เคล็ดลับอายุยืน 100 ปี - อยู่ยืนยาวอย่างสุขภาพดี และมีความสุข

เคล็ดลับอายุยืน 100 ปี - อยู่ยืนยาวอย่างสุขภาพดี และมีความสุข

ส่วนใหญ่มนุษย์เราไม่อยากคิดถึงเรื่องความตาย สุขภาพที่เสื่อมถอย สังขารที่ร่วงโรย และลมหายใจสุดท้ายของชีวิต แต่เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราเลี่ยงไม่พ้น แล้วเราทำอะไรกับเรื่องนี้ได้บ้าง คนส่วนใหญ่คิดว่าการจะมีสุขภาพที่แข็งแรงยืนยาว ต้องกินอาหารสุขภาพอย่างเคร่งครัด ต้องออกกำลังกายเป็นประจำ และต้องกินอาหารเสริม แต่ก็ใช่ว่าวิธีเหล่านี้จะได้ผล คนบนโลกประมาณ 2 ใน 3 ตายก่อนวัยด้วยโรคที่เลี่ยงไม่ได้ และในอเมริกา เป็นครั้งแรกในรอบ 100 ปี ที่อายุขัยของคนสั้นลง แล้วเราจะแก้ไขเรื่องนี้ได้ยังไง? ทางออกไม่ใช่การพยายามหลีกเลี่ยงความตาย แต่เป็นการเรียนรู้ว่าควรจะใช้ชีวิตยังไงต่างหาก

ไอติมเล่า ep นี้จะพาเพื่อน ๆ ไปถอดรหัสการมีชีวิตยืนยาว จากสารคดีทาง Netflix ที่ชื่อ อยู่ถึง 100: ความลับของบลูโซน ดำเนินรายการโดย แดน บิวต์เนอร์ นักสำรวจประจำนิตยสาร National Geographic ผู้ใช้เวลากว่า 20 ปี ในการออกเดินทางไปทั่วโลก เพื่อสำรวจเคล็ดลับการใช้ชีวิตจากคนที่อายุยืน แดนได้พบสถานที่ 5 แห่งบนโลกที่มีประชากรสูงอายุอาศัยอยู่หนาแน่น เขาเรียกพื้นที่เหล่านั้นว่าบลูโซน

บลูโซนทั้ง 5 แห่งที่แดนค้นพบกระจายอยู่ทั่วโลก บางแห่งเป็นเกาะ บางแห่งอยู่บนภูเขา บางแห่งเป็นพื้นที่ห่างไกล และบางแห่งก็ซ่อนอยู่ในเมืองนี่เอง แม้แต่ละแห่งจะดูแตกต่างกันมาก แต่กลับมีลักษณะร่วมบางอย่างที่คล้ายกันอย่างน่าประหลาด เป็นแบบแผนคร่าว ๆ ที่เอื้อให้คนในที่เหล่านั้นมีอายุยืนที่สุดในโลก

ผู้สูงอายุในบลูโซนบางแห่งมีอายุถึง 100 ปี แต่ยังใช้ชีวิตอย่างคึกคัก มีชีวิตชีวา กระฉับกระเฉง และมีความสุข ที่สำคัญคือพวกเขาไม่ได้พยายามเพื่อให้ได้มาซึ่งชีวิตที่ยืนยาว เคล็ดลับของพวกเขาสามารถนำมาปรับใช้ได้กับทุกคน เพื่อให้มีร่างกายแข็งแรง และใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่


บลูโซนแห่งแรกที่แดนพาเราไปรู้จักคือ เกาะโอกินาวะ ทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่น เกาะที่ได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งความอมตะ ที่โอกินาวะมีประชากรอายุยืนที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ คนสูงอายุที่นี่ป่วยเป็นเบาหวานแค่ไม่กี่คน ป่วยโรคหัวใจเพียง 1 ใน 5 และเป็นโรคสมองเสื่อมกันน้อยมาก คนที่นี่อายุยืนนับ 100 ปี โดยที่ยังมีสติปัญญาเฉียบแหลม

แดนได้เริ่มภารกิจหาคำตอบของความลับอายุยืนของชาวโอกินาวะ โดยค้นงานวิจัยทั้งหมดเท่าที่จะหาได้ในโอกินาวะ แล้วเขาก็เจอแผนที่อันหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงการกระจุกตัวของคนอายุร้อยปีในญี่ปุ่น ที่แสดงให้เห็นว่ามีคนอายุร้อยปีน้อยมากทางตอนเหนือของประเทศ แต่หากลงมาทางใต้ ความหนาแน่นของคนอายุร้อยปีเพิ่มขึ้น โดยมีจำนวนสูงที่สุดอยู่ที่เกาะโอกินาวะ

แดนได้ศึกษางานวิจัยเกี่ยวกับอาหารของชาวโอกินาวะ พบว่าพวกเขากินเนื้อ, ไข่ และปลาแค่ 1-2 เปอร์เซ็นต์ของพลังงานที่พวกเขาบริโภค แล้วก็เจออาหารอย่างหนึ่งที่มีสัดส่วนการกินถึง 70% นั่นคือ "มันม่วง" ในพื้นที่อื่นของญี่ปุ่นกินมันม่วงกันเพียง 3% ของพลังงานทั้งหมด สาเหตุที่ชาวโอกินาวะกินมันม่วงกันมาก เพราะเป็นพืชที่ไม่โดนไต้ฝุ่นถล่มง่าย ๆ มันอยู่ใต้ดินอย่างปลอดภัย

