ตัวเอกในเรื่องไม่ได้บอกว่าชื่ออะไร ดำเนินเรื่องด้วยมุมมองบุคคลที่ 1 ตัวเอกเรียกตัวเองว่าผม เขาประกอบอาชีพบุรุษไปรษณีย์ อายุ 30 ปี ใช้ชีวิตไปเรื่อยเปื่อยตัวคนเดียว แล้ววันหนึ่งก็ถูกวินิจฉัยว่าตัวเองป่วยเป็นโรคร้าย สามารถอยู่ได้อีกแค่ไม่กี่เดือน หรืออาจไม่กี่วันด้วยซ้ำ
ยังดีที่ชายคนนี้มีแมวชื่อ กะหล่ำ คอยเป็นเพื่อนและช่วยเยียวยาจิตใจ แล้วก็มีปีศาจตนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น เขาเรียกมันว่าอโลฮ่า ปีศาจอโลฮ่ายื่นข้อเสนอให้ชายหนุ่มว่าเขาสามารถมีชีวิตอยู่บนโลกเพิ่มได้ 1 วัน แลกกับการลบอะไรสักอย่างให้หายไปจากโลกอย่างถาวร
ถ้าโลกนี้ไม่มีช็อกโกแล็ต มนุษย์ก็ขาดของหวานอร่อย ๆ ไป
ถ้าโลกนี้ไม่มีโทรศัพท์ เราคงติดต่อนัดหมายกันลำบาก
ถ้าโลกนี้ไม่มีนาฬิกา ก็ไม่มีเวลามากำกับชีวิต
ถ้าโลกนี้ไม่มีภาพยนตร์ เราคงไม่ได้สนุกกับเรื่องราว
ถ้าโลกนี้ไม่มีแมว...
หนังสือเล่มนี้ตั้งคำถามให้เรากลับมาสังเกตสิ่งเล็กน้อยรอบตัวในชีวิตประจำวัน ที่เรามักมองผ่านเพราะรู้สึกว่ามันไม่สลักสำคัญอะไร บางอย่างถ้าหายไปเราก็ลำบากขึ้นจริง ๆ บางอย่างหายไปเราก็ไม่ได้เดือดร้อน ถ้าลองพิจารณาดู จริง ๆ ในชีวิตพวกเราอาจไม่ได้ต้องการอะไรไปมากกว่าปัจจัยสี่ สิ่งอื่นที่หามาเป็นเจ้าของ อาจเพียงเพราะอยากได้ อยากมี ไม่ได้ต้องการมันจริง ๆ
มนุษย์นั้นพยายามจะได้อะไรมา โดยไม่ให้เสียอะไรเลย แต่ที่สุดแล้วมันก็ไม่ต่างอะไรจากการขโมย ตอนที่มีคนได้อะไรไปนั้น ก็มีใครสักคนต้องเสียอะไรไปสักอย่างอยู่ดี ความสุขของคนหนึ่งก็คือความทุกข์ของอีกคนนั่นเอง โลกเรามีกฎแบบนี้นี่แหละ
หนังสือเรื่องนี้ดังพอตัวเลย ถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษ ได้ดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ พอหยิบมาอ่านผมคาดหวังมากว่าจะได้อะไรจากหนังสือเล่มนี้ พอได้อ่านจริงรู้สึกว่าหนังสือเรียบง่ายและธรรมดาไปหน่อย ไม่ได้ปรัชญาจ๋า ไม่ได้ดราม่าฟูมฟาย แม้จะไม่ดีเท่าที่คาดไว้ แต่ถ้าไม่ตั้งความหวังก็เป็นหนังสือที่ให้ข้อคิด อ่านเพลินเล่มหนึ่ง