Into The Magic Shop: เราทุกคนล้วนมีร้านเวทมนตร์อยู่ในใจ - ปริศนาของสมอง ความลับของหัวใจ ที่เปลี่ยนเด็กชายผู้แหลกสลายให้เป็นศัลยแพทย์

Into The Magic Shop: เราทุกคนล้วนมีร้านเวทมนตร์อยู่ในใจ - ปริศนาของสมอง ความลับของหัวใจ ที่เปลี่ยนเด็กชายผู้แหลกสลายให้เป็นศัลยแพทย์

ไอติมฮีลใจ ep นี้จะมาแนะนำหนังสือ Into The Magic Shop: เราทุกคนล้วนมีร้านเวทมนตร์อยู่ในใจ เขียนโดย ดร.เจมส์ อาร์ โดตี หมอด้านศัลยกรรมประสาท เนื้อหาในเล่มนี้เป็นกึ่ง ๆ บันทึกความทรงจำของผู้เขียน ตอนที่เขาเป็นเด็กชายชื่อจิม ผู้มีพ่อติดเหล้า มีแม่เป็นโรคซึมเศร้า มีพี่ชายที่มักถูกรังแกอยู่บ่อย ๆ ฐานะของครอบครัวของเขานับว่ายากจนที่สุดในย่านนั้น พวกเขาอาศัยอยู่ในแลงแคสเตอร์ เมืองที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวกลางความแห้งแล้งที่แทบไม่มีอะไร วันหนึ่งจิมได้ปั่นจักรยานเที่ยวเล่น แล้วไปพบกับร้านขายอุปกรณ์เล่นมายากล เขาเข้าไปดูของในร้าน และได้พบกับหญิงชราชื่อรูธซึ่งเป็นแม่ของเจ้าของร้าน รูธรู้สึกถูกชะตาจิม และอยากสอนกลของเธอให้ รูธอ้างว่ากลของเธอสามารถบันดาลได้ทุกสิ่ง ตอนนั้นจิมต้องการหลุดพ้นจากความยากจน จึงมาเรียนกลกับรูธทุกวันเป็นเวลา 6 สัปดาห์

กลของรูธไม่ใช่มายากล แต่เป็นวิธีการที่ใช้สำหรับผ่อนคลายร่างกายและจิตใจเพื่อให้มีสมาธิ เป็นวิธีการตั้งจิตให้มั่นเพื่อดึงดูดสิ่งที่ต้องการให้เป็นจริง พูดได้ว่ากลของรูธคือการ manifest เหมือน ๆ กับหนังสือเล่มอื่นเช่น The Secret ที่บอกว่าหากอยากได้อะไรให้นึกภาพตัวเองตอนได้สิ่งนั้นเป็นประจำทุกวัน แล้วในที่สุดสิ่งที่คิดไว้จะเป็นจริง พวกเขาเรียกว่ากฎของแรงดึดดูดอะไรประมาณนั้น

การ manifest สำหรับผมไม่ถือว่าเป็นวิทยาศาสตร์และไม่ใช่หลักการจิตวิทยา มันคือความเชื่อส่วนตัว ไม่มีอะไรรับประกันว่าทำตามแล้วจะเกิดขึ้นจริง มันเป็นสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรกลของรูธที่ช่วยแนะนำวิธีผ่อนคลายจิตใจ ตั้งมั่นและรวบรวมสมาธิ ก็ถือว่ามีประโยชน์ พอเรามีสมาธิ มีสติจดจ่อกับสิ่งสำคัญที่กำลังทำ ก็จะทำสิ่งนั้นออกมาได้ดี ช่วยให้เรียนแล้วจดจำเนื้อหาได้แม่นขึ้น ช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างรอบคอบ มีดุลยพินิจ ช่วยให้ทำงานที่ต้องอาศัยความนิ่งและละเอียด อย่างเช่นงานผ่าตัดสมองให้คนไข้ของจิม

ครึ่งแรกของหนังสือพูดถึงกลของรูธ ครึ่งหลังเล่าชีวิตของจิมหลังจากเรียนกลของรูธครบแล้วนำไปใช้ จนเขาได้เรียนแพทย์ในระดับมหาวิทยาลัย เติบโตจนกลายเป็นแพทย์ศัลยกรรมประสาทที่มีชื่อเสียง ผมชอบเนื้อหาบทหลังมากกว่า ชอบบทเรียนจากชีวิตของจิมที่สอนอะไรคนอ่านได้มากมาย ได้เห็นการเติบโตทางความคิดและจิตวิญญาณของจิม ซึ่งอาจจะเป็นบทเรียนลัดที่คนอ่านอย่างเราไม่ต้องรอให้เกิดขึ้นกับตัวเองก็สามารถเรียนรู้ได้

ไว้ผมจะเล่าเรื่องราวชีวิตของจิมให้เพื่อน ๆ ฟังในช่วงหลังของ ep นี้นะครับ ก่อนอื่นผมขอเริ่มด้วยการแนะนำกลของรูธก่อน ซึ่งมีทั้งหมด 4 บทเรียน มาเริ่มต้นที่กลแรกกันเลยครับ


กลที่ 1 ของรูธ: ผ่อนคลายร่างกาย

1. หาเวลาและสถานที่สำหรับฝึกที่จะไม่โดนรบกวน อย่าเพิ่งเริ่มหากกำลังรู้สึกเครียด, มีเรื่องอื่นดึงดูดความสนใจ, กำลังเมาแอลกอฮอล์, ใช้สารเสพติด หรือเหนื่อยอยู่