มันม่วงนี้อุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน และใยอาหาร มีสารต้านอนุมูลอิสระที่มากกว่าบลูเบอร์รีถึง 150% ชาวโอกินาวะกินอาหารให้เป็นยา นอกจากมันม่วงพวกเขายังกินใบหม่อนที่ช่วยเรื่องเจ็บคอ กินหมึกต้มน้ำดำที่ช่วยล้างพิษ กินสาหร่ายอาสะที่ช่วยระบายความร้อนออกจากร่างกาย กินจิงจูฉ่ายที่ช่วยแก้อักเสบ กินมะระขี้นกที่ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด กินเต้าหู้ที่ทำจากนมถั่วเหลืองเข้มข้นที่ช่วยลดคลอเลสเตอรอล ลดความเสี่ยงการเป็นโรคหัวใจ ชาวโอกินาวะกินอาหารที่หลากหลายซึ่งล้วนมีสรรพคุณทางยาหรือช่วยส่งเสริมสุขภาพ

อีกอย่างอาหารที่ชาวโอกินาวะกินมีแคลอรีต่ำ ยกตัวอย่างเช่น พวกเขาอาจกิน "จัมปุรุ" อาหารประเภทผัดผักที่ใส่สมุนไพร และเต้าหู้ ซึ่งจานหนึ่งคุณสามารถกินจนอิ่ม แต่ได้พลังงานเพียง 350 แคลอรีเท่านั้น เทียบกับชาวอเมริกาที่กินแฮมเบอร์เกอร์ 1 ชิ้น ซึ่งใช้เวลากินหมดใน 1-2 นาที แต่ได้พลังงานสูงถึง 750 แคลอรี

ชาวโอกินาวะมีปรัชญาเกี่ยวกับการกินอาหารว่า "ฮารา ฮาชิ บุ" ที่หมายถึง "หยุดกินเมื่อท้องอิ่ม 80%" ซึ่งชาวโอกินาวะเชื่อว่าปริมาณอาหารในท้องเพียง 80% ช่วยให้เรารู้สึกอิ่มโดยที่ไม่แน่นท้อง เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งนี้ก็ทำให้ชาวโอกินาวะเป็นโรคอ้วนน้อยลง


แดนได้เดินทางไปเยี่ยมบ้านคนสูงอายุที่โอกินาวะมาหลายหลังพอสมควร เขาสังเกตว่าในบ้านของคนสูงวัยเหล่านี้ไม่มีเฟอร์นิเจอร์เลย นอกจากโต๊ะตัวเตี้ย และเสื่อทาทามิ คนสูงวัยที่นี่นิยมนั่งพื้น ทำให้ระหว่างวันต้องลุก ๆ นั่ง ๆ ซึ่งทำให้พวกเขาได้ฝึกกล้ามเนื้อแกนกลาง และกล้ามเนื้อร่างกายส่วนล่าง พวกเขาจึงทรงตัวได้ดี

ในอเมริกา 1 ใน 10 ของสาเหตุการเสียชีวิตของคนสูงวัยคือการล้ม เพราะคนสูงวัยชาวอเมริกานั่งอยู่บนเก้าอี้ หรือบนโซฟาเอนนอนอยู่ตลอดเวลา ทำให้พวกเขามีร่างกายส่วนล่างอ่อนแอ และทรงตัวได้ไม่ดี

นอกจากนี้คนสูงวัยชาวโอกินาวะมีสวนของตัวเอง ในทุกๆ วัน พวกเขาจะออกไปถอนหญ้า, รดน้ำ, เพาะเมล็ด หรือเก็บเกี่ยวพืชที่ปลูกไว้ ซึ่งใช้เวลา 1-2 ชั่วโมงต่อวัน เป็นกิจกรรมที่มีการเคลื่อนไหวร่างกายแบบเบา ๆ


คนสูงวัยชาวโอกินาวะมีการรวมกลุ่มกันที่เรียกว่า "โมไอ" หากสมาชิกคนหนึ่งในกลุ่มเดือดร้อน เช่น ล้มตอนเข้าห้องน้ำตอนกลางคืน จนต้องเข้าโรงพยาบาล สมาชิกคนอื่นในโมไอจะคอยช่วยเหลือ โดยรวบรวมเงิน และมอบให้สมาชิกคนนั้น ดูเผิน ๆ โมไอเป็นแค่กลุ่มการลงขันหาเงิน แต่จริง ๆ แล้วมีประโยชน์มากกว่านั้น

ในโมไอทุกคนเป็นเพื่อนกัน มาเจอกัน คุยกัน ร้องเพลง และเต้นรำกัน นั่นคือเคล็ดลับการมีอายุยืน คุณอาจสงสัยว่าการไปสังสรรค์กับเพื่อนมันช่วยอะไรได้ แต่ปัจจุบันโรคเหงากำลังระบาด ประชากรกลุ่มหนึ่งกำลังเหงา และโดดเดี่ยวมากขึ้น ความเหงาทำให้อายุขัยลดลงไป 15 ปี และไม่มียารักษาโรคเหงา นอกจากการคบหากับเพื่อนฝูง เอาใจใส่เพื่อนเหล่านั้น และใช้เวลาด้วยกันทุกวัน นี่อาจเป็นปัจจัยสำคัญมากของการมีอายุยืน


