที่ต้องไปขัดขืน ทุกคนล้วนมีเส้นทางเป็นของตัวเอง และเราสามารถเลือกเส้นทางของตัวเองได้ เมื่อเห็นชัดเจนแล้วว่าควรเลือกเส้นทางไหน เราก็ต้องลงมือทำ อาจจะผัดผ่อนการจากลาออกไปได้สักเล็กน้อย เพื่อยืดช่วงเวลาแห่งความเจ็บปวดออกไป แต่สุดท้ายเมื่อถึงเวลาแล้ว เราก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องปล่อยมือ

เราต้องรู้จักปล่อยมือเมื่อถึงเวลา คนที่เรารักอย่างเช่นลูก ๆ เมื่อถึงเวลาที่เขาต้องไปเรียนต่อ, ไปทำงาน หรือไปมีคนรัก ถ้าพวกเขาต้องการสิ่งนั้นจริง ๆ เราต้องปล่อยเขาไป และทำอะไรไม่ได้นอกจากอวยพรให้พวกเขามีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองเลือก

การออกเดินทางของเจ้าชายน้อยทำให้เขาได้พบกับคนมากหน้าหลายตา ได้สร้างสัมพันธ์และมิตรภาพกับเพื่อนใหม่ ๆ เช่น สุนัขจิ้งจอก เพื่อนคนแรกบนดาวโลกของเจ้าชายน้อย แต่เมื่อเจ้าชายน้อยต้องออกเดินทางต่อ เขาก็ต้องกล่าวอำลาสุนัขจิ้งจอก แต่แม้ทั้งสองจะอยู่ห่างไกลกัน ถ้าเจ้าชายน้อยแหงนหน้าขึ้นมองฟ้า เขาก็จะคิดถึงสุนัขจิ้งจอก และเมื่อสุนัขจิ้งจอกมองไปที่ทุ่งข้าวสาลีก็จะนึกถึงเจ้าชายน้อย เพราะต้นข้าวสาลีมีสีทองเหมือนผมของเจ้าชายน้อย


เนื้อหาในหนังสือยังมีมากกว่านี้ แต่ผมยกบางบทที่น่าสนใจมาเล่าให้เพื่อน ๆ ฟัง หลังอ่านจบผมรู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ได้เชื่อมโยงกับเจ้าชายน้อยมากเท่าไหร่ อ่านแล้วไม่ได้ทำให้เข้าใจเรื่องราวในหนังสือเจ้าชายน้อยมากขึ้น แต่ละบทแตะลักษณะนิสัยของเจ้าชายน้อยแค่นิดหน่อย และเขียนเสริมเพิ่มเติมตามความคิดเห็นของผู้เขียน

จริง ๆ เล่มนี้ไม่ต้องพูดถึงเจ้าชายน้อยเลยก็ได้ เหมือนผู้เขียนแค่ยืมชื่อเสียงของเจ้าชายน้อยมาช่วยให้หนังสือของตัวเองขายได้ เนื้อหาในเล่มไม่ได้อิงหลักปรัชญา เป็นเพียงบทความให้กำลังใจที่พบเห็นได้ทั่วไป บางบทอ่านแล้วเอียนเหมือนกัน เล่มนี้มีส่วนที่ผมไม่ชอบมากกว่าส่วนที่ชอบ ที่ไม่ชอบเล่มนี้เพราะรู้สึกว่าผู้เขียนค่อนข้างตัดสินคนอื่นมากเกินไป