2. ก่อนเริ่มต้นให้นั่งประมาณ 2-3 นาทีและผ่อนคลาย จากนั้นหลับตา

3. เริ่มต้นโดยหายใจลึก 3 รอบ โดยหายใจเข้าทางจมูกและหายใจออกทางปากช้า ๆ ทำซ้ำอีกจนกว่าจะชินกับการหายใจแบบนี้ เพื่อไม่ให้การหายใจดึงความสนใจของคุณ

4. เมื่อคุณรู้สึกสบายกับการหายใจวิธีนี้แล้ว ให้คิดแค่ว่าคุณนั่งยังไงอยู่และจินตนาการว่าคุณกำลังดูตัวเอง

5. เพ่งความสนใจไปที่นิ้วเท้าแล้วผ่อนคลาย ต่อมาเพ่งความสนใจไปที่เท้าแล้วผ่อนคลาย จินตนาการว่ามันละลายหายไปขณะหายใจเข้าออกไปเรื่อย ๆ เพ่งความสนใจไปที่นิ้วเท้าและเท้าเท่านั้น ช่วงแรกอาจจะรู้สึกถูกดึงความสนใจหรือคิดเรื่องอื่น เมื่อเกิดสิ่งเหล่านี้ให้เริ่มทำใหม่

6. เมื่อผ่อนคลายนิ้วเท้าและเท้าได้แล้ว ขยับการฝึกขึ้นมาเรื่อย ๆ ผ่อนคลายขาและต้นขา จากนั้นผ่อนคลายกล้ามเนื้อท้องและหน้าอก

7. ต่อมาคิดถึงกระดูกสันหลัง แล้วผ่อนคลายกล้ามเนื้อตลอดสันหลังมาจนถึงไหล่และคอ สุดท้ายผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่หน้าและหนังศีรษะ

8. เมื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อทั่วร่างกายแล้ว ให้สังเกตถึงความสงบรอบตัว  ถึงจุดนี้คุณอาจจะง่วงหรือหลับไป แต่ไม่เป็นไร อาจต้องฝึกหลายครั้งกว่าจะผ่านจุดนี้ได้โดยประคองความรู้สึกผ่อนคลายโดยไม่หลับ ขอให้อดทนและใจเย็นกับตัวเอง

9. ต่อมาตั้งความรู้สึกที่หัวใจและคิดถึงกล้ามเนื้อหัวใจที่ผ่อนคลายขณะที่หายใจเข้าออกช้า ๆ คุณอาจจะพบว่าหัวใจเต้นช้าลงเมื่อร่างกายผ่อนคลาย

10. จินตนาการถึงร่างกายที่ผ่อนคลายเต็มที่แล้ว และสัมผัสประสบการณ์ของการที่แค่นั่งอยู่ตรงนั้น ตั้งใจจดจำความรู้สึกผ่อนคลาย สงบ และอบอุ่นนี้ไว้ ทีนี้ลืมตาขึ้นช้า ๆ นั่งต่ออีก 2-3 นาทีโดยไม่ต้องหลับตา ไม่ต้องคิดหรือสนใจสิ่งอื่น


กลที่ 2 ของรูธ: กล่อมจิตให้นิ่ง

1. ทำเมื่อร่างกายผ่อนคลายแล้วตามกลที่ 1 ของรูธ

2. เริ่มตั้งจิตกับลมหายใจ ความคิดที่ผุดขึ้นและพยายามดึงความสนใจจากเรานั้นเป็นเรื่องปกติ เมื่อมันเกิดขึ้นให้กลับไปอยู่กับลมหายใจ บางคนอาจใช้การกำหนดที่รูจมูกและรู้สึกถึงอากาศที่เข้าออก เพื่อดึงความสนใจกลับมา

3. วิธีอื่นที่ช่วยลดความวอกแวกคือ พูดคำหนึ่งคำซ้ำไปซ้ำมา อย่างของจิมใช้คำว่า "คริสน็อบ" หรือจะใช้การจ้องเปลวไฟหรือสิ่งของแทนก็ได้ แต่ละคนใช้วีธีต่างกัน ลองหาวิธีการที่เหมาะสมที่สุด

4. การฝึกต้องใช้เวลาและความพยายาม อย่าท้อ อาจใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือนานกว่านั้น ก่อนจะเริ่มเห็นผลจากจิตที่สงบ คุณจะไม่สนใจกับความคิดเชิงลบ หรือสิ่งที่รบกวนจิตใจเหมือนเดิมอีกต่อไป ฝึกเช่นนี้วันละ 20-30 นาที

รางวัลของการกล่อมจิตให้นิ่งคือความคิดที่กระจ่างชัด


กลที่ 3 ของรูธ: เปิดหัวใจ

1. ผ่อนคลายร่างกายให้เต็มที่ตามกลที่ 1 ของรูธ

2. กำหนดลมหายใจและพยายามทำจิตให้ว่าง หากมีความคิดเกิดขึ้น ให้ดึงความสนใจกลับมาที่ลมหายใจ

3. ทีนี้ให้คิดถึงบุคคลในชีวิตที่ให้ความรักคุณอย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่ต้องเป็นความรักที่สมบูรณ์แบบหรือความรักที่ไม่มีความเจ็บปวดเลย แต่หมายถึงการที่มีใครสักคนรักคุณ โดยไม่เห็นแก่ตนเอง หากคิดถึงคนที่รักคุณอย่างไม่มีเงื่อนไขไม่ออก อาจจะคิดถึงใครในชีวิตที่คุณให้ความรักอย่างไม่มีเงื่อนไขแทนก็ได้

4. อยู่กับความรู้สึกอบอุ่นและสบายใจที่เกิดจากความรักอย่างไม่มีเงื่อนไขนั้น ขณะที่หายใจเข้าออกช้า ๆ สัมผัสถึงพลังของความรักนั้นและการที่คุณได้รับการยอมรับและความห่วงใย แม้ว่าคุณจะบกพร่องและไม่ได้สมบูรณ์แบบ