สำหรับคนสูงวัยในโอกินาวะ ความทรงจำสมัยสงครามโลกครั้งที่สองยังแจ่มชัด พวกเขาเผชิญกับความทุกข์ยากแสนสาหัส ในช่วงสงครามมีผู้ถูกสังหารในโอกินาวะถึง 200,000 คน คนสูงวัยที่รอดมาได้ยังมีอาการ PTSD ชัดเจน

แดนได้สัมภาษณ์คุณยายคนหนึ่งที่เคยทำงานให้รัฐบาลญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลก ตอนนั้นรัฐบาลให้คนเหล่านั้นพกระเบิดมือกันทุกคน และบอกว่า "ถ้าศัตรูจับตัวได้ให้ใช้ระเบิดนี่" ตอนนั้นคุณยาย และเพื่อน ๆ รู้สึกยอมแพ้ และอยากฆ่าตัวตายไปให้พ้น ๆ จากความทุกข์ พอดีมีทหารมาช่วยไว้ และบอกว่า "สงครามจบแล้ว ชีวิตมีค่า" คุณยายบอกกับแดนว่า

ฉันดีใจมากที่ฉันคลานออกจากขุมนรกนั่น และรอดมาได้ ฉันบอกลูกๆ ของฉันว่า ไม่ว่าจะยังไง ไม่ว่าลูกจะจนแค่ไหน เอาชีวิตรอดให้ได้ อดทนกับทุกอย่าง

ที่ญี่ปุ่นมีแนวคิดหนึ่งที่เรียกว่า "อิคิไก" ที่หมายถึงการใช้ชีวิตอย่างมีเป้าหมาย พวกเขารู้เหตุผลในการลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้า รู้คุณค่าของตัวเอง แดนได้เรียนรู้จากโอกินาวะว่า สิ่งที่ถูกมองข้าม และคาดไม่ถึง คือเหตุผลสำคัญของการมีอายุยืน

สรุปความลับของการมีอายุยืนยาวจากบลูโซนแห่งที่ 1: โอกินาวะ

  1. กินอาหารให้เป็นยา
  2. กินอาหารที่แคลอรีต่ำ
  3. กินให้ท้องอิ่มแค่ 80%
  4. เคลื่อนไหวเพื่อรักษากล้ามเนื้อให้แข็งแรง
  5. โมไอ กลุ่มสังคมสำหรับแก้เหงา
  6. อิคิไก เป้าหมายการมีชีวิต


บลูโซนแห่งที่ 2 ที่แดนพาเราไปรู้จักคือ เกาะซาร์ดิเนีย ประเทศอิตาลี ที่หลายหมู่บ้านตั้งอยู่บนตีนเขา เส้นทางเดินในหมู่บ้านไม่เดินขึ้นเขาก็เดินลงเขา แค่เดินไปไหนมาไหนในหมู่บ้าน คุณก็ใช้พลังงานมากกว่าปกติแล้ว คนสูงอายุที่นี่เคลื่อนไหวตามธรรมชาติทั้งวัน โดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังออกกำลังกาย ถ้าคุณอยากอายุยืน แทนที่จะจ่ายค่าสมาชิกฟิตเนสแพง ๆ อาจเริ่มด้วยการเลิกใช้ลิฟต์ แล้วหันมาเดินขึ้นบันไดแทน


แดนอยากรู้ว่าชาวซาร์ดิเนียกินอะไรถึงได้อายุยืนกว่าร้อยปี เขาเข้าไปสำรวจครัวของคนสูงอายุ ไปดูว่าแม่ครัวทำอะไรกินกัน แล้วเขาก็ตกใจมากว่า อาหารที่ชาวซาร์ดิเนียกินเป็นประจำคือ พาสตากับขนมปัง พวกเราเคยได้ยินว่าคาร์โบไฮเดรตเป็นศัตรูต่อสุขภาพที่ดี เพราะคาร์โบไฮเดรตเปลี่ยนไปเป็นน้ำตาลได้ง่าย และน้ำตาลไม่ดีต่อร่างกาย

แต่ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้คือ วิธีการเตรียมคาร์โบไฮเดรตพวกนี้ต่างหาก ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่ชาวซาร์ดิเนียทำขนมปังซาวโด พวกเขาจะผสมแบคทีเรียที่เรียกว่าแลคโตบาซิลัสเข้าไปด้วย เจ้าแลคโตบาซิลัสนี้ช่วยลดปริมาณน้ำตาลของอาหารทั้งมื้อ หมายความว่าขนมปังซาวโดช่วยลดการดูดซึมน้ำตาล เป็นสาเหตุที่คนที่นี่มีอัตราผู้ป่วยโรคเบาหวานน้อยกว่าที่อื่น ๆ จึงทำให้มีอายุยืนกว่า