มีบทหนึ่งค่อนแคะคนชอบดูทีวีว่าเป็นคนไม่รู้จักเสพความงาม เพราะทีวีมักฉากภาพด้านที่น่าเกลียดของโลกใบนี้ ต่างจากเจ้าชายน้อยที่ชอบดูพระอาทิตย์ตกดิน เจ้าชายน้อยมีความสุขและดื่มด่ำไปกับความสวยงามของโลก ทั้งที่การดูทีวีก็ไม่ได้แย่ ทีวีนำเสนอข่าวจากทุกมุมของโลก มีสารคดีนำเสนอเรื่องที่เราไม่เคยรู้มาก่อน หรือแม้แต่ละคร, การ์ตูนหรือซีรีส์ที่ฉายทางทีวีก็เป็นผลงานที่สร้างมาจากจินตนาการของผู้คนมากมาย ผมว่าการดูทีวีถือเป็นสุนทรียะอย่างหนึ่ง มันสร้างความสุขให้บางคนได้ไม่แพ้กับการดูพระอาทิตย์ตกดิน ไม่มีความจำเป็นต้องยกให้สิ่งหนึ่งสูงส่ง โดยการดึงอีกสิ่งให้ต่ำลง


ผู้เขียนได้ชวนให้คนอ่านลองนึกย้อนไปถึงความฝันในวัยเด็กที่เราอาจจะลืมไปแล้ว เขาให้คนอ่านเขียนทุกความฝันที่นึกออกลงไปในหนังสือ แม้ความฝันนั้นจะฟังดูเหลวไหลก็ตาม และชวนให้เราลงมือทำความฝันเหล่านั้นให้สำเร็จปีละ 1 อย่างก็ยังดี

สำหรับผมคิดว่าวิธีการนี้ไม่น่าจะดีเท่าไหร่ มันคือการโหยหาอดีต และหลบหนีปัจจุบัน ความฝันในวัยเด็กไม่ใช่สิ่งสวยงามเสมอไป ช่วงเวลาวัยเด็กก็เหมือนช่วงเวลาอื่น ๆ ของชีวิต ที่มีทั้งความสุขและความทุกข์ปะปนกัน การคิดว่าวัยเด็กมีแต่ช่วงเวลาแห่งความสุข ผมว่าเป็นการเลือกมองเพียงแค่มุมเดียว และการนึกถึงความสุขในวัยเด็กก็ไม่ได้ช่วยให้ความทุกข์ในวันนี้คลายลง

คนเรานอกจากเติบโตทางร่างกาย ก็ยังเติบโตทางจิตวิญญาณด้วย ความฝันวัยเด็กของเราถึงจะเปลี่ยนแปลงหรือหายไปก็ถือเป็นเรื่องปกติ ไม่จำเป็นต้องกลับไปรื้อฟื้นว่าตอนเด็กตัวเองเคยฝันอะไรไว้ อะไรที่ตอนนั้นทำไม่ได้ก็ปล่อยมันไว้แบบนั้นแหละ ไม่จำเป็นต้องเอาเวลาที่มีอยู่ตอนนี้ไปทุ่มกับมัน

ผมเชื่อว่าตัวเองในปัจจุบันคัดสรรสิ่งที่ดีและเหมาะสมไว้ให้ตัวเอง อะไรที่คิดว่าไม่ใช่ผมก็ทิ้งไว้ในอดีต ไม่มีความจำเป็นต้องรื้อฟื้นไปคิดถึงมันครับ อยู่กับปัจจุบันดีที่สุด ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนดีเสมอ เพราะสิ่งเหล่านั้นได้ประกอบกันขึ้นมาเป็นตัวเราในทุกวันนี้

หนังสือใน ep นี้ อาจไม่ใช่หนังสือที่ดีสำหรับผม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นหนังสือที่ไม่ดีสำหรับเพื่อน ๆ หากเพื่อน ๆ อ่านแล้วอาจรู้สึกชอบเล่มนี้ และเห็นแย้งกับสิ่งที่ผมวิจารณ์เล่มนี้ก็ได้ครับ ถ้าเพื่อน ๆ สนใจสามารถหาหนังสือเล่มนี้มาอ่านได้ครับกับ "How to Live Like the Little Prince: วิถีเจ้าชายน้อย" เขียนโดย Stephane Garnier แปลเป็นภาษาไทยโดยสำนักพิมพ์ OMG Books ราคา 300 บาท