5. คิดถึงคนที่คุณห่วงใย แล้วส่งความรักอย่างไม่มีเงื่อนไขนั้นไปให้คนนั้น อวยพรให้เขามีชีวิตที่ดี มีความสุข มีความทุกข์น้อยที่สุด กอดคนนั้นไว้ในหัวใจ

6. ต่อมาให้คิดถึงคนที่คุณไม่ชอบ ขอให้เข้าใจว่าบ่อยครั้งการกระทำของคน ๆ นั้นเป็นการแสดงออกถึงความเจ็บปวดของเขา มองพวกเขาเหมือนเป็นตัวคุณ เป็นผู้ที่บกพร่อง ไม่ได้สมบูรณ์แบบ ที่บางครั้งต้องประสบความยากลำบากและทำผิดพลาด จากนั้นให้คิดถึงคนในชีวิตที่ให้ความรักโดยไม่มีเงื่อนไงกับคุณ และสะท้อนความรักและการยอมรับที่คุณได้รับนี้ให้กับคนที่คุณไม่ชอบ

7. พิจารณาว่าทุกคนที่คุณเจอนั้นเป็นผู้ที่ไม่สมบูรณ์ เช่นเดียวกับคุณที่ทำเคยผิดพลาดและเลือกทางผิด ขอให้ตั้งใจแผ่ความรักอย่างไม่มีเงื่อนไขนี้ให้ผู้อื่น ให้ความรัก ความอบอุ่น และการยอมรับพวกเขาในจิตของคุณ โดยไม่ต้องสนใจว่าพวกเขาจะตอบสนองยังไง


กลที่ 4 ของรูธ: กำหนดจุดมุ่งหมายให้ชัดเจน

1. อยู่ในห้องที่สงบแล้วหลับตา ให้คิดถึงเป้าหมายหรือสิ่งที่อยากทำให้สำเร็จ ยังไม่จำเป็นต้องมีรายละเอียดภาพที่ครบถ้วน

2. ผ่อนคลายร่างกายเต็มที่ตามกลที่ 1 ของรูธ กำหนดลมหายใจและทำจิตใจให้ว่าง ต่อมาให้คิดถึงเป้าหมายหรือความปรารถนา และจินตนาการว่าตัวคุณได้สิ่งนั้นแล้ว อยู่กับภาพนี้ขณะที่หายใจเข้าออกช้า ๆ

3. เมื่อคุณเห็นภาพตัวเองบรรลุหรือได้สิ่งนั้นและอยู่กับความรู้สึกนั้นแล้ว ค่อย ๆ เพิ่มรายละเอียดเข้าไปในภาพ คุณดูเป็นยังไง คุณอยู่ที่ไหน คนอื่น ๆ ตอบสนองต่อคุณยังไง ใส่รายละเอียดเข้าไปในภาพนั้นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

4. ทำซ้ำ 1-2 ครั้งต่อวัน เป็นเวลา 10-30 นาที แต่ละครั้งให้เริ่มด้วยภาพของคุณที่บรรลุเป้าหมาย อยู่กับความรู้สึก เติมรายละเอียด ในช่วงแรกอาจจะรู้สึกว่าภาพยังไม่ชัดเจน แต่เมื่อฝึกบ่อย ๆ ภาพนั้นจะชัดเจนขึ้น

5. ในการฝึกแต่ละครั้งคุณจะพบว่าภาพของคุณค่อย ๆ ถูกปรับให้ชัดเจนมากขึ้น เมื่อจิตใต้สำนึกเริ่มจะเห็นจุดมุ่งหมายชัดเจนขึ้น คุณอาจจะประหลาดใจกับสิ่งที่คุณพบ


หลังจากจิมเรียนรู้กลของรูธครบทั้งหมด เขาก็ยังเคลือบแคลงว่ากลจะใช้ได้ผลจริงไหม ตอนนั้นที่เขายังฐานะยากจน สิ่งที่เขาปรารถนาที่สุดคือการมีเงินไปจ่ายค่าเช่าบ้าน จิมไม่อยากกลายเป็นคนเร่ร่อนที่ต้องไปอยู่ศูนย์ผู้พักพิงอีกแล้ว แต่ตอนนี้พ่อของเขาติดเหล้าและถูกไล่ออกจากงาน แม่ก็ป่วยออกไปหางานทำไม่ได้ แม้พ่อจะบอกเขาว่าไม่ต้องห่วง อีกไม่นานพ่อจะได้เงินค่าจ้างที่ค้างจ่ายมาจ่ายค่าเช่าบ้าน แต่พ่อก็เคยพูดทำนองนี้กับจิมมาหลายครั้งแล้ว และจิมไม่แน่ใจในคำพูดของพ่อ

ระหว่างที่ใกล้ถึงเดดไลน์ที่ต้องจ่ายค่าเช่าบ้าน จิมฝึกกลของรูธทุกวัน จินตนาการว่าตัวเองและครอบครัวยังคงอยู่ในบ้านหลังนี้ แล้ววันหนึ่งก็มีชายคนหนึ่งมาเคาะประตูบ้าน พร้อมกับเอาเงินค่าจ้างที่เคยค้างกับพ่อของจิมมาจ่ายให้ เงินก้อนนั้นเป็นจำนวนที่เยอะพอจะจ่ายค่าเช่าบ้านไปได้อีกหลายเดือน ตอนนั้นเองที่จิมเชื่อมั่นว่ากลทั้งหมดของรูธได้ผล จึงฝึกฝนเป็นประจำทุกวัน