อาหารของคนที่นี่เน้นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ธัญพืช, ผักใบเขียว และถั่วต่าง ๆ ส่วนผสมเหล่านี้ให้ใยอาหารที่หลากหลายมาก ซึ่งช่วยป้องกันการอักเสบ และเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง คาร์โบไฮเดรตไม่ได้เลวร้ายเสมอไป ถ้ารู้จักปรุงอย่างเหมาะสม


ตามสถิติผู้หญิงมักจะอายุยืนกว่าผู้ชาย ในอเมริกา หากมีคนสูงอายุเพศชาย 1 คนจะมีคนสูงอายุเพศหญิง 5 คน แต่ที่ซาร์ดิเนียสัดส่วนเป็น 1 ต่อ 1 ที่นี่มีจำนวนคนสูงอายุเพศชายอายุร่วมร้อยปีมากที่สุดในโลก คุณตาเหล่านี้ทำอะไรเป็นพิเศษถึงอายุยืน

แดนได้พบคำตอบว่า ผู้ชายที่นี่ประกอบอาชีพเลี้ยงแกะที่สืบทอดกันมายาวนาน พวกเขาใช้เวลาอยู่กับสัตว์เลี้ยง เดินไปทั่วเนินเขา งีบหลับกลางวัน และเมื่อเลิกงานก็จะกลับเข้าหมู่บ้าน อาจดื่มไวน์สักแก้วกับเพื่อนฝูง อาชีพเลี้ยงแกะไม่มีอะไรเคร่งเครียดเป็นพิเศษ

ความเครียดเป็นกลไกพื้นฐานของร่างกาย ที่จะเกิดขึ้นเมื่อเราเจอสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด ทันทีที่เราเครียด กลูโคสในเลือดจะพุ่งสูง ช่วยให้เราตื่นตัว และหนีจากอันตรายได้ ความเครียดเป็นประโยชน์หากเกิดขึ้นในระยะสั้น ๆ แต่หากคุณเกิดความเครียดต่อเนื่องหรือเรื้อรัง อาจทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับหัวใจ และหลอดเลือด หรือโรคอื่น ๆ ได้

ทุกวันนี้ในสังคมเมือง เรารับรู้ปัญหาทั้งหมดบนโลกนี้ผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย เป็นปัญหาที่เราควบคุมไม่ได้ แต่ชายสูงวัยชาวซาร์ดิเนียควบคุมวิธีเลี้ยงแกะได้ ความรู้สึกที่ได้แก้ไขปัญหามีส่วนทำให้สุขภาพจิตดี สมองแจ่มใส และปรับตัวรับมือกับความเครียดได้ นี่คือสิ่งสำคัญที่ทำให้ผู้ชายชาวซาร์ดิเนียมีอายุยืนมากที่สุดในโลก


ปกติเมื่อที่ไหนมีคนชราจำนวนมาก เราจะเห็นบ้านพักคนชรามากตามไปด้วย แต่ไม่ใช่ที่ซาร์ดิเนีย แล้วถ้าไม่มีบ้านพักคนชราดูแลคนสูงอายุ ใครที่ไหนจะดูแลพวกเขาล่ะ? คำตอบคือลูกหลาน และญาติ ๆ ของคนสูงอายุผลัดกันมาดูแล ไม่ใช่เฉพาะที่ซาร์ดิเนีย แดนบอกว่าทุกบลูโซนที่เขาไป ไม่มีที่ไหนมีบ้านพักคนชราเลย ทุกที่ใช้วิธีดูแลคนสูงอายุกันเองในเครือญาติ

มีวิจัยบอกว่าคนสูงอายุที่เข้าไปอยู่บ้านพักคนชราจะมีอายุขัยสั้นลง 2-6 ปี ขึ้นอยู่กับกรณี แต่ที่ซาร์ดิเนียคุณจะไม่มีวันเห็นภาพเหล่านั้น ผู้คนที่นี่ให้คุณค่าความเป็นชุมชน เกาะกลุ่มกันในชุมชน และครอบครัวคือรากฐานของชุมชน การที่คนสูงอายุอยู่บ้าน ไม่เพียงได้รับการดูแลที่ดีกว่าไปอยู่บ้านพักคนชรา แต่คนสูงอายุยังได้ส่งต่อภูมิปัญญาให้คนรุ่นหลังอีกด้วย

สรุปความลับของการมีอายุยืนยาวจากบลูโซนแห่งที่ 2: ซาร์ดิเนีย

  1. ความสูงชันของหมู่บ้าน ที่เดินไปไหนมาไหนแล้วเหมือนได้ออกกำลังกาย
  2. กินคาร์โบไฮเดรตชั้นดี
  3. รู้จักควบคุมความเครียด
  4. ดูแลคนสูงวัยกันเองในหมู่เครือญาติ


บลูโซนแห่งที่ 3 ที่แดนพาเราไปรู้จักอยู่ที่ เมืองโลมาลินดา รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ในชุมชนแห่งหนึ่งที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายแอดเวนทิสต์ ค่าอายุเฉลี่ยของชาวแอดเวนทิสต์สูงกว่าชาวแคลิฟอร์เนียทั่วไป โดยผู้ชายชาวแอดเวนทิสต์อายุยืนกว่าทั่วไป 7.3 ปี และผู้หญิงอายุยืนกว่าทั่วไป 4.4 ปี