วันหนึ่งที่โรงเรียนของจิมจัดวิชาแนะแนวที่เชิญคนจากหลากหลายอาชีพมาแนะนำแนวทางอาชีพ ตอนนั้นจิมยังไม่มีความฝันว่าโตขึ้นอยากทำอาชีพอะไร แต่พอเขาเห็นคุณหมอคนหนึ่งก็รู้สึกชอบและถามคำถามเกี่ยวกับอาชีพหมอไปมากมาย หมอคนนั้นเห็นความกระตือรือร้นของจิม และบอกกับจิมว่าวันหนึ่งจิมต้องได้เป็นหมอแน่ ๆ จิมจึงตั้งเป้าความฝันว่าจะเรียนหมอ เขาฝึกกลของรูธตั้งแต่ตอนนั้น จินตนาการว่าตัวเองได้เป็นหมอ และภาพก็ชัดเจนขึ้นทุกวัน

แต่ถึงอย่างนั้นจิมก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงถึงจะได้เรียนหมอ ตัวเขาไม่ชอบเรียนและไม่ใช่นักเรียนที่ดีเด่นอะไร ชีวิตนี้เขาไม่เคยมีคนรู้จักที่ได้เรียนมหาวิทยาลัย อีกทั้งพ่อแม่ของเขาบอกว่าถึงเขาจะอยากเรียนมหาวิทยาลัย แต่พ่อแม่ก็ไม่มีเงินส่งเรียน

วันหนึ่งจิมเห็นเพื่อนคนหนึ่งนั่งกรอกเอกสารอะไรสักอย่างอยู่ จิมถามเธอว่ากำลังทำอะไร และได้คำตอบว่าเธอกำลังกรอกเอกสารสมัครเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เออร์ไวน์ ซึ่งกำลังจะปิดรับสมัครวันศุกร์นี้ ก่อนหน้านั้นจิมไม่รู้เรื่องกำหนดการเปิดรับสมัครนักศึกษาใหม่เลย ไม่ได้คิดว่าอยากจะเข้ามหาวิทยาลัยไหน เขาจึงตัดสินใจจะเข้าเรียนโรงเรียนเตรียมแพทย์ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เออร์ไวน์ เพื่อนคนนั้นได้ให้เอกสารสมัครเรียนอีกชุดแก่เขา

จิมรีบเตรียมเอกสารและส่งใบสมัครเรียนได้ทันก่อนกำหนดปิดรับ แต่เขากังวลเรื่องผลการเรียนและคะแนนสอบของเขา ที่หากเอาไปเทียบกับคนอื่นที่ได้เข้าเรียน เขาคงจะไม่ได้เข้าเรียนแน่ เขากังวลว่าครั้งนี้กลของรูธจะได้ผลหรือเปล่า

ผ่านไป 2-3 เดือนจิมก็ยังไม่ได้รับจดหมายตอบรับจากมหาวิทยาลัย ตอนนั้นเขาย้ายบ้านมา 2 ครั้งแล้ว และวันหนึ่งก็มีจดหมายปึกใหญ่ส่งมาถึงเขา หน้าซองมีบันทึกการส่งต่อไปมาอยู่หลายครั้งกว่าจะมาถึงมือเขา เนื้อหาในจดหมายบอกว่า "ขอแสดงความยินดีด้วย มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เออร์ไวน์ รับคุณเข้าเรียนแล้ว"

จิมบอกว่าการฝึกฝนกลของรูธทุกวัน ทำให้ช่วงก่อนจบมัธยมปลาย ความสามารถด้านการเรียนของเขาพัฒนาขึ้นพอสมควร ทำให้เขาได้รับทุนและเงินช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พอจะจ่ายค่าเทอม ค่าที่พัก และค่าเดินทางได้ จิมได้เรียนรู้ว่า ในความมุ่งมั่นของคนเรานั้นบรรจุพลังมหาศาลเอาไว้อยู่

แม้จิมจะได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เออร์ไวน์ สมอย่างที่ตั้งใจ แต่เขาก็ไม่ได้โฟกัสกับการเรียนเท่าไหร่นัก เขาเรียนเพียงเพื่อสอบให้ผ่าน และเอาเวลาไปเล่นกีฬาเรือพายเพื่อหวังจะได้เสื้อทีมมาใส่ นอกจากนี้ยังต้องกลับมาที่แลงแคสเตอร์เพื่อดูแลแม่ที่ป่วยโรคซึมเศร้า และสะสางปัญหาเรื่องพ่อ

ผลการเรียนเฉลี่ยของจิมอยู่ที่ 2.5 ในขณะที่ผลการเรียนของนักเรียนเตรียมแพทย์คนอื่นเฉลี่ยอยู่ที่ 3.8 และพอถึงท้ายของปีที่ 3 เหล่านักเรียนอย่างเขาต้องเตรียมหาโรงเรียนแพทย์เพื่อไปเรียนต่อ โดยต้องใช้เอกสารสำคัญนั่นคือจดหมายแนะนำตัวที่คณะกรรมการเตรียมแพทย์ออกให้

จิมเข้าไปติดต่อเลขาฯของคณะกรรมการ ยื่นแฟ้มประวัติการเรียนของเขาให้เธอ เธอเปิดดูแบบผ่าน ๆ จากนั้นปิดแฟ้มแล้วพูดว่า "ฉันคงนัดสัมภาษณ์กับคณะกรรมการให้คุณไม่ได้ คุณคงไม่ได้เข้าเรียนโรงเรียนแพทย์หรอก คุณจะทำให้คนอื่นเสียเวลาเปล่า ๆ"

แต่จิมก็ยืนกราน จ้องมองเธอและพยายามพูดกดดันจนเลขาฯ คนนั้นนัดวันสัมภาษณ์ให้ ในทีแรกคณะกรรมการสบประมาทจิมจากผลการเรียนของเขา แต่พอเขาเล่าชีวิตที่แสนลำบาก เล่าเรื่องการต่อสู้ของเขาที่กว่าจะได้มาเรียนที่นี่ ในที่สุดคณะกรรมการก็ยอมออกจดหมายแนะนำตัวให้จิมเอาไปใช้สมัครเรียนโรงเรียนแพทย์

ช่วงนั้นพ่อของจิมเข้าโรงพยาบาลจากอาการปอดอักเสบรุนแรง เขาไปเยี่ยมพ่อไม่ได้เพราะไม่มีเงิน แต่ติดต่อกับหมอเจ้าของไข้ผ่านทางโทรศัพท์ คุณหมอถามเกี่ยวกับประวัติการรักษาของพ่อ ตอนนั้นเองที่จิมรู้ว่าเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพ่อของตัวเองเลย รู้แค่ว่าพ่อติดเหล้า แต่ไม่รู้ว่าพ่อมีโรคประจำตัวไหม เคยกินยาอะไร แพ้ยาตัวไหน หรือเคยผ่าตัดอะไรมาก่อน

วันหนึ่งหมอโทรมาแจ้งว่าอาการพ่อดูไม่ดีแล้ว รูมเมทของจิมเลยให้ยืมเงินเป็นค่าตั๋วเครื่องบินมาเยี่ยมพ่อ ช่วงนั้นจิมเตรียมสอบจึงได้พักผ่อนน้อย พอเขาขึ้นเครื่องบินก็หลับไปทันที แล้วจิมก็เห็นพ่ออยู่ที่ปลายเตียง ดูแข็งแรงกว่าที่เขาเคยเห็นเสียอีก พ่อมองมาที่เขา ดูสงบ ไม่ได้ยิ้ม มีสีหน้าของความเมตตาแล้วพูดกับเขาว่า

หวัดดีลูก พ่อมาเพื่อบอกลา ขอโทษนะที่พ่อเป็นพ่ออย่างที่อยากเป็นไม่ได้ พ่อขอโทษที่ไม่ได้อยู่กับลูก เราทุกคนต่างมีเส้นทางเป็นของตัวเอง  พ่อต้องไปตามเส้นทางของพ่อ พ่ออยากให้ลูกรู้ว่าพ่อภูมิใจในตัวลูกและรักลูกมากนะ พ่อต้องไปแล้ว จำไว้นะว่าพ่อรักลูก ลาก่อน

จิมตื่นขึ้น ไม่รู้ว่าเป็นความฝันหรือเป็นเรื่องจริง แล้วโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เป็นหมอเจ้าของไข้โทรมาบอกว่าพ่อของเขาเสียชีวิตแล้วเมื่อชั่วโมงก่อน หมอบอกว่าก่อนพ่อจะจากไป พ่อลืมตาและยิ้ม พ่อไม่ได้เจ็บปวดขณะที่จากไป

สองสัปดาห์หลังจากนั้น จิมก็ได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยทูเลน เขาขอทุนเรียนแพทย์ศาสตร์ในปีแรก และขอทุนจากกองทัพในปีถัดไป เขารู้สึกว่าอยากรับใช้ประเทศชาติ เมื่อจบออกมาจึงทำงานเป็นแพทย์ให้กองทัพสหรัฐฯ เป็นเวลา 9 ปี จนได้ยศพันตรี

ช่วงนั้นจิมได้ผ่านงานในแผนกศัลยกรรมประสาท และอยากเป็นประสาทศัลยแพทย์ จึงขอทุนเรียนต่อจากกองทัพ แต่ว่ากองทัพมีทุนประสาทศัลยแพทย์ให้ปีละแค่คนเดียวเท่านั้น และมีแพทย์คนอื่นยื่นขอทุนอยู่ก่อนหน้าแล้ว เขาต้องต่อคิวรออีก 3 ปี

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังดึงดันสมัครเรียนศัลยกรรมประสาท เพราะเชื่อมั่นในกลของรูธ ปรากฎว่าคนที่ได้รับทุนเป็นคนแรกมีเรื่องชู้สาวกับพยาบาลจึงอดรับทุน ส่วนคนอื่น ๆ ที่ต่อคิวอยู่ก่อนหน้าก็ไม่ว่างรับทุนเรียนต่อ เพราะทำงานอื่นอยู่ระหว่างรอทุนตามคิว ส้มเลยหล่นมาที่จิม เขาได้ทุนเรียนต่อเพื่อเป็นประสาทศัลยแพทย์


ชีวิตจิมมาถึงตรงนี้นับว่าไกลมาก ๆ จนเขามั่นใจในตัวเองมาก เขารู้สึกว่าตัวเองพิเศษและสำคัญ เขามีไหวพริบและใช้ปากเป็นอาวุธ พร้อมชนกับคนอื่น เขากลายเป็นคนดื้อรั้น กล้าฉีกหน้าคนอื่นต่อหน้าสาธารณะ ทุกคนยอมรับว่าจิมเป็นคนเก่ง แต่ก็ไม่มีใครอยากยุ่งเกี่ยวด้วย

ช่วงนั้นจิมที่เป็นนักศึกษาประสาทศัลยแพทย์เหนื่อยมาก ต้องอยู่เวรคราวละ 24 ชม. ต้องอดนอนและอยู่ภายใต้ความกดดัน ดังนั้นนักศึกษาแพทย์ที่นั่นจึงแฮงเอาท์เป็นประจำเพื่อระบายความเครียด เย็นวันหนึ่งจิมและเพื่อน ๆ อีก 3 คน ออกไปดื่มเหล้าดื่มเบียร์กันตั้งแต่ 2 ทุ่ม ทุกคนเมาหนัก แต่ยังขับรถยนต์กลับ