ชาวอเมริกาใช้เงินหลายพันล้านดอลลาร์ ไปกับการสมัครสมาชิกฟิตเนส โดยที่คนส่วนใหญ่สมัครทิ้งไว้เฉย ๆ แม้จะมีความตั้งใจที่ดี แต่ดูเหมือนคนทั่วไปไม่สามารถออกกำลังกายเป็นประจำได้

ชาวแอดเวนทิสต์ในโลมาลินดาสามารถออกกำลังเป็นประจำ และมีนิสัยดูแลสุขภาพสม่ำเสมอ กีฬายอดฮิตของคนสูงอายุที่นี่คือ พิกเกิลบอล ที่พวกเขาชวนกันออกมาเล่นคราวละ 3 ชม. หญิงสูงอายุคนหนึ่งที่มาเล่นพิกเกิลบอลบอกเคล็ดลับของเธอว่า

การมีอายุยืนคือการออกกำลัง และเข้าสังคม ถ้าคุณซึมเศร้า คุณจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน เมื่อคุณเข้าสังคมอย่างนี้ คุณได้ตะโกน คุณมีความสุข และเมื่อคุณรู้ว่ามีคนต้องการคุณ มีคนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตคุณ คุณก็มีชีวิตยืนยาว

ที่โลมาลินดามีการสร้างชุมชนที่ทำกิจกรรมร่วมกัน พวกเขาออกไปแจกจ่ายอาหาร ทักทาย และไปเยี่ยมคนป่วย ผู้คนที่นี่ชอบทำงานอาสาสมัคร คนที่ทำงานอาสามีโอกาสได้สร้างความทรงจำที่ดี มีสังคมกว้างขวาง และพบว่าพวกเขามีความสุขมากกว่า

งานอาสาเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการออกแรงอยู่เสมอ เพราะต้องขนของบริจาค คนที่ทำงานเหล่านี้รู้สึกว่ามันเป็นงานที่มีความหมาย เพราะได้จดจ่อกับผู้อื่นมากกว่าตัวเอง ซึ่งเรามักจะมองข้ามพลังของสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้


สิ่งสำคัญของสาเหตุการมีอายุยืน นั่นคือชาวแอดเวนทิสต์เน้นเรื่องสารอาหาร การกินของพวกเขาปลอดเนื้อสัตว์ คล้ายการกินมังสวิรัติ ไม่ใช่แค่ "ไม่กินเนื้อสัตว์" แต่หมายถึง "กินอาหารให้สมดุล" ซึ่งต้องรวมถึงผลไม้, พืชตระกูลถั่ว, ธัญพืช, ผัก และถั่วเปลือกแข็งต่าง ๆ

เนื้อสัตว์ในตัวมันเองคือปัจจัยเสี่ยงให้เกิดโรคบางชนิด เช่น โรคอ้วน, โรคหัวใจ และหลอดเลือด, โรคมะเร็งบางชนิด หรือโรคเบาหวาน อีกอย่างในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา มีการวิจัยพบว่าส่วนประกอบบางอย่างในพืชผัก หาไม่ได้ในอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์ ซึ่งส่วนประกอบที่ว่านั้นสำคัญต่อการมีสุขภาพที่ดี และอายุยืน

เราพบว่าการกินผลไม้ ช่วยลดความเสี่ยงเป็นมะเร็งปอด คนที่กินถั่วเปลือกแข็งหนึ่งกำมือเป็นประจำมีอายุยืนมากขึ้น 3 ปี แถมยังช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ และหลอดเลือด การกินถั่วเป็นประจำช่วยลดความเสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ ดังนั้นไม่ใช่แค่งดเนื้อสัตว์ถึงจะดีต่อสุขภาพ แต่คุณต้องกินอาหารประเภทธัญพืช, พืชตระกูลถั่ว, ผักผลไม้ และถั่วเปลือกแข็งเป็นประจำด้วย

คนทั่วไปหมกมุ่นกับการหาวิธีมีสุขภาพที่ดีแบบด่วนได้ เลยต้องการพึ่งอาหารเสริม แต่ชาวแอดเวนทิสต์ที่โลมาลินดาคิดว่าสุขภาพดีมีได้จากการทำสิ่งที่ถูกต้องเป็นเวลานานพอ และหลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ซึ่งต้องใช้เวลาเป็นปี หลายสิบปี หรือตลอดชีวิต


ชาวแอดเวนทิสต์มีกิจกรรมที่เรียกว่า "วันสะบาโต" โดยนับจากคืนวันศุกร์ไปจนถึงวันเสาร์ เป็นช่วงเวลาที่พวกเขาจะไม่ทำอะไร ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าในวันที่เจ็ดของสัปดาห์ พระเจ้าทรงพักผ่อน ดังนั้นพวกเขาก็เชื่อคำสอนของพระองค์ โดยจะพักผ่อนจริงจังเพื่อเห็นแก่พระเจ้า ซึ่งการพักผ่อนนั้นไม่ใช่แค่การนอนเฉย ๆ แต่เป็นการทำสิ่งที่ทำให้เกิดความพึงพอใจ ไม่ต้องกังวลอะไร