จิมเมาสะลึมสะลือ และทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงในหัวบอกว่า "คาดเข็มขัดเดี๋ยวนี้!" เขารีบคาดเข็มขัดนิรภัย พอดีกับจังหวะที่รถของพวกเขาชนเข้ากับขอบทางตรงโค้งหักศอก รถไถลไปตามพื้นถนนที่แฉะ แล้วพุ่งเข้าไปชนกับต้นไม้ใหญ่เต็ม ๆ

จิมเป็นคนเดียวในรถที่คาดเข็มขัด และเขาเป็นคนที่บาดเจ็บมากที่สุด ลำไส้ของเขาฉีกขาด ม้ามแตก กระดูกสันหลังส่วนเอวด้านล่างหัก เขาถูกเข็นเข้าห้องผ่าตัดทันที ขณะที่เพื่อนคนที่นั่งอยู่ด้านหลังเขามีเพียงแผลถูกบาดและรอยถลอกเท่านั้น

จิมนอนอยู่บนเตียงผ่าตัดที่มีไฟผ่าตัดส่องลงมา เขารู้สึกถึงความเจ็บปวด ความกลัว และความกังวล เขาได้ยินเสียงการโต้เถียงกันของหมอที่กำลังรักษาเขา ฟังจากคำพูดของหมอ จิมสามารถวินัจฉัยตัวเองได้ว่าเขากำลังจะหยุดหายใจในอีกไม่ช้าเพราะเสียเลือดมาก และความดันต่ำมาก เขาไม่อยากตายไปทั้งแบบนี้

แล้วเขาก็รู้สึกว่าทุกอย่างกลับหัวและเอียงไปหมด เขากำลังมองลงมาดูตัวเองบนเตียงผ่าตัดจากเพดาน ไม่รู้สึกเจ็บปวด เขาเห็นร่างตัวเองซีดเอามาก ๆ มีสายระโยงระยางเต็มไปหมด แล้วทุกอย่างก็มืดสนิท

จิมบอกว่าสิ่งที่เขารู้สึกตอนอยู่ในความมืดนี้เป็นสิ่งที่อธิบายไม่ได้ทั้งหมด แต่เขาก็จำความรู้สึกนั้นได้ไม่ลืม มันเป็นประสบการณ์พิศวงที่หลายคนเคยเจอ ซึ่งเคยมีในรายงานมาหลายร้อยปีแล้ว เรียกว่าประสบการณ์เฉียดตาย

จิมรู้สึกว่าตัวเองลอยอยู่บนแม่น้ำแคบ ๆ ลอยไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ เขาเห็นแสงสว่างสีขาว เหมือนกับเปลวเทียนที่เคยจ้องในร้านมายากล จากนั้นเขาก็เคลื่อนตัวเร็วขึ้น พุ่งไปหาแสงนั้น ตลอดทั้งสองฝั่งของแม่น้ำ เขาเห็นคนที่รู้จักอยู่กันคับคั่ง เขาเห็นพ่อและรูธ เขารู้สึกถึงความรักและการยอมรับแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เห็นแม่ในชุดอาบน้ำ เห็นพี่ชายกับเขาหัวเราะด้วยกันในห้องนอนที่แลงแคสเตอร์ เห็นจักรยานที่ตัวเองปั่นในตอนเด็ก เห็นตัวเองตอนใส่ชุดกาวน์ครั้งแรก

ระหว่างที่กำลังเข้าใกล้แสงสีขาวนั้น จิมก็รู้ว่าแสงนั่นคือความรัก มันเป็นสิ่งเดียวที่มีความหมายในจักรวาลนี้ มันคือสิ่งที่เขาตามหา สิ่งที่เขาต้องการ เขาอยากเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งนั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักว่า หากเขารวมเข้ากับแสงอบอุ่นนั่น เขาจะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้อีก เขาจะตาย แล้วเขาก็ตะโกนว่า "ไม่" ทันใดนั้นเขาก็เคลื่อนถอยห่างจากแสงนั้นด้วยความเร็วราวกับยิงหนังสติ๊ก

จิมรู้ตัวอีกทีก็พบว่าตื่นมาอยู่ในห้องพักฟื้น มีพยาบาลคนหนึ่งดูแลเขา เขารีบถามเธอว่าเขาตายไปแล้วหรือเปล่า พยาบาลบอกว่าความดันของเขาต่ำมาก แต่หัวใจไม่ได้หยุดเต้น เขาทบทวนประสบการณ์ตอนที่เขาลอยอยู่ในแม่น้ำ เป็นไปได้ไหมว่าเพราะสมองของเขามีออกซิเจนต่ำมาก หรือสารสื่อประสาทหลั่งออกมามากกว่าปกติ ทำให้เขาเห็นภาพหลอนนั่น

ประมาณการกันว่ามีคนอเมริการาว 15 ล้านคนเคยมีประสบการณ์เฉียดตาย ประสบการณ์เหล่านี้คล้ายคลึงกัน โดยมักอยู่ในรูปการลอยออกจากร่าง การย้อนเห็นภาพในอดีต รู้สึกว่าได้ยินหรือได้อยู่กับคนที่เสียชีวิตไปแล้ว รู้สึกถึงความรักและความอบอุ่น รู้สึกว่าลอยตัวอยู่ในแม่น้ำหรือเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ประสบการณ์นี้ทำให้หลายคนเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตวิญญาณ


ต่อมาจิมเล่าถึงช่วงชีวิตที่เขาได้เป็นเศรษฐีตามความฝันที่ได้ตั้งไว้ ในปี 2000 เขามีเงิน 75 ล้านดอลลาร์ มากกว่าในวัยเด็กที่เคยฝันว่าอยากมีเงินสัก 1 ล้านดอลลาร์ จิมเคยแต่งงานและหย่ามาแล้ว มีลูกสาว 1 คน แต่การไล่ตามความมั่งคั่ง ทำให้เขาไม่สามารถเป็นสามีและพ่อที่ดีได้

ไม่กี่ปีก่อนจิมเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทแอคคูเรย์ที่ขายเทคโนโลยีการรักษาเนื้องอกในสมอง และช่วงปี 2000 ธุรกิจออนไลน์กำลังเฟื่องฟู จิมก็ลงทุนในธุรกิจออนไลน์ จนเขามีความมั่งคั่งอยู่ที่ 75 ล้านดอลลาร์ และวางแผนจะเกษียณในปีหน้าตอนที่อายุ 45 ปี

ตอนนั้นเองที่เกิดวิกฤติฟองสบู่ออนไลน์แตก ตลาดหุ้นล่ม ราคาหุ้นตกต่ำ ผู้คนเสียเงินไปหลายล้าน รวมถึงจิมด้วย เงิน 75 ล้านของเขาหายวับ แถมยังติดหนี้และกลายเป็นคนล้มละลาย เพื่อน ๆ ของเขาก็หายไปด้วยเมื่อเขาเงินหมด

ขณะที่กำลังเก็บของเพื่อย้ายออกจากบ้านที่กำลังถูกยึด จิมก็พบกับบันทึกกลของรูธที่เขาเขียนไว้เมื่อตอนเป็นเด็ก แล้วเขาก็สะดุดตากับคำว่า "เข็มทิศศีลธรรม" ตอนที่ยังเป็นเด็กจิมยังไม่เข้าใจความหมายของคำนี้ แล้วเขาก็เริ่มผ่อนลมหายใจเข้าออกอีกครั้งในรอบหลายปี เปิดหัวใจแล้วส่งความรักไปให้เด็กชายที่เขาเคยเป็น เปิดหัวใจยอมรับว่าเหตุการณ์นี้ไม่ได้มีเขาแค่คนเดียวที่เป็นผู้สูญเสีย เปิดหัวใจให้คนที่ต้องหาเช้ากินค่ำเพื่อหาเงินเลี้ยงดูลูก ๆ

จิมมาตระหนักได้ว่ากลของรูธคือการกำหนดสติและการสร้างภาพในความคิด เป็นวิธีที่ใช้เข้าถึงความสงบ ลดสิ่งรบกวน และค้นหาตัวเองจากภายใจ ช่วยเพิ่มสมาธิและช่วยให้ตัดสินใจได้เร็วขึ้น แต่ถ้าไม่มีดุลยพินิจ สิ่งนี้จะทำให้กลายเป็นคนหลงตัวเอง และแยกตัวเองออกจากคนอื่น จนกลายเป็นคนด้านชา

ในปี 2003 ที่จิมกลับไปทำงานเป็นแพทย์อีกครั้ง เขาก็มองเห็นความสวยงามของชีวิต ความสวยงามของความผิดพลาด เขาใช้กลของรูธในการเปิดหัวใจตัวเอง จนได้พบกับเพื่อนที่ดีมากมาย และมีอุดมการณ์ที่อยากช่วยเหลือด้านสาธารณสุขให้แก่คนยากไร้ในอเมริกา จิมและเพื่อน ๆ ได้ก่อตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านประสาทวิทยาเพื่อผลิตแพทย์ฝีมือดีรุ่นใหม่

จิมในวัยกลางคนได้ตระหนักถึงความสำคัญของการเปิดหัวใจ เขาได้ใคร่ครวญชีวิต และกลั่นประสบการณ์ของตัวเองออกมาได้เป็น 10 อักขระของหัวใจ ซึ่งคือข้อคิด 10 ข้อที่จิมใช้ในชีวิตประจำวัน ทั้ง 10 อักขระประกอบไปด้วย CDEFGHIJKL โดยแต่ละอักขระมีความหมายดังนี้

C: Compassion ความเมตตา คือ การรับรู้ถึงความทุกข์ของผู้อื่นและปรารถนาให้ความทุกข์นั้นบรรเทาลง แต่การจะมีเมตตาต่อผู้อื่นได้นั้น ต้องมีเมตตาต่อตัวเองก่อน หลายคนตำหนิตัวเอง ไม่ยอมให้ตัวเองได้รับความสุขแบบเวลาที่มอบความสุขให้ผู้อื่น การให้ความรักและความอาทรแก่ผู้อื่นจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากคุณไม่ได้ให้มันแก่ตัวคุณเองก่อน

D: Dignity ความภาคภูมิใจ เป็นสิ่งที่มีอยู่ในตัวทุกคน เป็นความต้องการการยอมรับและรับรู้ว่ามีตัวตน บ่อยครั้งที่เราตัดสินใครบางคนด้วยลักษณะท่าทาง การพูด หรือความประพฤติ และการตัดสินเหล่านั้น ส่วนมากเป็นทางลบและผิดไปจากความจริง เราต้องมองผู้อื่นแล้วคิดว่า "เขาก็เหมือนเรา เขาก็ต้องการสิ่งที่เราต้องการ คืออยากมีความสุข" เมื่อเรามองผู้อื่นและมองตัวเอง จะทำให้เกิดความอยากที่จะเชื่อมโยงและช่วยเหลือ

E: Equanimity ความสงบใจ หมายถึง ความคงที่ของอารมณ์แม้ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ความสงบใจนั้นใช้ทั้งในเวลาที่ดีและไม่ดี เพราะแม้ในเวลาที่รู้สึกดี เรามักมีแนวโน้มที่จะพยายามเก็บรักษาและยึดติดกับความปีติยินดีนั้นเกินไป เช่นเดียวกับการวิ่งหนีความรู้สึกที่ไม่ดี การพยายามจับยึดความรู้สึกปีติยินดีนั้นไม่ได้อยู่บนความเป็นจริง ไม่มีทางทำได้ และรังแต่จะนำไปสู่ความผิดหวัง อารมณ์ที่ขึ้นและลงนั้นล้วนเกิดขึ้นแค่ชั่วคราว การทำให้อารมณ์สงบราบเรียบจะช่วยให้จิตและความตั้งใจชัดขึ้น

F: Forgiveness การให้อภัย เป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งที่เราจะให้ผู้อื่นได้ และเป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เราให้กับตัวเองได้เช่นกัน พวกเราทุกคนล้วนเคยทำผิดกับคนอื่น เราต่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่เปราะบาง พร้อมที่จะผิดพลาด หลายครั้งในชีวิตเราไม่สามารถไปถึงความสมบูรณ์แบบที่ตัวเราหวังไว้ และหลงไปทำร้ายหรือทำให้คนอื่นต้องเจ็บ

G: Gratitude ความซาบซึ้งใจ คือการรู้สึกขอบคุณชีวิตที่เป็นอยู่ แม้จะมีความเจ็บปวดและความทุกข์ การรู้สึกซาบซึ้งใจแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ ก็มีผลอย่างมากต่อจิตใจ

H: Humility ความถ่อมตน เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เรามักภูมิใจในสิ่งที่เราเป็นหรือสิ่งที่เราทำสำเร็จ ต้องการจะบอกและแสดงให้คนอื่นเห็นว่าเราสำคัญเพียงใด ดีกว่าคนอื่นแค่ไหน ความรู้สึกเช่นนี้ที่จริงแล้วเป็นตัวบอกความรู้สึกที่ไม่มั่นคงของเราเอง เรามองหาการยอมรับคุณค่าของเราเองจากภายนอก แต่การทำเช่นนี้ทำให้เราแยกจากคนอื่น เหมือนการขังตัวเองไว้ในที่โดดเดี่ยว เราจะเชื่อมโยงกันอย่างแท้จริงได้ก็ต่อเมื่อเราตระหนักรู้ว่าทุกคนล้วนมีส่วนที่ดีและไม่ดี และมองทุกคนเท่าเทียมกัน

I: Integrity ความชื่อตรง ต้องอาศัยความตั้งใจ ต้องกำหนดว่าคุณค่าใดบ้างที่สำคัญสำหรับคุณมากที่สุด และความชื่อตรงก็หมายถึงการปฏิบัติสิ่งสำคัญนั้นตลอดเวลากับผู้อื่น คุณค่าของคนเรานั้นสูญหายได้ง่าย และบางครั้งเราอาจไม่รู้ตัว หากเราลดความชื่อตรงของเราลงสักครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งต่อไปมันย่อมเกิดได้ง่ายขึ้น

J: Justice ความยุติธรรม เราทุกคนปรารถนาที่จะเห็นความถูกต้อง เราต้องผดุงความยุติธรรมให้กับผู้ที่ด้อยกว่า ดูแลคนที่อ่อนแอ หยิบยื่นให้ผู้ที่ขาด สิ่งนี้จะทำให้สังคมมีความหมาย ทำให้มนุษยชาติมีความหมาย และทำให้ชีวิตมีความหมาย

K: Kindness ความเอื้ออารี คือความห่วงใยผู้อื่น ช่วยเหลือโดยไม่หวังผลหรือมีคนรับรู้ การแสดงความเอื้ออารีไม่เพียงส่งผลดีต่อผู้ที่ได้รับ แต่ยังส่งผลดีต่อผู้ให้อีกด้วย การแสดงความเอื้ออารีจะกระเพื่อมออกไป ส่งผลให้เพื่อนและคนที่อยู่รอบตัวคุณมีความเอื้ออารีมากขึ้น เป็นเหมือนโรคติดต่อทางสังคมที่ทำให้สังคมดีขึ้น และในที่สุดความอารีนั้นก็จะกลับมาถึงคุณ โดยคนอื่นเป็นคนให้ความอารีกับคุณบ้าง

L: Love ความรัก การให้ความรักโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนจะเปลี่ยนแปลงทุกคนและทุกอย่าง ในที่สุดแล้วสิ่งที่รักษาเยียวยาคนเราคือความรัก ไม่ใช่เทคโนโลยีหรือยา และความรักนี่เองที่คุ้มครองมนุษยชาติไว้


จิมได้สรุปในตอนท้ายของหนังสือว่า เมื่อสมองและหัวใจของเราทำงานร่วมกัน เราจะมีความสุข และสุขภาพดีขึ้น เราจะแสดงความรัก ความเอื้ออารี และความห่วงใยต่อกันและกันโดยอัตโนมัติ การตระหนักว่าทุกคนคือพี่น้องของเรา เราก็จะส่งต่อความเมตตาให้พวกเขา และการให้ความเมตตาแก่ใครสักหนึ่งครั้งก็จะเกิดการส่งต่อความเมตตาออกไปอีกเรื่อย ๆ ทั่วโลก มนุษย์เราจะอยู่รอดต้องอาศัยการรักกันและดูแลกันอย่างนี้

ใครสนใจอ่านกลของรูธอย่างละเอียด หรืออยากอ่านประวัติชีวิตของจิมมากกว่านี้ สามารถหาหนังสือเล่มนี้มาอ่านกันได้ครับกับ "Into the Magic Shop เราทุกคนล้วนมีร้านเวทมนตร์อยู่ในใจ" จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์อมรินทร์ฮาวทู ราคา 245 บาท