แดนพบว่าบลูโซนมักมีศรัทธาต่อสิ่งหนึ่งอย่างเด่นชัด ชาวแอดเวนติสต์เคร่งศาสนา และมีศรัทธาแรงกล้า ที่ซาร์ดิเนียพวกเขาเป็นคาทอลิกที่เข้มงวด ที่โอกินาวะพวกเขาเคารพบรรพบุรุษ งานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่า คนที่ระลึกถึงสิ่งที่ตนศรัทธามากกว่าอาทิตย์ละครั้งจะมีอายุขัยยาวนานขึ้น 7 ปี ไม่สำคัญว่าคุณนับถือศาสนาอะไร สิ่งสำคัญคือคุณต้องเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนที่ศรัทธาบางอย่าง และเข้าไปมีส่วนร่วม

สรุปความลับของการมีอายุยืนยาวจากบลูโซนแห่งที่ 3: โลมาลินดา

  1. ทำงานจิตอาสา
  2. งดเนื้อสัตว์ หันไปเน้นพืชผัก
  3. อยู่อย่างมีศรัทธา


บลูโซนแห่งที่ 4 ที่แดนพาเราไปรู้จักอยู่ที่ เกาะอิคาเรีย ประเทศกรีซ ชาวอิคาเรียมีนิสัยชอบดื่มชาสมุนไพรที่หาได้ในท้องถิ่น ชาสมุนไพรที่พวกเขาดื่มก็อย่างเช่น ชาใบเสจ, ชาโรสแมรี่, ชามัลโลว์ การดื่มชาสมุนไพรเป็นเวลานานหลายปีมีประโยชน์หลายอย่าง หนึ่งในนั้นอาจจะช่วยลดอัตราการเกิดโรคสมองเสื่อม สมุนไพรมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยขับปัสสาวะ และช่วยลดความดันโลหิต


หากพูดถึงสารให้ความหวาน หลายคนนึกถึงน้ำตาลหรือน้ำเชื่อม แต่ที่อิคาเรียพวกเขาใช้น้ำผึ้งมานานนับพันปีแล้ว และน้ำผึ้งของอิคาเรียมีหลายมิติที่น่าสนใจ คนเลี้ยงผึ้งจะย้ายรังผึ้งไปตามที่ต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับฤดูกาล ช่วงแรกรังผึ้งอาจอยู่กับดอกไม้ป่าใกล้ชายฝั่ง ก่อนรังผึ้งจะถูกย้ายไปอยู่ในป่าสนใกล้ยอดเขา

ผึ้งพวกนี้รวบรวมน้ำหวานจากพืชหลายชนิด น้ำหวานเหล่านี้มีไมโครนิวเทรียนท์หรือสารอาหารที่ออกฤทธิ์ทางชีวภาพ ช่วยยับยั้งมะเร็งได้ น้ำผึ้งตามร้านทั่วไปจะถูกต้มเพื่อพาสเจอร์ไรซ์ ทำให้ละอองเกสรในน้ำผึ้งถูกทำลาย และเปลี่ยนเป็นน้ำตาล น้ำผึ้งในอิคาเรียไม่ได้ผ่านการพาสเจอร์ไรซ์ สารอาหาร และสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพจึงไม่ถูกทำลายในกระบวนการผลิต นั่นหมายความว่าน้ำผึ้งของอิคาเรียเป็นน้ำผึ้งธรรมชาติแท้ ๆ มีคุณประโยชน์มากกว่าน้ำผึ้งทั่วไป


แดนเชื่อว่าไวน์มีบทบาทสำคัญอย่างน่าทึ่งที่ทำให้คนบนเกาะอิคาเรียมีอายุขัยยืนยาว ตำนานกรีกถึงกับบอกว่าเทพแห่งไวน์ถือกำเนิดที่นี่ ไวน์อิคาเรียใช้องุ่นชนิดเดิมมาหลายร้อยปี และใช้กระบวนการผลิตแบบเดิมตั้งแต่โบราณ ไม่ใช้เครื่องจักร แต่ให้คุณภาพที่ดีมาก

เมื่อพิจารณาไวน์ที่อิคาเรีย จะพบว่ามันมีบางอย่างที่แตกต่าง ไวน์ของที่นี่เป็นธรรมชาติ ไม่มีการเติมแต่งสารเคมี ช่วยเพิ่มการดูดซึมสารต้านอนุมูลอิสระ คุณภาพของดินบนเกาะอุดมไปด้วยโปแตสเซียม, ฟอสฟอรัส, โบรอน และธาตุเหล็ก ทำให้ปลูกองุ่นได้คุณภาพดีสำหรับนำมาทำไวน์ จนทำให้พวกเขาสามารถเรียกไวน์ของตัวเองว่าเป็นไวน์รักษาโรค


ที่อิคาเรียมีประเพณีเต้นรำซึ่งได้รับการสืบทอดมายาวนาน และคนหนุ่มสาวปัจจุบันยังอนุรักษ์เอาไว้อยู่ พวกเขาจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ที่มีคนอายุ 14 ถึง 94 มารวมตัว พบปะทักทาย และสนุกด้วยกัน เต้นรำกันทั้งคืน

คุณอาจมองว่า "แล้วไง ก็แค่ปาร์ตี้" แต่ที่จริงการเต้นรำติดกันนานเป็นชั่วโมง เผาผลาญพลังงานไม่ต่างจากการวิ่ง สิ่งที่แตกต่างคือการเต้นรำหนึ่งชั่วโมงมันสนุกมาก เรามักเชื่อมโยงการออกกำลังกับความทรมาน ประมาณว่า "ถ้าไม่เจ็บ ก็ไม่ได้ผล" แต่ที่อิคาเรีย เราเรียนรู้ว่าการออกกำลังก็สนุกได้ พวกเขาเต้นไปหัวเราะไป และการหัวเราะดีต่อหลอดเลือดแดง ช่วยลดการเกิดโรคหัวใจ สิ่งที่บลูโซนสอนเราคือ การมีอายุยืนก็สนุกได้ ไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตน่าเบื่อเพื่อให้อายุยืน และการเข้าสังคมคือแนวทางสู่การมีอายุยืนยาว

สรุปความลับของการมีอายุยืนยาวจากบลูโซนแห่งที่ 4: เกาะอิคาเรีย

  1. ดื่มชาสมุนไพรเป็นประจำ
  2. ใช้น้ำผึ้งธรรมชาติที่ไม่ผ่านกระบวนการ
  3. ดื่มไวน์ที่ผลิตด้วยกระบวนการดั้งเดิม
  4. เต้นรำไปพร้อมเสียงหัวเราะ


บลูโซนแห่งที่ 5 ซึ่งเป็นแห่งสุดท้ายที่แดนพาเราไปรู้จักอยู่ที่ นิโคยา เขตชนบทห่างไกลทางตอนเหนือของคอสตาริกา ที่นี่แดนพบว่าสัดส่วนของคนอายุร่วมร้อยปีมีจำนวนมากกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกถึง 3.5 เท่า

คนส่วนใหญ่บนโลกเข้าใจว่าการจะรักษาสุขภาพให้ดีไปได้ตลอดคุณต้องรวย เมื่อรายได้สูง อายุขัยก็จะสูงตาม แต่บลูโซนแห่งนี้อยู่ในเขตที่ยากจนที่สุดของประเทศ แดนไปพบชายสูงวัยชื่อรามิโรที่อายุ 100 ปี แต่กลับดูเหมือนคนอายุ 70 ปี รามิโรยังขี่ม้าได้ มีแรงผ่าฟืน ตื่นตี 4 ออกไปทำงานทุกเช้า

แดนถามรามิโรว่าทำไมถึงทำงานเยอะจัง รามิโรตอบมาว่าเพราะงานคือชีวิตของผม ชาวนิโคยามีเป้าหมายชีวิตชัดเจนที่พวกเขาเรียกว่า แพลน เดอ วีดา คล้ายกับหลักอิคิไกของชาวญี่ปุ่น พวกเขารู้ว่าชีวิตตนมุ่งหน้าไปที่ไหน ตื่นนอนทุกเช้าเพื่ออะไร แพลน เดอ วีดา คือสิ่งที่ขับเคลื่อนพวกเขาให้ผ่านความยากลำบาก


ชาวนิโคยาใช้ชีวิตโดยไม่มีเครื่องจักรอำนวยความสะดวก พวกเขาใช้มีดพร้าตัดหญ้า ต้องออกแรงทำความสะอาดบ้านด้วยสองมือ พวกเขาเคลื่อนไหวโดยไม่รู้ตัว ซึ่งสุดท้ายก็กลายเป็นการออกกำลังกายที่กลมกลืนไปกับการใช้ชีวิต ที่นี่คุณจะเห็นผู้หญิงทำแป้งตอร์ติญาตั้งแต่ใช้เครื่องหินบดข้าวโพด ออกแรงจนกล้ามปูด เพื่อให้เนื้อแป้งเนียนทั่ว

ตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษย์ เราต้องทำงานตลอดเวลา เราจึงประดิษฐ์เครื่องจักรมาช่วยอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ตอนนี้เราไม่ต้องทำงานที่ใช้แรงแล้ว แต่ชาวนิโคยา พวกเขายังผ่าฟืน ยังบดข้าวโพดด้วยมือ และปลูกอาหารกินเอง พวกเขาจึงสามารถเผาผลาญแคลอรีได้มากกว่าการที่พวกเราเข้าฟิตเนสเสียอีก


แดนตามไปดูว่าชาวนิโคยากินอะไรเป็นอาหาร เขาพบว่าอาหารการกินของคนที่นี่คือ ถั่วดำ, ฟักทอง และข้าวโพด ชาวนิโคยาเรียกพืชผักทั้ง 3 อย่างนี้ว่า "3 พี่น้อง" เป็นอาหารที่คนแถบนี้กินกันมาอย่างน้อย 6,000 ปีแล้ว

ข้าวโพดมักถูกแปรรูปเป็นตอร์ติญา ซึ่งเป็นอาหารหลักดั้งเดิม เมล็ดข้าวโพดเป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนชั้นดี อุดมไปด้วยวิตามิน, แร่ธาตุ และใยอาหาร ชาวนิโคยาใช้กระบวนการแปรรูปข้าวโพดแบบดั้งเดิมที่ช่วยเสริมคุณค่าทางโภชนาการ เริ่มจากแช่เมล็ดข้าวโพดในน้ำผสมขี้เถ้า วิธีนี้ทำให้ผนังเซลล์ของเมล็ดข้าวโพดแตกตัว และปล่อยไนอะซินออกมา ซึ่งสารนี้ช่วยคุมคอเรสเตอรอล

ส่วนถั่วดำก็มีสารต้านอนุมูลอิสระแบบเดียวกับที่พบในบลูเบอร์รี นอกจากนี้ยังอุดมด้วยใยอาหารที่ช่วยชะล้างลำไส้ใหญ่ ฟักทองเป็นแหล่งของวิตามินเอ, บี และซีชั้นดี อุดมไปด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ เช่น โปแตสเซียม และแมกนีเซียม

ร่างกายของเราต้องการกรดอะมิโน 9 ชนิด ในการสร้างหน่วยโปรตีนเพื่อสร้างกล้ามเนื้อ ผลิตภัณฑ์จากสัตว์เช่น เนื้อหมู, เนื้อวัว, ปลา และไข่มีกรดอะมิโนทั้ง 9 ชนิดก็จริง แต่ก็มีคลอเรสเตอรอล และไขมันอิ่มตัวด้วย ส่วน 3 พี่น้องนี้เมื่อรวมกันแล้วให้กรดอะมิโนครบถ้วน โดยไม่มีคลอเรสเตอรอล และไขมันอิ่มตัว

ชาวนิโคยาใช้เงินแค่เสี้ยวเดียวของเงินที่เราจ่ายตอนซื้อเนื้อสัตว์, นม และไข่ แต่พวกเขาได้โปรตีนที่จำเป็นครบถ้วน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคุณไม่จำเป็นต้องรวยก็กินอาหารที่ดีมีประโยชน์ได้

สรุปความลับของการมีอายุยืนยาวจากบลูโซนแห่งที่ 5: นิโคยา

  1. มีเป้าหมายชีวิตชัดเจนที่เรียกว่า "แพลน เดอ วีดา"
  2. ออกแรงทำกิจกรรมต่าง ๆ โดยไม่พึ่งสิ่งอำนวยความสะดวก
  3. กินถั่วดำ ฟักทอง และข้าวโพด ซึ่งพวกเขาเรียกรวม ๆ ว่า 3 พี่น้อง


แม้บลูโซนแต่ละแห่งจะอยู่กระจัดกระจาย แต่แดนเห็นแบบแผนบางอย่าง พวกเขาไม่ได้ออกกำลังกายจริงจัง, ไปไหนมาไหนด้วยการเดิน, มีสวนหลังบ้าน, พวกเขาเคลื่อนไหวตามธรรมชาติ, ไม่มีเครื่องทุ่นแรงช่วยทำงานบ้านหรืองานในสวน, พวกเขาเจอความเครียดเหมือนเรา แต่มีวิธีผ่อนคลายความเครียด, พวกเขาร่วมกิจกรรมชุมชน, หาความสุขหลังเลิกงาน และมีเป้าหมายในชีวิต

เมื่อพูดถึงอาหารการกิน อาหารส่วนใหญ่ของพวกเขามาจากพืชที่ไม่ปรุงแต่ง เช่น ธัญพืชไม่ขัดสี, ผักใบเขียว, มันม่วงหรือถั่วเปลือกแข็ง พวกเขากินอาหารกับครอบครัว พร้อมพูดคุยกันไปด้วยระหว่างนั้น มันคือการสร้างสายสัมพันธ์

แดนได้นำความลับเกี่ยวกับการมีอายุยืนยาวที่เขาได้จากการไปสำรวจบลูโซนทั้ง 5 แห่ง มาปรับใช้กับคนในเมืองอัลเบิร์ตลี รัฐมินนิโซตา ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี 2009 โดยหวังว่าจะสร้างเมืองนี้ให้เป็นบลูโซนแห่งใหม่

ผลลัพธ์ออกมาดี คนในเมืองอัลเบิร์ตลีมีอายุขัยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 3.1 ปี หลังจากปฏิบัติตามคำแนะนำของแดน โปรเจกต์บลูโซนของแดนยังคงดำเนินต่อไป โดยขยายไปยังเมืองอื่น ๆ ซึ่งแดนหวังว่าจะนำไปใช้ได้กับทุกที่ในสหรัฐอเมริกา

เป้าหมายสูงสุดของแดนคือการสร้างสภาพแวดล้อมใหม่ ที่ผู้คนได้กินอาหารอร่อยที่สุด และถูกที่สุด เป็นอาหารจากพืชที่ไม่ปรุงแต่ง ปรับเปลี่ยนถนนไม่ให้เพื่อมีไว้สำหรับรถวิ่งเท่านั้น แต่เพื่อให้คนได้เดินอย่างปลอดภัยด้วย สร้างชุมชนที่ง่ายต่อการเข้าร่วม และสานสัมพันธ์ ชุมชนที่ผู้คนทำงานอย่างมีเป้าหมายทุกวัน ทั้งหมดที่บลูโซนสอนเป็นสิ่งที่คุณทำได้

ใครสนใจอยากทราบเนื้อหาแบบเต็ม ๆ สามารถไปติดตามต่อได้ทาง Netflix กับซีรีส์สารคดีชื่อว่า อยู่ถึง 100: ความลับของบลูโซน มีจำนวนทั้งหมด 4 ตอน ความยาวตอนละประมาณ 40 นาที